ตอนที่ 104 เจ้ากำลังละเมออยู่หรือ ?

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ทันทีที่สิ้นเสียงของจีชาง ผู้คนทั้งหมดในบริเวณนั้นก็เงียบไปอย่างฉับพลัน

เหล่านักเรียนที่กำลังรอชมเรื่องน่าตื่นเต้นทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย พวกเขาทุกคนต่างก็รอฟังคำตอบของฉินอวี้โม่อย่างใจจดใจจ่อ

เสี่ยวโร่วโกรธมากเมื่อได้ยินวาจาน่ารังเกียจของจีชาง นางต้องการจะด่าทอฝ่ายตรงข้ามทว่าก็ถูกฉินอวี้โม่หยุดยั้งไว้เสียก่อน

“เฮ้ ! ตื่นเสียทีบุรุษโง่งม เจ้ากำลังละเมอสิ่งใดอยู่ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาล้อเลียนคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว น้ำเสียงของนางเจือแววแห่งความรำคาญอยู่หลายส่วน จีชางผู้นี้ไม่ทราบว่ากำลังฝันกลางวันอยู่หรือไม่ แต่ถ้าหากพิจารณาจากตรรกะและคำพูดของเขาแล้ว ก็ชัดเจนว่าเขาแทบจะไม่มีสมองเลยแม้แต่น้อย

“พรืด ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”

คนมากมายที่กำลังกลั้นหายใจรอคอยคำตอบของฉินอวี้โม่อยู่  เมื่อได้ยินวาจาตอบโต้เผ็ดร้อนและท่าทีไม่แยแสของนาง พวกเขาก็ขำพรวดออกมาอย่างสุดจะกลั้น

“ไม่อยากเชื่อเลย รุ่นน้องฉินอวี้โม่ช่างเด็ดเดี่ยวอะไรเช่นนี้ ข้ารู้สึกชื่นชมนางจริง ๆ”

บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้นมา เขารู้สึกเลื่อมใสในวาจาของฉินอวี้โม่เป็นอย่างยิ่ง

“ใช่ ๆ ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเลยว่ารุ่นน้องปีนี้จะน่าเกรงขามขนาดนี้”

สตรีอีกผู้หนึ่งเอ่ยสนับสนุนในทันที ตอนนี้พวกเขาแทบจะลืมสถานะและตัวตนของจีชางไปเลย ทุกคนกำลังหัวเราะเยาะเย้ย และต่างก็ซุบซิบนินทา วิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเขากันอยู่อย่างออกรส พวกเขาทั้งหมดมั่นใจว่าอย่างไรที่นี่ก็มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก ถึงจีชางจะเป็นอันธพาลที่น่ารังเกียจเพียงใดก็คงไม่กล้าลงมือกับพวกเขาทั้งหมดเป็นแน่

“ฮ่า ๆ ๆ สะใจจริง ๆ ข้าเองก็คิดว่าเจ้าจีชางนั่นมันกำลังละเมออยู่เหมือนกัน”

“เจ้านั่นมักจะทำตัวยโสโอหัง วางก้ามใหญ่โตอยู่ตลอด ข้าว่ามีคนมาสั่งสอนมันให้รู้สำนึกบ้างก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน”

“น้องฉินอวี้โม่ พวกเราสนับสนุนเจ้าเต็มที่”

“ฉินอวี้โม่ ! ฉินอวี้โม่ ! ฉินอวี้โม่ !”

