เล่ม 7 เล่มที่ 7 ตอนที่ 186 ผมขาวตั้งแต่กำเนิด

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีเก็บเข็มเงิน หลังฝังเข็มเสร็จ

        เมื่อผสมผสานระหว่างการฝังเข็มกับการให้ยารักษาภายใน พิษที่อยู่ในร่างกายของผู้ป่วยก็ถูกขจัดออกไปอย่างรวดเร็ว

        อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านกระบวนการที่สลับซับซ้อนนี้ ผู้ป่วยก็เกือบได้ไปเข้าเฝ้ายมบาล วนเวียนอยู่หน้าประตูนรก

        “ให้ผู้ป่วยพักรักษาตัวที่หอกุ้ยเหรินก่อน รบกวนหอกุ้ยเหรินดูแลจัดการเรื่องอาหารและยาแก่เขา รอจนกว่าอาการดีขึ้นค่อยส่งตัวกลับไป”

        “เพคะ พระชายา”

        ผู้ดูแลหอกุ้ยเหรินรีบรับคำ นางรีบจัดแจงที่พักให้กับผู้ป่วยทันที สั่งให้คนดูแลพาผู้ป่วยเข้าไปในห้องด้านหลังของหอกุ้ยเหริน

        ขณะเดียวกัน อวิ๋นจิ่นก็เดินออกมาจากทางด้านหลังพอดี ซูจิ่นซีจึงรีบถามว่า “อวี้เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง? ”

        “คุณชายน้อยอวี้ไม่เป็นอันใดมาก พระชายาโปรดวางพระทัย”

        อวิ๋นจิ่นทำงานหรือพูดจาอันใด ซูจิ่นซีล้วนวางใจได้เสมอ จากนั้นดวงตาทั้งสองของซูจิ่นซีก็จ้องถมึงไปทางฮั่วซื่อกับซูจวิ้น

        ทั้งสองต่างตกใจ ฮั่วซื่อหันไปมองซูจิ่นซีด้วยท่าทีหวาดกลัว “เจ้า…คิดจะทำอันใด? ”

        ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้ทำอันใด และไม่ได้ตอบคำถามของฮั่วซื่อ นางเดินไปด้านข้างแม่นางน้อยผู้นั้นที่ซูอวี้ทำการรักษา

       “แม่นางน้อย เจ้ามีชื่อว่ากระไร? ”

        “ทูลพระชายา ข้าน้อยชื่อเสี่ยวหลีเพคะ” เสียงของแม่นางน้อยกังวาน ไพเราะเหมือนดั่งเสียงกระดิ่ง

        ครั้งนี้ ผู้คนทั้งหมดต่างได้ยินเสียงของแม่นางน้อยอย่างชัดถ้อยชัดคำ เทียบกับเสียงเมื่อครู่ที่นางตะโกนเรียกหมอผู้ให้การรักษานางว่า “คุณชายน้อยอวี้” ในขณะที่ซูอวี้กระอักเลือด ยิ่งทำให้ผู้คนจิตใจสงบขึ้นมาก

        คิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยอวี้สามารถรักษาแม่นางผู้นี้ให้หายได้จริงๆ

        ทว่าสิ่งที่ซูจิ่นซีให้ความสนใจกลับเป็นอย่างอื่น

        ไม่คิดว่าเด็กน้อยที่มีอายุเพียงเจ็ดแปดปี กลับมีคำพูดและการกระทำที่เหมาะสมกับกาลเทศะ ทั้งยังมีส่วนคล้ายกับซูอวี้มาก ไม่รู้ว่าแม่หนูผู้นี้เป็นบุตรสาวของตระกูลใด

         ซูจิ่นซีตรวจเสี่ยวหลีอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าอาการทั้งหมดบนตัวของเสี่ยวหลี ซูอวี้ได้รักษาจนหายดีแล้ว นางจึงหันหลังเดินไปทางที่นั่งของตน

