ตอนที่ 287 หวาดหวั่น!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

หลี่ซื่ออวี๋ได้แต่เงียบต่อไป เพราะว่าวิชาแพทย์ของเขายังไปไม่ถึงระดับนี้จริงๆ ปกติแล้วแพทย์ทหารที่กลายเป็นแบบนั้นจะต้องเป็นหมอมานานยี่สิบปี ประสบการณ์ในการรักษาที่สั่งสมออกมาถึงจะทำให้พวกเขาทำเรื่องเช่นนี้ได้

“ในเมื่อนายทำเรื่องนี้ไม่ได้ นายบอกฉันได้ยังไงว่าอาการบาดเจ็บของลั่วล่างไม่ใช่โรคเก่ากำเริบขึ้นมา?” หลิงหลานเลิกคิ้วถามกลับ

ลูกพี่ ชั่วมากเลยอะ! เสี่ยวซื่อกับลั่วล่างเห็นหลี่ซื่ออวี๋ไม่มีโทสะทั้งๆ ที่ถูกลูกพี่ของตนถามกลับ พวกเขาก็ลอบส่ายศีรษะถอนหายใจ

โยนความรับผิดชอบให้อีกฝ่ายอย่างง่ายดาย แถมยังไม่ติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายด้วย…นี่ก็ยืนยันอีกครั้งแล้วว่าทำไมมีเพียงลูกพี่หลานเท่านั้นที่เป็นลูกพี่ของพวกเขาได้ ลูกพี่หลานเหนือกว่าพวกเขาในทุกๆ ด้านอย่างที่คิดเอาไว้เลย กระทั่งเรื่องความต่ำช้าก็เป็นแบบนี้เช่นกัน

หน้าอกของหลี่ซื่ออวี๋กระเพื่อมหลายครั้งทันที ทำให้หลิงหลานกังวลอยู่บ้างว่าเขาจะโกรธจนเป็นลมไหม เธออดทบทวนการกระทำของตัวเองไม่ได้ว่า เธอทำเกินไปหรือเปล่า… (ตอนนี้เธอเพิ่งจะรู้เรอะ?)

“ได้ ครั้งนี้ถือว่าเป็นความผิดของฉัน งั้นก็ให้ลั่วล่างกลับมารักษาใหม่อีกรอบ” หลี่ซื่ออวี๋สะกดกลั้นโทสะลงได้แล้วในที่สุดก็กัดฟันตอบ เขาถลึงตาใส่ลั่วล่างอย่างดุดัน ทำให้ลั่วล่างรู้ได้ถึงความหนาวเหน็บที่ทะลวงถึงไขกระดูก

ลั่วล่างเห็นดวงหน้าทะมึนของหลี่ซื่ออวี๋ เขาก็มองลูกพี่ตัวเองอย่างน่าสงสาร ขอร้องว่าอย่าให้หลี่ซื่ออวี๋รักษาได้หรือเปล่า? หลิงหลานทำเป็นมองไม่เห็น แต่ในใจกลับให้กำลังใจลั่วล่าง ลั่วล่างเอ๋ย นายลำบากอดทนให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปเถอะ เพื่อที่นายจะได้แข็งแกร่งขึ้นในอนาคต หลิงหลานเชื่อว่า ลั่วล่างอยู่ในศูนย์วิจัยแพทย์ทหารจะต้องได้รับผลประโยชน์ที่ดีเยี่ยมแน่นอน

หลิงหลานจัดการเรื่องของลั่วล่างแล้วก็ออกจากศูนย์วิจัยแพทย์ทหารอย่างอารมณ์ดีสุดขีด หลี่หลานเฟิงเห็นดังนั้นก็รีบบอกลาหลี่ซื่ออวี๋ เขาสังเกตคำถามที่เฉียบแหลมของหลิงหลานเมื่อสักครู่นี้ รู้ว่าตอนนี้หลี่ซื่ออวี๋อารมณ์เสียมากแน่นอน เขาก็อย่าอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย กระตุ้นค่าความเกลียดชังเลย

หลี่หลานเฟิงไม่ได้ลืมว่าเขาเข้ามากับหลิงหลาน ถ้าหากถูกหลี่ซื่ออวี๋คิดว่าเขาเป็นเพื่อนก๊วนเดียวกับหลิงหลานละก็ มันคงเป็นโศกนาฏกรรมโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้เขามีคำพูดบางอย่างที่อยากเอ่ยกับหลิงหลาน ออกไปตอนนี้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

หลิงหลานกับหลี่ซื่ออวี๋ออกไปจากศูนย์วิจัยแพทย์ทหารด้วยกัน หลังจากที่เดินไปได้สักระยะ หลิงหลานก็หยุดฝีเท้าลง เลิกคิ้วถามหลี่หลานเฟิงที่คอยตามหลังเธอมาตลอดว่า “นายมีเรื่องอะไรเหรอ?”