ไม่ทราบเช่นกันว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม ทว่าตอนนี้ทุกคนต่างก็ส่งเสียงสนับสนุนฉินอวี้โม่ดังสนั่น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอดกลั้นกับจีชางผู้นี้มานานแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนระคายหูของฝูงชน สีหน้าของจีชางก็เริ่มดำคล้ำ และยิ่งเสียงนั้นดังขึ้นเท่าไหร่ใบหน้าของเขาก็ยิ่งมืดมนลงไปเรื่อย ๆ

“ฉินอวี้โม่ !  ไหนเจ้าลองพูดอีกครั้งซิ”

“คุณหนูบอกว่าเจ้ากำลังละเมออยู่ ในเมื่อยังไม่อยากตื่นก็กลับบ้านไปนอนซะ อย่ามาโอ้อวดความโง่เง่าแถวนี้”

เสี่ยวโร่วกล่าวขึ้น วาจาของนางเสียดแทงจีชางบุรุษอันธพาลเป็นอย่างมาก

“เจ้า ! …”

ใบหน้าของจีชางเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธจัด เขากำลังเริ่มยับยั้งโทสะไว้ไม่ได้ อดีตผู้ครอบครองอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ฉินอวี้โม่ เจ้าไม่รู้หรือว่าการทำให้ข้าผู้นี้ขุ่นเคือง ผลลัพธ์จะเป็นยังไง ?”

“จะเป็นยังไงก็ช่าง ข้าไม่กลัว ! เจ้าอยากทำอะไรก็เชิญ ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้”

ฉินอวี้โม่ตอบกลับเสียงสงบไม่ดังไม่เบา ก่อนจะแย้มรอยยิ้มอย่างไม่แยแส

“นี่เจ้า !…”

เมื่อได้ยินวาจาเรียบเฉยไม่ทุกข์ร้อนของฉินอวี้โม่ จีชางก็แทบจะสติหลุดไปในทันที

“ฉินอวี้โม่ ข้าขอท้าเจ้า”

จีชางเข้าโรงเรียนราชสำนักก่อนฉินอวี้โม่นานถึงสองปี เขาไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่ที่เป็นแค่นักเรียนใหม่และยังไม่เคยได้เริ่มชั้นเรียนจะแข็งแกร่งกว่าเขาได้ ยิ่งกว่านั้นที่หนึ่งที่เขาได้มา มันวัดจากความแข็งแกร่งเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้จีชางมั่นใจว่าตนเองเก่งกาจขึ้นจนเหนือชั้นกว่าในตอนนั้นไปมากโขเพียงแต่เขายังไม่ได้ทำการทดสอบพลังดูอีกครั้งก็เท่านั้น

“เจ้าแน่ใจแล้วนะ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอย่างไม่ทุกข์ร้อน หากว่าเป็นจีหย่งที่มาท้าทายนาง บางทีนางอาจจะต้องระวังตัว แต่สำหรับจีชางนั้น อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูไม่เห็นอยู่ในสายตา

“หึ แม้ว่าข้าจะไม่เคยลงไม้ลงมือกับสตรี แต่ในเมื่อเจ้ากล้ามาแย่งชิงที่หนึ่งของข้าไปแถมยังทำตัวโอหังไม่เกรงกลัว เจ้าก็ต้องได้รับบทเรียนที่สาสมในโทษฐานที่กล้าทำให้ข้าขุ่นเคือง ! ”

จีชางเปล่งเสียงออกมาอย่างโกรธแค้น

“แต่ข้าไม่เคยรับคำท้าที่ข้าไม่ได้ประโยชน์”

ฉินอวี้โม่กล่าวต่อรองเสียงเรียบเฉย ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ออกปากเอ่ยคำท้าทายก่อน อีกทั้งยังทำให้นางต้องเสียเวลาต่อกรกับตัวโง่งมอย่างเขา เช่นนั้นนางก็ขอสิ่งตอบแทนที่คุ้มค่าสักหน่อย และแน่นอนว่าสำหรับคนอันธพาลผู้นี้ย่อมมี*‘ราคาเหมาะสม’*ที่ต้องจ่ายกันบ้าง

“ก็ได้ ถ้าเจ้าชนะข้า ข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่เจ้าชิงอันดับหนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งของข้าไป”