        ซูจิ่นซีหยิบป้ายคำสั่งประจำสกุลซูออกมา

        “ตอนนี้ข้าขอประกาศว่า การแข่งขันคัดเลือกผู้สืบทอดผู้นำสกุลซูในวันนี้ ในที่สุดผู้ที่ได้รับชัยชนะก็คือซูอวี้ ทุกท่านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเป็นพยานในการแข่งขันครั้งนี้ นอกจากนั้นข้าขอให้ทุกท่านร่วมเป็นพยานอีกเรื่อง ข้าขอมอบป้ายคำสั่งประจำสกุลซูให้กับซูอวี้ จากนี้ต่อไปซูอวี้คือผู้สืบทอดสกุลซูในอนาคต”

        ซูอวี้ยังคงนอนพักอยู่ด้านหลังจึงไม่ได้ออกมา หลังจากที่ซูจิ่นซีพูดจบ นางก็มอบป้ายคำสั่งให้ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้าง ผู้ดูแลรับไปด้วยท่าทางนอบน้อม และกำลังจะนำไปมอบให้ซูอวี้ที่อยู่ด้านหลัง

        “ไม่…ไม่ได้ ข้าเป็นบุตรคนโตที่เกิดจากภรรยาหลวง ข้าควรเป็นผู้สืบทอดสกุลซูในอนาคต ป้ายคำสั่งนี้ควรเป็นของข้า” ซูจวิ้นเดินไปแย่งป้ายคำสั่งผู้นำสกุลซูราวกับคนบ้า

        ซูจิ่นซีชักสีหน้า องครักษ์จึงรีบเข้าไปขวางซูจวิ้นไว้

        “ท่านแม่ ข้าต่างหากที่เป็นผู้สืบทอดสกุลซู” ซูจวิ้นตะโกนไปทางฮั่วซื่อ

        เวลานี้การแสดงออกบนใบหน้าของฮั่วซื่อสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ทว่าแววตายังคงเผยให้เห็นความตึงเครียดภายในจิตใจได้ชัดเจน

        “ซูอวี้รักษาแม่นางน้อยผู้นี้ให้หายได้จริงหรือ? คงไม่ใช่ทั้งหมดกระมัง? หากข้ามองไม่ผิด บนตัวของแม่หนูผู้นี้ นอกจากอาการใบหน้าแก่ก่อนวัย หูหนวก และตาบอดแล้ว ยังมีโรคผมขาวในวัยเด็กอีกไม่ใช่หรือ? ”

        ทุกคนต่างตกตะลึงอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองเสี่ยวหลี

        แม้ใบหน้าของนางไม่ได้แก่ชราเหมือนก่อนหน้านี้ อีกทั้งนางยังสามารถมองเห็น ฟังได้ชัดเจน และพูดได้อีกด้วย ทว่าเส้นผมที่ขาวราวกับหิมะบนศีรษะของนางนั้นเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน

        นั่นคือหลักฐาน ยากที่จะบิดเบือนไปได้

        “ใช่ ซูจิ่นซี เส้นผมของแม่หนูคนนี้ยังขาวอยู่เลย! ซูอวี้ ยังไม่ชนะในการแข่งขันครั้งนี้” ซูจวิ้นพูดยั่วยุซูจิ่นซีด้วยท่าทีลำพองใจ

        ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร นางทำเพียงมองฮั่วซื่อด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

        ทว่าสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือ จู่ๆ สาวใช้ของเสี่ยวหลีก็ยืนขึ้นและพูดด้วยเสียงอันดังว่า “แท้จริงแล้วทุกท่านเข้าใจผิด แม้คุณหนูของเราจะเป็นโรคประหลาด ทว่าเส้นผมของคุณหนู กลับไม่ได้มีสาเหตุมาจากอาการป่วย ทว่าเป็นมาตั้งแต่กำเนิด”

        เป็นมาตั้งแต่กำเนิด?

        ผมขาวมาตั้งแต่กำเนิด?

        เป็นไปได้อย่างไร?

