Ch.30 – หลุยเหมิงจะต้องตาย

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.30 – หลุยเหมิงจะต้องตาย

 

ถนนเบื้องหน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าค่อนข้างคับแคบ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็สกปรก หนึ่งคนหนุ่ม หนึ่งคนแก่เหยียบย่ำไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยโคลน เนื่องจากฝนตก ทว่าก็ยังดูไม่มีอันตรายใดๆ

 

แต่หลังจากเดินไปได้สักพัก ร่างกายของฉินเฟิงก็เริ่มตื่นตัว

 

เขารู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจที่กำลังก่อตัวขึ้นในอากาศ

 

ขณะนี้ บรรยากาศโดยรอบเริ่มถูกเติมเต็มไปด้วยเจตนาร้าย

 

เบื้องหน้าเขา ปรากฏกลุ่มวัยรุ่นสี่คนกำลังเดินสวนเข้ามา อายุราวๆ 24 – 25 ปี ตัวสูง มีรอยสักเต็มร่างกายดูน่าหวาดกลัว ทั้งสี่แยกกันเดินเบี่ยงซ้าย เบี่ยงขวาทำทีคล้ายจะหลบ แต่ที่จริงแล้วกำลังคิดประกบปิดล้อมต่างหาก

 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเสียงรองเท้าอีกคู่ ดังตามมาจากด้านหลังอีกด้วย

 

ถึงจังหวะนี้ หลินเต๋อหรงเองก็คล้ายกับเข้าใจสถานการณ์ เขาหยุดฝีเท้า ใบหน้ายิ้มแย้มใจดีเริ่มจะหมองลง แต่ยังไม่ถึงขั้นเผยถึงความโกรธ

 

“ฮี่ฮี่ ตาแก่เอ๋ย พอดีว่าช่วงนี้ลูกชายสุดที่รักอย่างฉันกำลังช็อต ฉะนั้น แกจงเอาเงินมาให้พวกเราซะดีๆ!”

 

วัยรุ่นหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก้าวออกมา ผุดรอยยิ้มที่เผยให้เห็นฟันเหลืองๆครึ่งหนึ่ง ในมือควงมีดพับสะบัดไปมา

 

ในดวงตาของฉินเฟิง บัดนี้ฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายสังหาร นั่นเพราะคนตรงหน้าเขา

 

-เป็นหลุยเหมิง!

 

คนๆนี้ ก่อนที่ฉินเฟิงจะกลับมาเกิดใหม่ มันคือคนที่สังหารหลินเต๋อหรง แถมในเวลาต่อมา ยังกลายเป็นอาชญากรระดับ S ที่ผู้คนต้องการตัวมากที่สุด

 

การที่ฉินเฟิงมากับหลินเต๋อหรงในวันนี้ นั่นเพราะเขากลัวว่าสถานการณ์ดั่งในอดีตจะย้อนรอยเดิม!

 

อย่างไรก็ตาม ใครจะไปคิด ว่าแม้ฉินเฟิงจะไปชิงตัดหน้ารับเอาทักษะลับกลืนดารามาก่อนแล้ว แต่หลุยเหมิงก็ยังเลือกที่จะออกมาปล้นหลินเต๋อหรง บางครั้ง โชคชะตาก็เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์จริงๆ

 

“พ่อหนุ่ม เกรงว่าคนแก่อย่างฉันคงไม่มีเงินมากพอที่จะให้เธอหรอก!” หลินเต๋อหรงกล่าวอย่างสงบ ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธออย่างไม่ลังเล

 

ในฐานะผู้อำนวยการของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาแก่เกินกว่าที่จะต่อสู้ได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้น เขาจึงเกษียนตนเองจากแนวหน้า และหันมาทำหน้าที่บริหารแทน

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงตลอดชีวิตของหลินเต๋อหรง เขาฟันฝ่าประสบการณ์อันขมขื่นมามากยิ่งกว่าหลุยเหมิงอย่างเทียบไม่ติด ดังนั้น เขาจะไปหวาดกลัวกับการถูกข่มขู่คุกคามเพียงไม่กี่ประโยคได้อย่างไร?