จีชางไม่เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะมีโอกาสเอาชนะเขาได้ และแม้ว่านางจะเอาชนะได้ เขาก็ไม่มีสิ่งใดต้องสูญเสีย เพราะถึงเขาจะไม่เอาความเรื่องที่ฉินอวี้โม่ชิงอันดับหนึ่งของเขาไป แต่หากเขาบอกเรื่องนี้กับจีหย่ง พี่ชายของเขาก็ต้องมาเอาเรื่องให้อยู่ดี

“ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้อันดับหนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งก็เป็นของข้าอยู่แล้ว เจ้าจะถือสาหรือไม่ ข้าจะต้องสนใจด้วยหรือ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยเสียงเย้ยหยัน นางไม่เคยนึกใส่ใจเรื่องความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย หรือบุรุษผู้นี้คิดว่านางรู้ไม่ทันความคิดอันตื้นเขินของเขา ? ถึงเขาไม่เอาความนาง ก็ยังมีพี่ชายของเขาอีกคน หากเขาให้จีหย่งลงมือแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้เที่ยวป่าวประกาศว่าเขามีคุณธรรมเพียงแต่พี่ชายยอมให้น้องชายถูกรังแกไม่ได้ เช่นนั้นผลลัพธ์ที่เกิดกับนางจะต่างกันตรงไหน

จีชางชะงักไปเล็กน้อย ในเมื่อฉินอวี้โม่ไม่ยอมรับคำท้าทายจากเขา เขาก็ไม่มีเหตุผลให้เคลื่อนไหวหรือทำสิ่งใดได้ โรงเรียนราชสำนักมีกฎอยู่ว่าหากไม่มีการตกลงที่ยินยอมพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายจะไม่อนุญาตให้มีการต่อสู้กันเกิดขึ้น

“แต่หากต้องการจะให้ข้ายอมรับคำท้าก็ไม่ยาก ขอเพียงแค่เจ้านำหินมายาออกมาเดิมพัน บางทีข้าก็อาจจะยอมพิจารณาข้อเสนอของเจ้าก็ได้”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบังความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง

“เอาอย่างนี้ไหมล่ะ จีชาง ข้าจะยอมรับคำท้าของเจ้าก็ได้ ถ้าหากว่าข้าแพ้ข้าจะมอบหินมายาให้เจ้าเดือนละห้าสิบก้อน แต่ถ้าเจ้าแพ้ข้าขอหินมายาของเจ้าหนึ่งร้อยก้อนแค่ครั้งเดียวพอ เป็นอย่างไร เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่ ?”

เมื่อได้ฟังข้อต่อรองของฉินอวี้โม่จีชางก็ชะงักงันไปชั่วครู่ ทว่าไม่นานนักใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มอันแสนชั่วร้าย

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ ในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าก็ไม่ขัดข้อง หากข้าแพ้ข้าจะมอบหินมายาให้เจ้าร้อยก้อนในทันที”

ในเมื่อฉินอวี้โม่ผู้นี้เสนอจะส่งมอบหินมายาให้เขาเดือนละห้าสิบก้อนเขาจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน

“แต่ว่า… เจ้ารับปากกับข้าลอย ๆ โดยไม่มีหลักประกัน แล้วข้าจะมั่นใจได้อย่างไร”

ฉินอวี้โม่เอ่ย นางไม่เชื่อใจคนอย่างจีชางผู้นี้

“เจ้าจะเอายังไงก็ว่ามาเลย !”

จีชางไม่ขัดข้อง แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“ข้าว่าเราควรจัดหาบุคคลแข็งแกร่งมาเป็นคนกลางช่วยเป็นผู้ตัดสินให้จะดีกว่า”

“ให้ข้าเป็นคนกลางดีหรือไม่ ?”