        “เด็กน้อย เจ้าพูดจาไร้สาระหรือ? จะมีผู้ที่มีเส้นผมขาวมาตั้งแต่กำเนิดได้อย่างไร? ”

        “ฮูหยินท่านนี้ บ่าวไม่ได้พูดจาเลอะเทอะ คุณหนูของตระกูลเรา ไม่ได้มีสายเลือดชาวฮั่นทั้งหมด ดังนั้นจึงเกิดมามีเส้นผมสีขาว”

        ถึงเวลานี้ ทุกคนเพิ่งให้ความสนใจนัยน์ตาของเสี่ยวลี่ผู้นั้น แม้ดวงตาของนางจะมีสีดำขลับเหมือนชาวฮั่น ทว่านางมีขนคิ้วสูง เบ้าตาลึก ซึ่งไม่เหมือนสายเลือดชาวฮั่น

        “ไม่ เป็นไปไม่ได้! พวกเจ้าต้องเป็นพวกเดียวกันกับซูจิ่นซีแน่นอน จึงพูดจาไร้สาระแทนพวกเขา ใช่หรือไม่? ” ซูจวิ้น พูดจาเหมือนดั่งสุนัขจนตรอกที่คอยกัดคนไปทั่ว

        “พอได้แล้ว! ” ซูจิ่นซีเอ็ดเสียงดัง

        “การแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นต่อหน้าผู้คนมากมาย ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเป็นพยาน ซูอวี้ได้รับชัยชนะอย่างสมศักดิ์ศรี ย่อมไม่หวั่นเกรงการคัดค้านจากพวกเจ้า ทว่ามีบางคน… ” ซูจิ่นซี หันหน้าไปมองฮั่วซื่อด้วยสายตาเย็นชาและพูดว่า “คนกระทำ มีฟ้าเป็นพยาน ความยุติธรรมขึ้นอยู่กับฟ้า คนคิดร้ายยากที่จะหนีรอด”

        คิดไม่ถึงว่า ฮั่วซื่อไม่ได้ตกใจไปกับคำพูดของซูจิ่นซี นางกลับเผยรอยยิ้มเย็นชาที่มุมปากและพูดว่า “ในเมื่อพระชายาพูดคำว่าชนะอย่างสมศักดิ์ศรี วันนี้ทุกท่านที่อยู่ในเหตุการณ์โปรดร่วมเป็นพยานให้กับข้าด้วย ภายในใจของข้า มีข้อสงสัยใคร่ถามพระชายามาตลอด ป้ายคำสั่งผู้นำสกุลซูนี้ ไม่ทราบว่าท่านได้มาจากที่ใด? ”

        ซูจิ่นซีพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นไม่มีอันใดให้ละอาย “ข้าเคยบอกแล้ว ท่านพ่อที่อยู่ในคุกเป็นผู้มอบให้ข้ากับมือท่านเอง”

        “ใครจะเชื่อเล่า” ฮั่วซื่อพูดเสียงดัง “ท่านพี่ไม่ใช่คนโง่ เขาจะมอบป้ายคำสั่งประจำสกุลซูซึ่งเป็นสิ่งของสำคัญเช่นนี้ ให้กับบุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วได้อย่างไร? หรือท่านพี่มองไม่ออกว่า หากทำเช่นนี้จะเป็นการนำภัยพิบัติมาสู่สกุลซูมากมายเพียงใด? ”

        ฮั่วซื่อพูดจบ ไม่ทันให้ซูจิ่นซีเอ่ยปาก นางก็พูดสำทับขึ้นอีกครั้งว่า “พระชายา หลายวันมานี้ข้าเคารพท่านในฐานะพระชายาโยวอ๋องจึงไม่ได้พูดจาให้มากความ ทว่าตอนนี้ ข้าคงไม่อาจทำใจกว้าง ปล่อยให้ท่านใช้สถานะของตนมากระทำผิดอย่างเหิมเกริมเช่นนี้”

        “เจ้าคิดจะทำอันใด? ” ซูจิ่นซีหรี่ตาทั้งสองข้าง

        “นอกเสียจาก ข้าจะได้ยินจากปากของท่านพี่เอง ว่าเขาเป็นคนมอบป้ายคำสั่งประจำสกุลซูให้กับท่าน เพื่อให้ท่านเป็นผู้ดูแลในการสรรหาผู้สืบทอดผู้นำสกุลซูคนต่อไป มิเช่นนั้น สิ่งที่ท่านพูดไป ข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว”

