เล่ม 1 ตอนที่ 210 โปรดเข้าใจในความอวดดี

ราชินีพลิกสวรรค์

ในเมืองอู๋เขิ่น มีผู้คนมากมายนัก ครึกครื้นนัก

 

 

พวกเขาทั้งสามเดินไปด้วยกันเป็นกลุ่ม ชื่นชมขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นไปพลาง ดินทางไปยังสถาบันไป๋หยวนในเมืองอู๋เขิ่นไปพลาง

 

 

เพียงแต่ว่า

 

 

เจียงเฮ่าและลู่เสวียนที่ตามอยู่ข้างหลังเจียงหลีนั้นตรงกันข้าม พวกเขาไม่ได้ชื่นชมทัศนียภาพของเมืองอู๋เขิ่นอย่างเพลิดเพลินเหมือนเจียงหลี ทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งอยู่ทางซ้าย คนหนึ่งอยู่ทางขวา ต่างมองนางด้วยสายตาที่หวาดกลัว

 

 

ที่ต่างจากลู่เสวียนก็คือในสายตาที่หวาดกลัวของเจียงเฮ่า ยังมีความภาคภูมิใจที่ปิดเอาไว้ไม่อยู่

 

 

อืม น้องสาวของเขาเก่งกาจ ยอดเยี่ยมขนาดนี้ พี่ชายอย่างเขาจะไม่ภูมิใจได้อย่างไร

 

 

“คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ข้าไม่เข้าใจ……” ลู่เสวียนเดินไป ส่ายหัวไป พูดพึมพำ

 

 

“เจ้าไม่เข้าใจอะไรหรือ” เจียงหลีไม่ได้หันหน้ามา ความสนใจของนางอยู่ที่ขนบบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นเหล่านั้นที่แตกต่างจากจยาเซียน พอได้ยินลู่เสวียนบ่นพึมพำ จึงเปิดปากถามไปอย่างนั้น

 

 

เมื่อได้ยินเจียงหลีพูดตอบ ลู่เสวียนจึงเงยหน้าทันที จ้องนางด้วยแววตาที่เปล่งประกาย “ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เพิ่งจะไม่กี่เดือน เจ้าก็เลื่อนขึ้นไปแล้วสามขั้น!”

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ เจียงหลีค่อยๆ หลุบสายตา พูดเสียดสีในใจ ที่เจ้าเห็นว่าแค่ไม่กี่เดือน ความจริงแล้ววข้าอยู่ในเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อตั้งหลายปี เวลาหลายปีนี้ หากไม่ฝึกฝนให้เลื่อนขั้นได้มากเท่านี้ จะให้ข้าอยู่ไปวันๆ หรือไง

 

 

เพียงแต่ การมีอยู่ของเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ แม้แต่ลู่เจี้ยก็ไม่รู้ เป็นธรรมดาที่นางจะไม่พูดอะไรมาก

 

 

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เชื่อใจหรือไม่ แต่เป็นความลับ ท้ายที่สุดก็ต้องรู้ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกัน นางไม่มีทางให้เจียงเฮ่ารู้ว่าภายในน้องสาวคนนี้ได้เปลี่ยนไปนานแล้ว ไม่ใช่เจียงหลีคนเดิมคนนั้นแล้ว

 

 

“อาหลีมีพรสวรรค์ เลื่อนขั้นไวหน่อยก็ไม่เห็นแปลกอะไร”

 

 

ลู่เสวียนรอคำตอบจากเจียงหลี นางยังไม่ทันได้ตอบคำถาม เจียงเฮ่าก็ทนไม่ไหว ชี้แจงแทนน้องสาวไปก่อนแล้ว

 

 

พอได้ยินเช่นนี้ เจียงหลียิ้มเล็กน้อย และไม่ได้อธิบายอะไรอีก

 

 

ลู่เสวียนมองเจียงเฮ่าอย่างจนปัญญา การเดินทางในครั้งนี้ ทำให้เขาได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าการปกป้องน้องสาวอย่างสุดความสามารถ

 

 

“โห! ดูพี่คนหล่อทั้งสองนั้นสิ”

 

 

“หล่อเหลาจริงเชียว ผิวละเอียดและอ่อนนุ่ม ผิวดีกว่าหญิงสาวเมืองเราเสียอีก”

 

 

“ดูดีจนข้าอยากจะเอาไปเป็นสามีเลยล่ะ”

 

 

“……”

 

 

ทั้งสองข้างทางที่แออัด เสียงหญิงสาวปริศนาที่พูดหยอกล้อก็ดังขึ้น ทำให้สีหน้าของลู่เสวียนและเจียงเฮ่าดูไม่ปกติ