เสียงหวานทว่าหนักแน่นของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น ก่อนที่เหล่านักเรียนทั้งหลายที่รายล้อมอยู่จะมองเห็นสตรีผู้แสนงดงามและเฉิดฉายเดินแหวกฝูงชนตรงเข้าหาจุดที่คู่กรณีทั้งสองยืนอยู่

“สวรรค์ นั่นเพ่ยหลงนักเรียนที่อยู่อันดับหนึ่งในทำเนียบพสุธา”

“ใช่ ๆ หากว่าได้เพ่ยหลงมาเป็นคนกลาง การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องได้รับความเป็นธรรมแน่”

ยังไม่ทันจะได้กล่าวถาม ก็มีผู้เอ่ยปากบอกเล่าออกมา เสียงกระซิบกระซาบและคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่ดังไม่เบาของผู้คนรอบข้างช่วยให้ฉินอวี้โม่ได้รู้ตัวตนของหญิงสาวผู้นั้น

“น้องอวี้โม่ เจ้าคิดว่าอย่างไร ? ให้ข้าเป็นคนกลางได้หรือไม่ ?”

เพ่ยหลงเฝ้าดูอยู่ในมุมมืดมาสักพักแล้ว นางได้ยินบทสนทนาของฉินอวี้โม่และจีชางทั้งหมด นางเห็นถึงความหยิ่งทะนงและองอาจของรุ่นน้องสาวผู้นี้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่านางก็อดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ ทันทีที่ได้ยินว่าพวกเขากำลังต้องการคนกลาง สตรีผู้ครองอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบพสุธาจึงก้าวออกมาอย่างไม่ลังเล

“หึหึ หากว่าได้รุ่นพี่เพ่ยหลงมาเป็นคนกลางย่อมเป็นเรื่องที่ดีมาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายจากเยว่ชิงเฉิงมาบ้าง

รุ่นพี่สาวงามผู้นี้อยู่ในอันดับที่หนึ่งของทำเนียบพสุธาและเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนสองดารา  เพ่ยหลงเป็นคนอัธยาศัยดี แต่ก็เป็นผู้ทะนงในศักดิ์ศรีไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด ยิ่งกว่านั้นนางยังนับว่าเป็นสตรีที่เลือดร้อนไม่น้อยแต่ก็ไม่ใช่คนขี้หงุดหงิดหรืออารมณ์ร้าย อย่างไรก็ตาม แม้แต่จีหย่งก็ไม่กล้ามีเรื่องบาดหมางกับเพ่ยหลงผู้นี้ การได้นางมาเป็นคนกลางจึงนับว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดี

“ข้าชื่นชมในความเด็ดเดี่ยวของน้องอวี้โม่มาก”

เพ่ยหลงยิ้มให้ฉินอวี้โม่ ก่อนจะหันไปจ้องมองจีชางแล้วออกคำสั่ง “จีชาง นำหินมายาของเจ้าออกมาก่อน”

จีชางจ้องมองเพ่ยหลงก่อนจะเปล่งเสียง *ชิ* อย่างไม่สบอารมณ์ ทว่าเขาก็รีบล้วงเอาถุงใส่หินมายาถุงใหญ่ออกมาจากแหวนมิติ

เพ่ยหลงรับมันมาและตรวจนับเสียงดังให้ทุกคนในที่แห่งนั้นได้เป็นสักขีพยาน หินมายาทั้งหมดในถุงมีจำนวนหนึ่งร้อยก้อนพอดิบพอดี

“น้องอวี้โม่ สำหรับเจ้า ข้าคงต้องให้เจ้าให้สัตย์สาบาน”

การกระทำของเพ่ยหลงถือว่าเป็นกลางอย่างยิ่ง นางยิ้มให้ฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวขอให้คุณหนูตระกูลฉินเอ่ยคำสาบาน

ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มกลับไปแล้วตอบรับ “แน่นอน พี่เพ่ยหลง ควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว”

สิ้นวาจานั้น อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูกล่าวคำสาบานต่อหน้าทุกคนอย่างจริงจัง

“เอาล่ะ เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วเราก็ควรจะหาสนามประลองก่อน ข้าคิดว่าใช้สนามประลองของโรงเรียนเลยจะดีกว่า”