        “ใช่ ซูจิ่นซี ตั้งแต่ท่านพ่อถูกขังในคุก ฝ่าบาทมีพระบัญชาว่าไม่อนุญาตให้คนในครอบครัวเข้าเยี่ยม ในพวกเราทั้งหมด มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถเข้าพบท่านพ่อได้ ใครจะไปรู้ว่าป้ายคำสั่งนี้เจ้าได้มาอย่างไร ไม่แน่เจ้าอาจข่มขู่ท่านพ่อ และขโมยมาจากตัวท่านพ่อก็เป็นได้” ซูจวิ้นเอ่ยขึ้น

        “ยังคงต้องให้ทุกท่านช่วยแม่ลูกไร้ที่พึ่งอย่างพวกเราพูดอีกแรง ขอให้พระชายาโยวอ๋องพาพวกเราไปพบท่านพี่ ไม่ใช่เพื่อการอื่น ทว่าเพื่อเห็นแก่ข้าที่ทำหน้าที่ภรรยาในจวนสกุลซูมาหลายปี แม้ไม่มีความดีความชอบอันใด ทว่าก็ตั้งใจทำงานหนักเพื่อตระกูล ข้าไม่เชื่อว่าท่านพี่ของพวกเราจะไม่สนใจไยดี บุตรสาว บุตรชาย และภรรยา โดยยอมให้บุตรสาวที่แต่งงานออกจากตระกูลไปแล้ว กลับมาทำอันตรายกับความมั่นคงของจวนสกุลซู”

        ฮั่วซื่อกล่าวด้วยเสียงอันดัง พลางกุมมือคำนับผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์

        ในช่วงเวลานี้ ทุกคนต่างไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด

        พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเชื่อใจซูจิ่นซี ทว่าคำพูดของฮั่วซื่อใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

        ซูจ้งไม่มีเหตุผลที่ต้องมอบป้ายคำสั่งผู้นำตระกูลให้กับบุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว ทำเช่นนี้ไม่มีผลดีกับสกุลซูแม้แต่น้อย

        “ทูลพระชายา สถานะของท่านสูงส่ง เรื่องในคุกสามารถเอ่ยปากได้อยู่แล้ว มิสู้ท่านพาฮั่วซื่อกับบุตรชายไปพบท่านผู้นำสกุลซูดีหรือไม่!”

        “ใช่! พวกเราทุกคนเชื่อท่าน ทว่าไม่ควรทำให้ผู้อื่นมีข้อสงสัยคาใจ ท่านไปเผชิญหน้าให้รู้ความจริงเพื่อปิดปากใครบางคนเถิด”

        “ทูลพระชายา ไปเถิด! เราทุกคนอยู่ข้างท่าน!”

        “พระชายาโยวอ๋อง ว่าอย่างไรเล่า? ไปที่คุกเพื่อเผชิญหน้าให้รู้ความจริง เจ้ากล้าหรือไม่?”  ฮั่วซื่อชำเลืองตามองซูจิ่นซีด้วยท่าทีมีเลศนัย

        แม้ความจริงป้ายคำสั่งนี้ ซูจ้งไม่ได้เป็นผู้มอบให้กับมือ ซูจิ่นซีไปพบที่ห้องหนังสือของซูจ้งในภายหลัง ทว่าเรื่องที่ซูจิ่นซีกลับมายังสกุลซูนั้นเป็นเจตนาของซูจ้ง ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่กลัวที่ต้องไปเผชิญหน้า และซูจิ่นซีก็มั่นใจว่าซูจ้งต้องพูดเข้าข้างนาง

        ทว่าเมื่อซูจิ่นซีเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของฮั่วซื่อแล้ว เหตุใดถึงรู้สึกว่าครั้งนี้นางต้องมีแผนการอันใดเป็นแน่?

        “พระชายาโยวอ๋อง ไม่กล้าหรือ? ” ซูจวิ้นพูดย้ำเสียงดังด้วยท่าทีมั่นใจ

        ซูจิ่นซีจะตอบอย่างไร?