หลี่หลานเฟิงยิ้มพลางพยักหน้า เขาเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว เข้าไปใกล้หลิงหลาน นี่ทำให้หลิงหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะว่าเธอไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้เธอมากเกินไป แต่คำพูดต่อมาของหลี่หลานเฟิงกลับทำให้เธอลืมเรื่องนี้ไป

“อาการบาดเจ็บของลั่วล่างเกี่ยวข้องกับเรื่องของเทียนจีใช่ไหม” หลี่หลานเฟิงเอ่ยด้วยเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนได้ยิน

หลิงหลานส่งสายตาเย็นเยียบตรงไปที่หลี่หลานเฟิง ถามกลับว่า “เรื่องของเทียนจี ฉันได้ยินแค่ว่าอาคารศูนย์บัญชาการถล่มลงมาเท่านั้น ตอนนี้ทางโรงเรียนกำลังตรวจสอบอยู่ ยังไม่มีรายงานการตรวจสอบที่ยืนยันแน่ชัดออกมา ไม่รู้ว่ารุ่นพี่หลี่เกิดความคิดนี้ขึ้นมาได้ยังไง? หรือว่านายมีข้อมูลเบื้องหลังอะไร? บอกให้รุ่นน้องฟังเพื่อแก้ไขข้อสงสัยได้ไหม?”

“ซือหมิงอี้กลายเป็นผักไปแล้ว…” หลี่หลานเฟิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คนอื่นไม่รู้ความชอบของเขา แต่ฉันรู้ดี หน้าตาของลั่วล่างเป็นแบบที่ซือหมิงอี้ชอบมากที่สุดพอดีเลย และฉันก็ตรวจพบว่าเมื่อวานตอนบ่ายลั่วล่างไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหาร ฉันถามคุณชายซื่ออวี๋แล้ว เขาไม่รู้เรื่องนี้เลย”

สีหน้าของหลิงหลานไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักเดียวเมื่อได้ยินคำกล่าว เธอยังคงตอบอย่างเรียบนิ่งว่า “รุ่นพี่หลี่ คาดเดาโดยที่ไม่มีมูลความจริงมีแต่จะทำให้คนตัดสินผิดพลาดนะ ถ้านายอยากรู้ว่าทำไมเมื่อวานตอนบ่ายลั่วล่างถึงมาที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหาร ฉันอธิบายให้นายฟังได้นะ”

หลิงหลานหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ความจริงแล้วมันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนเช้าของเมื่อวาน ลั่วล่างรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติอยู่บ้าง ดังนั้นหลังจากที่จบหลักสูตรฝึกฝนร่างกายของวัน เขาก็เลยไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารอยากให้นักเรียนดีเด่นหลี่ตรวจดู แต่ว่าจู่ๆ กลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเราก็ได้รับภารกิจจากทางระดับสูงของโรงเรียน และทางระดับสูงของโรงเรียนระบุชื่อลั่วล่างว่าอยากให้ทำภารกิจนี้โดยตรง ดังนั้นพวกเราก็เลยเรียกลั่วล่างกลับมา นี่ก็คือสาเหตุที่ลั่วล่างรีบร้อนกลับไปโดยที่ยังไม่ได้เจอนักเรียนดีเด่นหลี่”

หลิงหลานให้คำอธิบายแก่หลี่หลานเฟิงอย่างสงบนิ่ง ขณะเดียวกันเธอก็ให้เสี่ยวซื่อในห้วงจิตใจรีบไปแก้ไขข้อมูลในออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักให้เป็นไปตามคำพูดเธอด้วยความลนลาน ไม่นึกเลยว่าเธอเก็บกวาดเรียบร้อยขนาดนี้ แต่หลี่หลานเฟิงตรงหน้ากลับสืบเสาะถึงขอบเรื่องได้นิดหน่อยแล้ว