 

“หยิบยื่นหนทางสบายให้แต่ไม่คิดรับ อยากเจอความลำบากนักใช่ไหม? อย่าคิดนะ ว่าฉันไม่รู้ เมื่อครึ่งเดือนก่อน มีใครบางคนบริจาคเงินให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของแกตั้ง 1 ล้าน! จงเอาเงินนั่นมาให้ฉันซะ!” หลุยเหมิงกล่าวอย่างดุร้าย

 

แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องจริง

 

ครึ่งเดือนก่อน มีนักธุรกิจร่ำรวยคนหนึ่ง ได้มอบเงินบริจาคให้แก่หลินเต๋อหรงเป็นจำนวน 1 ล้าน

 

และ 1 ล้านที่ว่านี้ หลินเต๋อหรงก็น้อมรับจากอีกฝ่ายมาแต่โดยดี

 

นั่นเพราะเขาจำเป็นต้องนำมันไปซื้อยาปฏิชีวนะให้แก่เด็กๆบางคน -ปัจจุบันรอยแยกมิติมักจะปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง พวกเด็กอายุน้อยๆจึงมีแนวโน้มที่จะตกตายจากอาการเจ็บป่วยบางอย่างที่มากับรอยแยกมิติได้

 

และยาปฏิชีวนะในปัจจุบบัน มันมีราคาที่แพงมาก เพียงหนึ่งหลอดก็มากกว่า 5000 เหรียญเข้าไปแล้ว ดังนั้นเงินเพียง 1 ล้านจึงสามารถซื้อยาปฏิชีวนะให้เด็กๆได้แค่ 200 คนเท่านั้น แต่เดชะบุญ ที่หลินเต๋อหรงเป็นคนของทางการ ดังนั้นเขาเลยสามารถซื้อมันได้ในราคาครึ่งหนึ่ง เลยมากพอที่จะแจกจ่ายให้แก่เด็กๆ 400 คน

 

ดังนั้น ในตอนนี้ เงิน 1 ล้านที่ว่าจึงไม่มีหลงเหลืออยู่ในมือของหลินเต่อหรงอีกต่อไป!

 

สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะเปรียบดั่งหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้ง ได้รับเงินหรือของบริจาคมาเท่าใด สุดท้ายก็จมหายลงสู่เบื้องล่างอยู่ดี แม้ว่ามันจะเป็นหนึ่งในสถานที่ๆถูกประกาศว่าเป็นองค์กรของทางการ หากแต่เจ้าหน้าที่จำนวนมาก ต่างก็รู้กันดีว่านั่นไม่ใช่สถานที่ๆพวกเขาอยากจะไป

 

อย่างไรก็ตาม หากไม่มีสถานเลี้ยงรับเลี้ยงเด็กกำพร้า นั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่อชุมชนอย่างแน่นอน

 

“เงินนั่นได้ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว แต่ถึงต่อให้มีเหลือ เธอคิดหรือว่าฉันจะพกมันติดตัวมาด้วย?” หลินเต๋อหรงยิ้มเย็น ตามร่างกายของเขาเริ่มเขม็งเกร็ง เตรียมพร้อมปะทะตลอดเวลา

 

ย้อนกลับมาอธิบายทางด้านหลุยเหมิงกับคนที่เหลือ ทั้งหมดต่างก็เป็นอันธพาลเหมือนๆกัน และมักจะคอยรีดไถเงินจากคนธรรมดาๆ

 

โดยปกติแล้ว พวกเขามักจะเลือกปล้นคนธรรมดา ยกเว้นในกรณีที่ว่าอีกฝ่ายเจ็บป่วย หรืออยู่ในสภาพไม่อาจต่อสู้ได้อีกต่อไป มิฉะนั้นพวกเขาย่อมไม่กล้าที่จะเข้าไปปล้น แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าหลินเต๋อหรงที่ชราภาพ จะไม่ยอมอ่อนข้อให้อย่างกระทันหัน

 

บางที อีกฝ่ายอาจจะมีความแข็งแกร่งหลงเหลืออีกนิดหน่อย แต่น่าเสียดาย ที่ในความคิดของพวกเขา หลินเต๋อหรงก็แค่เป็ดที่พยายามดิ้นรนก่อนจะถูกเชือดเท่านั้น

 

“แกไม่รู้หรอกว่าพวกเราโหดร้ายแค่ไหน ในเมื่อไม่ยอมแพ้ ก็จงแหกตาดูซะ!” หลุยเหมิงเตรียมจ้วงมีดเข้าใส่หลินเต๋อหรงโดยตรง แต่ก็ถูกอีกคนโฉบมาชิงตัดหน้าเขาเสียก่อน

 

“ลูกพี่! ให้ฉันจัดการมันเอง จะได้สอนบทเรียนให้ตาแก่นี่ ส่วนในวันพรุ่งนี้ฉันจะแวะไปหาแกอีกครั้ง ถ้ายังไม่ยอมมอบเงินให้ ฉันจะฆ่าเด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของแกทีละคน ทีละคน!”