 

 

พวกเขาทั้งสองคน คือชายรูปหล่อที่ถูกกล่าวถึงอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

เพียงแต่ว่า ผิวละเอียดและอ่อนนุ่มที่ไม่สมควรมีนี้ ที่จริงแล้วก็โทษพวกเขาไม่ได้ ที่จยาเซียน ผิวพรรณของทั้งสองคนถือว่าเป็นปกติสำหรับผู้ชาย แต่ในประเทศซีเฉียนที่ตั้งอยู่ในเขตตะวันตกของหนานฮวง มีสภาพภูมิอากาศแห้งแล้ง ลมพายุค่อนข้างแรง ผิวพรรณของคนส่วนมากค่อนข้างหยาบ แม้แต่เค้าโครงหน้าก็ดีสู้คนประเทศทางใต้ไม่ได้ และนอกจากผิวแล้วนิสัยก็ค่อนข้างหยาบเช่นกัน

 

 

ดังนั้น หลังจากที่เจียงเฮ่าและลู่เสวียนเดินเข้ามาในเมืองอู๋เขิ่น ก็เป็นที่ดึงดูดความสนใจของสาวซีเฉียนที่ใจกล้าอย่างรวดเร็ว

 

 

การหยอกล้อของสาวซีเฉียนสร้างความอึดอัดให้หนุ่มน้อยทั้งสองมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ทั้งสองโดนแทะโลมทางสายตาอย่างโจ่งแจ้ง ราวกับโดนถอดเสื้อผ้าออกจนหมดในตอนกลางวันแสกๆ

 

 

เพื่อป้องกันสายตาที่รักใคร่เหล่านี้ เจียงเฮ่าเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง และลู่เสวียนก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์ ตามอยู่ข้างหลังเจียงหลีติดๆ ท่าทางเหมือนต้องการความช่วยเหลือ

 

 

กลับมาที่เจียงหลี ร่างกายของนางยังไม่โตเต็มวัย รูปร่างผอมบาง ไม่มีอะไรดึงดูดความสนใจของผู้คน ผู้คนเพียงคิดว่าสาวน้อยคนนี้งดงามยิ่งนัก นางจึงทำตัวสบายๆ กลั้นขำเพราะท่าทางตลกๆ ของสองคนนั้นตลอดทาง

 

 

โฮกกก!

 

 

ทันใดนั้น บนถนนข้างหน้าก็มีเสียงสัตว์ป่าคำรามดังขึ้น

 

 

เจียงหลีหยุดเดิน ขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

เสียงคำรามที่น่าหนวกหูนี้ ถ้าหากนางได้ยินไม่ผิด น่าจะเป็นสัตว์ป่าที่กำลังปะทะกันอยู่ แต่ว่านี่เป็นเมืองหลวงของซีเฉียน บนถนนใหญ่จะมีสัตว์ป่าต่อสู้กันได้อย่างไร

 

 

เจียงหลีเงยหน้ามองกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันข้างหน้า มีคนมากมายค่อยๆ ถอยมาทางนาง

 

 

“อาหลีระวังด้วย” ในตอนที่กลุ่มคนเข้ามาใกล้ เจียงเฮ่าจับมือของเจียงหลีทันที พานางเบียดไปใต้ชายคาที่อยู่ข้างทาง

 

 

ลู่เสวียนก็รีบตามมาอย่างรวดเร็ว คนหนึ่งยืนทางซ้าย คนหนึ่งยืนทางขวา ปกป้องเจียงหลีที่อยู่ตรงกลาง ไม่ให้กลุ่มคนที่เบียดมาโดนนาง

 

 

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวไม่น้อยก็ใช้โอกาสนี้เบียดเข้ามา ล้อมรอบอยู่ข้างๆ ลู่เสวียนและเจียงเฮ่า หยอกล้อทั้งสองคนด้วยสายตาและแตะเนื้อต้องตัว เอารัดเอาเปรียบพวกเขาอย่างเงียบๆ

 

 

“นี่พวกเจ้า…พอได้แล้ว!” ลู่เสวียนทนไม่ไหวแล้ว กัดฟันพูดเตือนด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

 

 

น่าเสียดายที่หญิงสาวซีเฉียนที่เร่าร้อนกลับไม่ได้สนใจคำเตือนของเขา

 

 

ลู่เสวียนจนปัญญา ก็เลยส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปให้เจียงหลี

 

 