เพ่ยหลงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ถ้าหากทำการต่อสู้กันที่นี่อาจจะโชคร้ายทำข้าวของแตกหักเสียหายหรือที่เลวร้ายที่สุดคืออาจจะถึงกับทำให้ตัวอาคารเกิดรอยแตกร้าวซึ่งนั่นเท่ากับทำลายทรัพย์สินของโรงเรียนและจะต้องรับโทษ

“ดี”

คู่กรณีทั้งสองพยักหน้าก่อนจะเดินตามเพ่ยหลงไปยังสนามประลองขนาดใหญ่ของโรงเรียนราชสำนัก

แน่นอนว่านักเรียนทั้งหลายที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่หน้าหอพักต่างก็เคลื่อนขบวนมาเป็นสักขีพยานให้กับการต่อสู้ที่สนามประลอง ทุกคนจับจองที่นั่งรอบลานประลองและมีผู้มาใหม่ที่เพิ่งจะพบเห็นเหตุการณ์เข้ามาดูชมด้วยอย่างเนืองแน่น ขณะที่ในเวลานี้ฉินอวี้โม่และจีชางยืนอยู่เหนือพื้นที่ยกขึ้นสูงของลานประลองเรียบร้อยแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ รุ่นน้องอวี้โม่ วันนี้เจ้าต้องแพ้อย่างแน่นอน”

จีชางยิ้มออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจ เขาไม่เชื่อว่านักเรียนเข้าใหม่ อีกทั้งยังเป็นสตรีรูปร่างบอบบางจะแข็งแกร่งกว่าเขาไปได้

ทันทีที่สิ้นเสียงของจีชาง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากร่างกายเขา จากนั้นทุกสายตาก็มองเห็นสัญลักษณ์ตรงฝ่าเท้าของเขา

“โอ้ สวรรค์ สัญลักษณ์นั่น จีชางก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนแล้วอย่างนั้นรึ ?!”

เมื่อเห็นสัญลักษณ์แสดงระดับพลังของจีชาง ผู้ชมทุกผู้คนต่างก็อดอุทานออกมาไม่ได้

สัญลักษณ์ที่แสดงระดับพลังของขอบเขตมายาบรรพชนมีรูปลักษณ์เป็นกระบี่และดวงดาวขนาดเล็ก

“เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจีชางผู้นั้นถึงได้ดูมั่นใจนัก ที่แท้เขาก็ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชนแล้วนี่เอง ดูเหมือนว่าแม่นางอวี้โม่จะตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว”

แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครในที่แห่งนี้เชื่อว่าฉินอวี้โม่จะอยู่ในระดับมายาบรรพชนเช่นเดียวกัน พวกเขาที่เข้าข้างและสนับสนุนรุ่นน้องสาวผู้เก่งกาจอย่างเต็มที่จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความเป็นกังวลออกมา

อย่างไรก็ตามสีหน้าของฉินอวี้โม่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มบาง ๆ อย่างเย้ยหยันอีกทั้งยังเอ่ยถ้อยคำเสียดสี

“จีชาง หากว่าเจ้าเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยคำพูด ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องฝึกฝนอะไรแล้ว แค่ฝึกปากอย่างเดียวก็ครองโลกได้แล้วล่ะ”

เมื่อฉินอวี้โม่กล่าวจบ ทุกคนก็มองเห็นสัญญาณแห่งระดับพลังปรากฏบนฝ่าเท้าของนาง

“สวรรค์ รุ่นน้องอวี้โม่เป็นจอมยุทธ์นภมายาเก้าดารา”

เมื่อได้รับรู้ระดับพลังของฉินอวี้โม่ ทุกคนก็ตกตะลึงไปไม่น้อย มีอยู่หลายคนที่อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ นางเพิ่งเป็นนักเรียนเข้าใหม่ อายุก็เพียงแค่นี้แต่กลับขึ้นไปถึงขอบเขตนภมายาเก้าดาราได้แล้ว มันจะไม่มหัศจรรย์มากเกินไปอย่างนั้นรึ ?