 

พอได้ฟังถึงประโยคนี้ ความโกรธเกรี้ยวก็พุ่งปรี้ดขึ้นมาถึงหัวของหลินเต๋อหรง ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ร่างกายสั่นเทาด้วยความโมโห

 

“คนแก่อย่างฉัน ตายไปมันก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าพวกแกกล้าที่จะยุ่งกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าล่ะก็!!!”

 

“อย่าไม่กลัว จัดการมัน!”

 

หากพวกเขากล้าที่จะเข้าไปวุ่นวายกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วมันจะทำไม? สถานที่แบบนั้นน่ะมีแต่พวกอ่อนแอ ถ้ากลุ่มของหลุยเหมิงร่วมมือกัน และยึดครองสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาได้ ก็จะสามารถถลุงเงินบริจาคที่พวกเขาคิดว่ายังคงซุกซ่อนเอาไว้ได้ตามใจชอบ

อีกอย่าง นักธุรกิจร่ำรวยที่มาบริจาคน่ะก็เปรียบดั่งถังข้าวสาร พวกเขาเพียงหาที่โยนเศษเมล็ดข้าวเหลือๆของตนเองเท่านั้น หลังจากนั้น เศษข้าวที่ว่าจะถูกนำไปใช้อย่างไรล้วนไม่ใส่ใจ

แน่นอน ว่าหนทางเดียวที่จะบรรลุแผนดังกล่าว คือการโค่นตาแก่นี่ลงให้ได้ซะก่อน

 

ผู้ใช้วรยุทธโบราณพรวดเข้ามา จนเกือบจะปะทะ หลินเต๋อหรงก็ตะปบฝ่ามือออกไป

 

ทว่าฝ่ามือนี้มิได้ใส่กำลังภายในลงไปแต่อย่างใด แต่แน่นอน ว่ามันก็ยังรุนแรงถึงขั้นสามารถส่งคนๆนึงลงไปหมอบกับพื้นได้

 

หลินเต๋อหรงยกมือขึ้นตามจิตสำนึก ต้องการที่จะหยุดอีกฝ่าย เพราะตัวเขาเองก็เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเช่นกัน

 

เห็นแค่เพียงแขนของเขายังไม่ทันจะยกขึ้น อีกมือหนึ่งที่อยู่ข้างๆก็โฉบเข้าใส่แขนอันธพาลที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

“กร๊อบ!”

 

-เป็นฉินเฟิง เขาเหวี่ยงกำปั้นลงไปทุบเข้าใส่แขนของอันธพาลอย่างไม่ลังเล

 

“อ๊ากกกก!”

 

อันธพาลกรีดร้องลั่นในแววตาเผยถึงความไม่อยากจะเชื่อโดยสิ้นเชิง ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบนี้

 

ฉินเฟิงไม่คิดตั้งใจจะปล่อยพวกมันไปเช่นกัน เมื่อพวกมันเลือกที่จะโจมตีแล้ว เขาก็จะสังหารให้ตกตายภายใต้น้ำมือตน!

 

ทันใดนั้นเอง มือซ้ายก็กดลงบนหน้าท้องของอันธพาลแขนหัก บังเกิดแรงดึงดูดขึ้นอย่างกระทันหัน ทั้งคนทั้งร่างของอันพาลสั่นสะท้านราวกับถูกไฟฟ้าช็อต

 

กำลังภายในของเขาถูกดูดกลืนมาเข้าสู่ร่างของฉินเฟิง ต่อมา ฝ่ามือจากดึงดูดก็เปลี่ยนผัน กลายเป็นกระแทกในฉับพลัน

 

เปรี้ยง!

 

อันธพาลถูกส่งลอยปลิวไปไกลกว่า 2-3 เมตร ม้วนกลิ้งกับพื้น แล้วแน่นิ่งไป

 

เหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อครู่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา มันรวดเร็วจะคนอื่นๆไม่สามารถหยุด หรือเข้าโจมตีต่อได้!