อย่างที่คิดไว้เลย เธอไม่อาจดูถูกคนของโรงเรียนทหารได้ หลี่หลานเฟิงที่ดูอ่อนโยนเป็นคนดีไม่มีพิษมีภัยกลับมีความสามารถในการคาดการณ์ยอดเยี่ยมขนาดนี้ เมื่อเขาวางแผนการขึ้นมาย่อมทำให้ผู้คนหวาดหวั่นเช่นกัน โชคดีที อีกฝ่ายไม่มีนิสัยอดทน เกิดสงสัยนิดหน่อยก็มาพูดกับเธอทันที ทำให้เธอมีโอกาสอุดช่องว่างทั้งหมด ไม่อย่างนั้นหากเขาตรวจสอบอย่างลับๆ เช่นนี้ต่อไป มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะถูกเขาค้นเจออะไรบางอย่างก็ได้ หลิงหลานคิดถึงตรงนี้ก็อดนึกหวาดกลัวอยู่บ้างไม่ได้ เธอรู้สึกหวาดหวั่นต่อหลี่หลานเฟิงขึ้นมาแล้ว

หลังจากที่ได้รับการตอบกลับจากเสี่ยวซื่อบอกว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หลิงหลานค่อยเอ่ยต่อว่า “ทุกอย่างนี้น่าจะมีข้อมูลอยู่ในออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของโรงเรียน ฉันคิดว่าทางรุ่นพี่หลี่มีคนที่มีความสามารถอยู่มากมาย น่าจะตรวจสอบบันทึกที่เกี่ยวข้องได้นะ…”

คำพูดของหลิงหลานบีบรัดหัวใจหลี่หลานเฟิงอยู่รางๆ หรือว่าเขาเข้าใจผิดจริงๆ?

ในขณะที่หลี่หลานเฟิงกำลังตะลึงงันอยู่นั้น หลิงหลานก็เอ่ยเตือนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “เพราะฉะนั้น รุ่นพี่หลี่ พวกเราต้องรู้จักทำความเข้าใจความเป็นจริงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที ไม่อย่างนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะนำพาปัญหาที่ไม่จำเป็นบางอย่างมาให้ตัวเองและคนอื่น ฉันเชื่อว่ารุ่นพี่หลี่ก็คิดแบบนี้เหมือนกันใช่ไหมครับ”

คำพูดของหลิงหลานสื่อความหมายข่มขู่อยู่รางๆ แต่หลี่หลานเฟิงได้ยินคำพูดนี้แล้วกลับไม่สนใจเลยสักนิดเดีนว ตรงกันข้ามเขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันแค่กลัวว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับพวกรุ่นน้องหลิงหลานจริงๆ พวกนายเพิ่งจะล่วงเกินเหลยถิงไป แล้วยังล่วงเกินเทียนจีอีก ต่อไปอยู่ในโรงเรียนจะลำบากจริงๆ นะ แต่ในเมื่อเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกรุ่นน้อง งั้นฉันก็วางใจแล้ว”

คำพูดของหลี่หลานเฟิงทำให้คิ้วของหลิงหลานขมวดเข้าหากันเล็กน้อย คำพูดที่หลี่หลานเฟิงคนนี้กล่าวกับเธอพวกนี้หมายความว่าอะไรกันแน่? หรือว่าเป็นแค่เจตนาดีจริงๆ?

หลี่หลานเฟิงกลับไม่สนใจความคิดของหลิงหลาน เขาบอกลาหลิงหลานทันที ก่อนที่จะจากไปก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งราวกับเป็นห่วง หรือว่ามีเจตนาอื่น เขาพูดว่า “รุ่นน้อง การกลายพันธุ์ทางจิตของนายแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าใช้น้อยลงได้ก็พยายามใช้ให้น้อยที่สุดล่ะ ไม่อาจแน่ใจได้ว่าโรงเรียนไม่มีคนที่กลายพันธุ์ทางจิตเหมือนกับนายเลย…ระมัดระวังทุกอย่างเอาไว้นะ!”