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียนก็เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตนภมายาเก้าดาราแล้ว อีกทั้งยังครอบครองที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งได้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มเรียน สตรีผู้นี้ถือเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเลยทีเดียว

“น่าเสียดายที่ฉินอวี้โม่อายุแค่สิบหก หากมีเวลาอีกสักสองถึงสามปี ข้าเกรงว่านางคงบดขยี้จีชางผู้นั้นได้ไม่ต่างจากมดตัวหนึ่งทีเดียว”

บางคนอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะและถอนหายใจ พวกเขาหลายคนรู้สึกว่าอย่างไรวันนี้ฉินอวี้โม่ก็ต้องพ่ายแพ้

“คุณหนูสู้ ๆ คุณหนูสู้ตาย จัดการเจ้าคนอันธพาลนั่นเลย !”

เสี่ยวโร่วรู้ถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เป็นอย่างดี สาวน้อยตะโกนส่งเสียงให้กำลังใจและเอาใจช่วยคุณหนูของนางดังลั่นสนาม

“อวี้โม่ เอาเลย แสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเจ้า !”

เยว่ชิงเฉิงและสหายคนอื่น ๆ ก็ส่งเสียงกระตุ้นฉินอวี้โม่โดยไม่มีร่องรอยแห่งความกังวลเลยแม้แต่น้อย

ฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ยไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ ทว่าพวกเขารู้ดีว่าเยว่ชิงเฉิงและเหล่ารุ่นน้องหน้าใหม่ที่เป็นสหายของนางได้เข้าไปในดินแดนต้องห้ามกับฉินอวี้โม่ ดังนั้นพวกนางจึงน่าจะรู้จักความแข็งแกร่งของคุณหนูสี่ดีกว่าใคร หากว่าทุกคนไม่มีท่าทีที่กังวล คุณชายรองและคุณหนูสามตระกูลฉินก็รู้สึกโล่งอกไปด้วย

“สู้ให้เต็มที่เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะสนับสนุนเจ้า !”

ฉินอี้เฉียงและฉินอี้เพ่ยตะโกนสนับสนุนน้องสาวด้วยอีกแรง

แม้ว่านักเรียนคนอื่น ๆ จะรู้สึกว่าวันนี้ฉินอวี้โม่กำลังจะเผชิญกับหายนะ ทว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังคงส่งเสียงให้กำลังใจนางดังลั่น ส่วนผู้ที่ส่งเสียงสนับสนุนจีชางมีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น…ซึ่งทั้งหมดก็คือลูกน้องจำนวนไม่กี่คนของเขา

ก่อนที่การต่อสู้ของฉินอวี้โม่และจีชางจะเริ่มต้นขึ้นก็ยังมีผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาในสนามอีกมาก และยังมีอีกหลายคนที่รีบมุ่งหน้าเข้ามาให้ถึงเพื่อไม่ให้พลาดการประลอง ตอนนี้ข่าวเรื่องการปะทะกันระหว่าง *‘อดีตผู้ครอบครองอันดับหนึ่ง’*และ ‘อันดับที่หนึ่งคนปัจจุบัน’ แห่งทำเนียบดาวรุ่งทุกคนในโรงเรียนรับรู้กันแทบจะทั้งหมดแล้ว

“หึ วันนี้ข้าจะสั่งสอนน้องใหม่อย่างเจ้าให้รู้จักเจียมตัวซะบ้าง”

จีชางเปล่งเสียงออกมาอย่างหยิ่งผยอง สิ้นวาจานั้น ร่างกายของเขาก็หายวับไปก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งข้างกายฉินอวี้โม่ บุรุษอันธพาลจู่โจมสตรีรุ่นน้องอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้สัญญาณใด ๆ

ทว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย ร่างของนางเองก็หายวับไปและพุ่งเข้าปะทะกับอีกฝ่ายในชั่วพริบตาจากอีกทางหนึ่ง