 

ฉินเฟิงยกเท้าขึ้น เตะกวาดเข้าใส่อันธพาลอีกคนที่อยู่ขวางทาง ย่ำเท้าออกไป และซัดกำปั้นเข้าใส่หลุยเหมิงที่อยู่กลางกลุ่มอย่างไม่ลังเล

 

“เอาไปกินซะ!”

 

หลุยเหมิงเดิมไม่คาดคิดเลย ว่าฉินเฟิงที่ยังดูเป็นวัยรุ่น แต่งกายราวกับคนยากจน แท้จริงแล้วจะเป็นผู้ที่สามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณขึ้นมาได้อย่างกระทันหัน ยิ่งไปกว่านั้น กำลังภายในที่อีกฝ่ายครอบครองยังแข็งแกร่งกว่าตนเองซะอีก

 

เมื่อเห็นฉากที่น้องเล็กของเขาถูกอัดปลิวโดยฉินเฟิงแล้ว ตอนนี้ในหัวใจของหลุยเหมิงจึงระแวดระวังยิ่ง ขับเคลื่อนกำลังภายในของตนเองลงไปในสองมือ เพื่อหยุดยั้งการโจมตีของฉินเฟิง

 

“จงตายเพื่อฉัน!”

 

ปรากฏเจตนาร้ายรุนแรง สาดขึ้นในแววตาของเขา

 

“แกกล้า!” หลินเต๋อหรงคำราม โฉบกายเข้าไปช่วยเหลือ

 

แต่มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะเบื้องหลังหลุยเหมิง อีกสองอันธพาลพุ่งติดตามมา เจตนาชัดว่าหมายจะร่วมลงมือสังหารฉินเฟิง ไม่เปิดโอกาสให้หลินเต๋อหรงสอดมือแต่อย่างใด

“น่าขำจริงๆ งั้นมาดูกัน ว่าวันนี้ใครกันแน่ที่จะตาย! ขอบอกเลยว่าพวกแกคิดผิดแล้ว ที่มาหาเรื่องผู้อำนวยการ!”

 

“กลืนดารา!”

 

กำลังภายในมหาศาลระเบิดออกมาจากร่างของฉินเฟิง

 

ทักษะลับกลืนดาราเริ่มก่อตัว มันผุดออกมา โคจรรอบกายฉินเฟิงดั่งน้ำวน

 

กระแสน้ำวนนี้ ส่งผลให้ทั้งสามคนที่คิดจะโจมตีฉินเฟิงด้วยมีด หรือกำปั้น ไม่อาจก้าวเข้ามาข้างหน้าได้ นอกจากนี้ ตามแขนขาของพวกมันยังเริ่มบิดเป็นเกลียวอย่างมิอาจควบคุม ขณะเดียวกันก็ไม่อาจสั่งการร่างกายตนเองได้

 

ปัจจุบันนี้ ความแข็งแกร่งของฉินเฟิง อยู่ในช่วง G5 ในขณะที่พวกสี่อันธพาลน่ะ มันอ่อนแอยิ่งกว่าเขาซะอีก อยู่ในเลเวล G1 G2 เท่านั้น ในกรณีนี้ ย่อมหมายความว่ากำลังภายในของพวกมันอยู่ในระดับต่ำกว่าเช่นกัน อย่างไรก็มิอาจต่อกรกับฉินเฟิง

 

แทบจะในทันที กำลังภายในของพวกมันก็ถูกดูดเข้าสู่ร่างกายของฉินเฟิงโดยตรง!

 

“ไปให้พ้นซะ!”

 

แรงดึงดูดพลันเลือนหาย ตามต่อด้วยแรงผลักระเบิดขึ้นอย่างกระทันหัน กระแทกทั้งสามปลิวออกไปคนละทิศละทาง

 

ช่วงจังหวะเดียวกันนั้นเอง ฉินเฟิงก็หวดเท้าออกไป เตะเข้าใส่ด้ามมีดที่ลอยคว้านอยู่กลางอากาศ ส่งมันพุ่งเข้าเสียบกลางลำคอของหลุยเหมิงพอดิบพอดี!

คราวนี้ ฉินเฟิงมิได้ระงับเจตนาฆ่าแต่อย่างใด

 

เพราะหลุยเหมิงจะต้องตาย!