รอยยิ้มของหลี่หลานเฟิงก่อนจะจากไปทำให้ในใจหลิงหลานเกิดความระแวดระวังขึ้นมา หลี่หลานเฟิงรู้อะไรกันแน่นะ? หลิงหลานถามเสี่ยวซื่อท่ามกลางความสงสัยว่าคิดยังไงกับหลี่หลานเฟิง ไม่นึกเลยว่าคำตอบของเสี่ยวซื่อจะทำให้หลิงหลานงงหนักกว่าเดิม

เสี่ยวซื่อบอกว่า ความรู้สึกโดยรวมของหลี่หลานเฟิงคนนี้ทำให้เขาคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่หลี่หลานเฟิงเก็บงำเอาไว้ลึกมาก กลิ่นอายที่รั่วไหลออกมาจางๆ เหมือนกับเป็นคนรู้จักของพวกเขา แต่มันก็แฝงความรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่นิดหน่อยด้วย ในระหว่างที่เสี่ยวซื่อพูดก็เปรียบเทียบออกมาไม่ได้เลยว่าเขาเหมือนกับใคร บางทีถ้าเกิดได้ปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่ายหลายครั้งแล้ว เขาอาจจะหาของที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ก็ได้…

เอาเถอะ เสี่ยวซื่อก็ไม่มีคำตอบอะไรดีๆ เหมือนกัน หลิงหลานได้แต่โยนเรื่องหลี่หลานเฟิงไปไว้ที่ด้านหลังสมอง ในเมื่อตอนนี้หลี่หลานเฟิงดูไม่เหมือนคนมีเจตนาร้าย หลิงหลานก็ไม่อยากสิ้นเปลืองความคิดเกี่ยวกับเขามากนัก เพราะว่าเธอต้องเริ่มทำภารกิจต่อไปแล้ว

ถึงแม้ว่าลั่วล่างกลับไปรักษาตัวต่อที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหาร แต่การคัดเลือกกลุ่มพิธีการที่ต้อนรับเหล่าผู้ทดสอบ ไม่อาจหยุดลงเพราะการรักษาตัวของลั่วล่างได้ หลิงหลานพาอู่จย่งกับเซี่ยอี๋เริ่มดำเนินกิจกรรมการคัดเลือกภายในกลุ่มนักเรียนใหม่ หลายวันต่อมา พวกเขาก็รวบรวมขบวนต้อนรับที่ตรงตามความต้องการของระดับสูงในโรงเรียนทหารได้ในที่สุด

ต่อมาพวกหลิงหลานก็ทำภารกิจฝึกฝนขบวนต้อนรับ งานพวกจัดขบวนต้อนรับก็ให้อู่จย่งที่มาจากตระกูลทหารลงมือฝึกฝน ส่วนหลิงหลานก็ปล่อยไอพลังอันน่ากลัวของเธอออกมาในตอนท้ายสุด ให้พวกลูกทีมเหล่านี้ได้ปรับตัว หลิงหลานคิดว่าผู้ทดสอบเหล่านี้น่าจะเป็นราชันทหารที่ผ่านศึกมานับร้อย บนตัวย่อมมีไอชั่วร้ายที่รุนแรง ถ้าหากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับไอชั่วร้ายแบบนี้ได้ละก็ ต่อให้พวกเขาจัดขบวนต้อนรับได้ดีอีกสักแค่ไหน เมื่อสัมผัสโดนก็จะถูกไอชั่วร้ายพวกนี้ของอีกฝ่ายขู่ขวัญจนฟุบตัวหน้าคว่ำ นี่จะเป็นการขายหน้ากลุ่มนักเรียนใหม่ของพวกเขามากเกินไป

คำพูดของหลิงหลานได้รับความเห็นชอบจากทุกคน โดยเฉพาะอู่ย่ง เขาสะท้อนใจอย่างลึกซึ้งว่า ‘มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่เห็นพ่อของเขา คุณปู่ของเขา เขาก็จะหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับเขยื้อน แค่มองมาก็แทบจะทำให้เขาตกใจกลัวจนหน้าคว่ำ คาดว่าคงเป็นเพราะไอชั่วร้ายอย่างไร้ที่สิ้นสุดที่บ่มเพาะมาจากในสนามรบส่งผลต่อจิตใจของเขา’

ในขณะที่ฝั่งหลิงหลานทำการฝึกฝนกันอย่างคึกคัก ทางลั่วล่างก็ดำเนินขั้นตอนการรักษาที่ทรมานอย่างหาใดเปรียบต่อไป ฉีหลงกับหลิงอิงเจี๋ยเห็นลั่วล่างกลับมาใหม่อีกครั้งก็ยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นอย่างยิ่งยวด