เนื่องจากทางโรงเรียนมีกฎอยู่ว่าหากเกิดการประลองขึ้นระหว่างนักเรียนทั้งหลาย ทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่ทำให้คู่ต่อสู้ถึงตาย ฉะนั้นเพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดจากความประมาทหรือพลั้งมือจึงไม่อนุญาตให้ผู้เข้าประลองใช้อาวุธใด ๆ ได้ และเนื่องจากในตอนนี้จีชางไม่ได้เรียกอสูรมายาออกมา ฉินอวี้โม่เองก็จะไม่เรียกพวกมันออกมาด้วยเช่นกัน เพื่อให้การประลองเป็นไปอย่างยุติธรรมที่สุด อดีตนักฆ่าสาวจึงไม่คิดที่จะใช้อสูรมายาจำนวนมากของตนรังแกอีกฝ่าย

อย่างไรก็ตาม หากจีชางเรียกเอาอสูรมายาของเขาออกมาต่อกร แน่นอนว่าคนอย่างฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลที่จะเรียกเหล่าอสูรน้อย ๆ ของนางออกมาในจำนวนที่เท่าเทียมกันเพื่อที่จะเอาชนะอีกฝ่ายอย่างหมดจด และก็เพื่อคงความยุติธรรมในการประลองให้มากที่สุด*…แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องระดับของอสูรในครอบครองของแต่ละฝ่ายก็คงจะไม่อาจนับรวมเข้าไปด้วยได้ และก็ช่วยไม่ได้หากอสูรมายาในครอบครองของฉินอวี้โม่จะมีระดับสูงไปสักหน่อย*

— ปัง ! —

ฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างรุนแรงก่อนที่แรงสะท้อนจะส่งให้ทั้งคู่กระเด็นห่างออกจากกันอย่างรวดเร็ว เมื่อพิจารณาจากแรงปะทะและระยะของการกระเด็นออกไปแล้ว ดูเหมือนว่าพลังของคนทั้งสองจะไม่ด้อยไปกว่ากันสักนิด อีกทั้งฉินอวี้โม่ที่ระดับพลังต่ำกว่าก็ยังไม่แสดงอาการบาดเจ็บใด ๆ ทั้งสิ้น ราวกับว่าร่างกายของนางไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?”

จีชางมองฉินอวี้โม่ที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยด้วยความประหลาดใจ เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จอมยุทธ์นภมายาจะปะทะกับจอมยุทธ์มายาบรรพชนได้อย่างไม่เป็นรองเช่นนี้

การโจมตีเมื่อครู่ จีชางไม่ได้ยั้งมือเลยแม้แต่น้อย แต่เหตุใดฉินอวี้โม่ถึงสามารถรับฝ่ามือของเขาได้ง่าย ๆ อีกทั้งพลังของนางยังส่งให้เขากระเด็นออกมาได้อีกด้วย !

“อะไรเป็นไปไม่ได้อย่างนั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปาก นางไม่ใช่จอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาธรรมดา ๆ เพียงแค่คนโอหังที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตมายาบรรพชน นางไม่เห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ

“เหอะ ฉินอวี้โม่ ต่อให้เจ้ารับการโจมตีของข้าได้ แต่เจ้าจะไปทำอะไรได้ อย่างไรขอบเขตนภมายาเก้าดารากับขอบเขตมายาบรรพชนก็มีความต่างชั้นที่เจ้าไม่อาจก้าวข้ามได้อยู่อย่างมหาศาลเลยล่ะ”

จีชางเปล่งเสียงเย้ยหยันเย็นชา ร่างกายของเขาหายวับไปอีกครั้งก่อนที่จะมองเห็นเขาพุ่งโจมตีฉินอวี้โม่จากอีกด้านหนึ่งในพริบตาถัดมา

รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคุณหนูสี่ตระกูลฉิน นางไม่คิดจะถอยเลยแม้แต่น้อย อดีตนักฆ่าตั้งรับการโจมตีของอีกฝ่ายโดยไม่คิดหลบหลีก

.