แต่ทว่า ตอนนี้เจียงหลีไม่ได้สนใจเขา นางมองไปทางด้านหน้าที่มีเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังขึ้นมา

 

 

กลุ่มคนได้ถอยร่นไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ถนนหลักโล่ง คนน้อยลงแล้ว พวกเขาทั้งสามเพิ่งมองเห็นกันชัดๆ ว่ารถม้าวิจิตรสองคันที่ใช้สัตว์ป่าลากมานั้นกำลังปะทะกันอยู่บนถนน

 

 

สัตว์ป่าที่ลากรถของทั้งสองฝ่าย ต่างก็แยกเขี้ยวยิงฟันคำรามใส่กัน ไม่มีใครยอมใคร

 

 

“พวกเขาเป็นใคร ถึงได้กล้ามาอวดดีเช่นนี้ในเมืองหลวง” เจียงเฮ่าขมวดคิ้ว ถามเสียงต่ำ

 

 

หญิงสาวที่เบียดอยู่ข้างๆ เขาได้ยินเข้า จึงใช้โอกาสนี้ชวนคุย “คุณชายมาจากที่อื่นใช่ไหม มิน่าล่ะไม่รู้จักไท่จื่อและองค์ชายรอง”

 

 

องค์รัชทายาทและองค์ชายรอง? เจียงหลีทำท่าสงสัย

 

 

“เสด็จน้อง เจ้าจะแย่งถนนกับข้ารึ” เสียงที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายดังออกมาจากรถม้าที่โอ่อ่าทางด้านซ้าย แม้ยังไม่เห็นหน้า แค่ฟังเสียงก็รู้สึกว่าคนนี้ไม่น่าคบหาด้วย

 

 

“เสด็จพี่ ท่านพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ถนนนี้ท่านกับข้าใช้ด้วยกัน ทำไมถึงกลายเป็นข้าที่โดนหาว่าแย่งถนนเล่า” เสียงที่อ่อนโยนกว่าดังออกมาจากในรถม้าทางขวา

 

 

แต่ว่า น้ำเสียงนั้นไม่มีความเคารพนับถืออยู่เลย กลับแสดงให้เห็นว่ามีความขัดแย้งกันอยู่

 

 

หลังจากที่เสียงรถม้าของไท่จื่อเงียบไป ก็มีเสียงที่ยากจะขัดขืนสั่งขึ้นมา “หลีกทาง”

 

 

“เหอะ” ในรถม้าขององค์ชายรองมีเสียงไม่พอใจดังออกมา “มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องหลีกด้วย ถ้าหากว่าท่านรังเกียจที่ทางนี้แคบเกินไป ข้าช่วยท่านจัดการถนนให้กว้างขึ้นก็ได้”

 

 

เขาเพิ่งพูดจบ องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ทั้งสองข้างของรถม้าก็ออกมาทำลายแผงขายของทั้งสองข้างทาง แม้กระทั่งบ้านบางหลังก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน

 

 

“บ้านของข้า!”

 

 

“แผงขายของของข้า!”

 

 

เหล่าคนที่ได้รับผลกระทบไปด้วย เริ่มส่งเสียงร้อง

 

 

แต่ว่า คนที่ดูอยู่รอบๆ กลับเงียบสนิท ก้าวถอยหลังไปอย่างไม่ได้นัดหมาย

 

 

“อย่าโทษข้าเลย ใครใช้ให้เสด็จพี่ของข้ารู้สึกว่าทางมันแคบไปล่ะ” องค์ชายรองพูดอย่างดีใจที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์

 

 

เมื่อเขาพูดจบ เสียงร่ำไห้จากด้านนอกยิ่งดังขึ้น

 

 

หลังจากที่ไท่จื่อแห่งซีเฉียนได้ยินคำพูดที่ตั้งใจหาเรื่อง เขาไม่ได้สั่งคนไปปลอบขวัญคนที่ได้รับความเสียหายเหล่านั้น กลับพูดอย่างเลือดเย็นว่า “ในเมื่อรักบ้านขนาดนั้น เจ้าก็ไปอยู่เป็นเพื่อนมันสิ”

 

 

ต่อมา องครักษ์ของเขาก็ออกมาฆ่าคนโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

 

 

ชั่วพริบตาเดียว ด้านหน้าและด้านหลังบ้านเรือนที่ถูกทำลาย มีคนสิบกว่าคนล้มลง เลือดนองจนพื้นกลายเป็นสีแดงสดไปหมด

 

 

ลู่เสวียนดูเหตุการณ์นี้ด้วยความตะลึง “กลางวันแสกๆ ก็ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาแบบนี้เลยหรือ”