ความจริงแล้ว ตอนแรกที่ลั่วล่างหลุดพ้นจากขุมนรก ออกไปจากศูนย์วิจัย พวกเขาสองคนต่างไม่พอใจมาก คิดว่าพวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บในสมรภูมิเดียวกัน ลั่วล่างมีสิทธิ์อะไรถึงหลุดพ้นได้เร็วขนาดนั้น ส่วนพวกเขากลับต้องอยู่ที่นี่ทนรับความทรมานต่อไป? ในใจพวกเขาย่อมรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ดังนั้นพอรู้ว่าลั่วล่างกลับมาอีกครั้ง พวกเขาค่อยรู้สึกว่าความไม่ยุติธรรมทุกอย่างได้หายไปแล้ว

บอกได้แค่ว่า สองคนนี้เป็นเพื่อนที่แย่มากที่สุดแน่นอน!

……

ผ่านไปอีกสิบวัน ในที่สุดลั่วล่างก็กลับมาแข็งแรงตามเดิม และถูกหลี่ซื่ออวี๋ปล่อยตัวออกมาอีกครั้ง แน่นอนว่าหลี่ซื่ออวี๋ได้ทำการตรวจสอบนับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่จะปล่อยตัวออกมา ถึงขนาดที่ยังให้อาจารย์ของตัวเองตรวจดูด้วย เพราะเขากลัวอย่างยิ่งว่าหลิงหลานจะขู่เข็ญเขาต่อ

แน่นอนว่าการกระทำของเขาในครั้งนี้กลับทำให้อาจารย์ตื้นตันใจ ‘ดูลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของเราคนนี้สิ ระมัดระวังมาก เอาใจใส่ความปลอดภัยมากเลย คนเป็นแพทย์ทหารต้องมีท่าทีแบบนี้ รับผิดชอบต่อคนไข้ของตัวเองจนถึงที่สุด..’ ดังนั้นระดับความพึงพอใจของอาจารย์ที่มีต่อหลี่ซื่ออวี๋จึงทำลายสถิติใหม่อีกครั้ง นี่ก็เป็นผลพลอยได้ของหลี่ซื่ออวี๋ และก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่หลี่ซื่ออวี๋รู้แล้ว เขาจะรู้สึกอย่างไร จะเกลียดหลิงหลานหรือว่าจะขอบคุณหลิงหลานดีที่สร้างความเข้าใจผิดที่สวยงามแบบนี้ให้เขา?

คนที่ออกมากับลั่วล่างยังมีฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ยด้วย โดยเฉพาะฉีหลง ถึงแม้ว่าบาดแผลของเขาจะหนักมากที่สุดในหมู่ทั้งสามคน แต่มันก็ไม่อาจต้านทานคุณสมบัติร่างกายของเขาที่ดีเยี่ยมที่สุด และความสามารถในการดูดซับยาที่ยอดเยี่ยมที่สุดเช่นกัน ดังนั้น พวกเขาสามคนเลยหายดีเป็นปกติแล้วออกมาด้วยกันได้พอดี

เมื่อทั้งสามคนก้าวเท้าออกจากศูนย์วิจัยแพทย์ทหารก็กอดคอกันร้องไห้อย่างตื้นตันใจทันที แม่งเอ๊ย ในที่สุดก็ออกจากขุมนรกนั้นแล้ว

กระทั่งฉีหลงที่ทำตัวเรื่อยเฉื่อยมาตลอดก็ถูกวิธีการน่ากลัวของหลี่ซื่ออวี๋ขู่ขวัญจนหวาดหวั่นไปแล้วเหมือนกัน ส่วนหลี่อิงเจี๋ยก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในใจ นับจากนี้ไป เขามีเงามืดในจิตใจที่ลบไม่ออกต่อญาติผู้พี่ของตัวเอง นี่ทำให้อนาคตเขาไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของหลี่ซื่ออวี๋ในช่วงเวลาสำคัญ…

จำเป็นต้องพูดว่า การกระทำของหลี่ซื่ออวี๋ในครั้งนี้ได้บรรลุเป้าหมายของเขาแล้วจริงๆ เขาได้สร้าง ‘ความผูกพันระหว่างพี่น้อง’ กับหลี่อิงเจี๋ยแล้ว ท้ายที่สุดก็สามารถเฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ถึงแม้ว่ามันจะไปคนละทางกับแผนที่เขาวางไว้ในตอนแรก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลี่อิงเจี๋ยก็เชื่อฟังคำพูดเขาแล้ว