หนิงฮูหยินน้อยมองสาวใช้ชั้นล่างยกน้ำแกงบำรุงร่างกายให้เหยาเฟิ่งเกอกับตาตนเอง ตอนที่มองนางกินจึงปรึกษาหารือด้วยเสียงแผ่ว “ข้าต้องพาฮั่นเจี่ยเอ๋อร์กลับจวนเหยาก่อน เวลานี้นางอยู่ที่นี่คงไม่เหมาะสม วันนี้เรือนหน้าก็ทำพิธีไว้อาลัยแล้ว พรุ่งนี้ข้าควรพาเยี่ยนอวี่มาแสดงความเสียใจหน่อย นี่เจ้ายังอยู่เดือนไม่ครบสิบสองวันคงออกไปไหนไม่ได้ เจ้าต้องรู้จักระมัดระวังตัว อย่าได้ทำให้ส่งผลต่อสภาพจิตใจเด็ดขาด อีกสองสามวันข้าจะกลับมา”
“พี่สะใภ้วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนซื่อแล้ว เรื่องที่ทำลายสุขภาพของตนเองแล้วปล่อยให้คนอื่นสาแก่ใจข้าไม่ทำแล้ว” เหยาเฟิ่งเกอแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ตอนนี้ในจวนมีคนเข้าออกมากมาย ข้าขอพูดอะไรที่ไม่กลัวว่าพี่สะใภ้จะขุ่นเคืองใจหน่อยเถอะ ฮั่นเจี่ยเอ๋อร์ไม่ควรพักอาศัยอยู่ที่นี่ ท่านเอาไปให้เยี่ยนอวี่ดูแล ข้าก็รู้สึกไว้วางใจแล้ว”
หนิงฮูหยินน้อยเปรยขึ้น “คำพูดนี้ของเจ้าก็กล่าวถูก ทว่าข้ากลัวว่าน้องสาวก็ยุ่งเช่นกัน เดี๋ยวพี่รองของเจ้าจะหาว่าข้าสร้างความลำบากให้นางอีก”
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มอ่อนๆ “จริงๆ น้องรองเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนที่สุดแล้ว ภายนอกของนางอาจจะดูสุขุมเยือกเย็นเหมือนเป็นคนเข้าหายาก แท้จริงแล้วนางแค่ชอบอยู่อย่างเงียบสงบแล้วไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย ข้ามองว่านางชอบเด็กอยู่เหมือนกัน วันนั้นนางมองเย่ว์เอ๋อร์ด้วยแววตาที่รักใคร่ยิ่งนัก คิดว่านางต้องไม่เกี่ยงที่จะดูแลฮั่นเอ๋อร์หรอก”
หนิงฮูหยินน้อยได้ยินคำพูดนี้จึงหัวเราะ “เจ้ากล่าวไม่ผิดเลย”
วันนี้หนิงฮูหยินน้อยจึงพาบุตรีกลับจวนเหยา เหยาเยี่ยนอวี่ก็กลับจากบ้านสวนวัวจวู
ยัยหนูน้อยเหยาชุ่ยฮั่นไม่ได้เจอหน้าเหยาเยี่ยนอวี่มาหลายวันจึงเดินเข้าไปพร้อมกางแขนให้นางอุ้ม เหยาเยี่ยนอวี่อุ้มยัยหนูน้อยแล้วถามว่านางคุ้นเคยในการพักอยู่ที่จวนเหยาหรือไม่ นางครุ่นคิดแล้วบอกว่าพี่อวิ๋นดีมากๆ
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดถึงซูจิ่นอวิ๋น เป็นยัยหนูน้อยซูที่รู้จักกาลเทศะ นางจึงพูดยิ้มๆ “อืม ผ่านไปสักระยะพวกเราก็พาพี่อวิ๋นมาพักที่นี่เสียสองวันดีไหม”
“ดีเลย! ข้าชอบพี่อวิ๋น!” ยัยหนูน้อยพยักหน้าด้วยความดีใจ
หนิงฮูหยินน้อยสั่งให้แม่นมอุ้มบุตรีไปแล้วรั้งเหยาเยี่ยนอวี่มาพูดคุย “บิดาและมารดาต้องไม่มีทางมาร่วมแสดงความเสียใจแน่นอน วันรุ่งขึ้นพวกเราไปจวนติ้งโจวก็ถือว่าคนของตระกูลเหยาไปกันครบแล้ว ตอนนี้พวกเรามาปรึกษาหารือเรื่องของแสดงความเสียใจหน่อยเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันยิ้มอย่างขมขื่น “พี่สะใภ้ผู้แสนดี ท่านจะมาหารือกันข้า? ข้าจะเข้าใจได้อย่างไร”
หนิงฮูหยินน้อยพูดยิ้มๆ “อย่ามาทำเป็นไม่รู้ เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และใกล้จะออกเรือนอีกด้วย เรื่องพวกนี้อย่างไรก็ต้องจัดการเอง ในภายภาคหน้าเพราะว่าเกรงเจ้าไม่เข้าใจ ข้าถึงได้เรียกเจ้ามาจัดการด้วยกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีหลายคนมาร่วมแสดงความเห็น จึงหันไปตามหาเฝิงหมัวมัว หวังว่านางที่เป็นแม่เฒ่าจะช่วยตนจัดการปัญหานี้ได้
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เจ้าต้องตั้งใจฝึก” หนิงฮูหยินน้อยยื่นมือไปดึงหน้านางให้หันมาตรงๆ “วันหลังเจ้าจะแต่งเข้าจวนแม่ทัพ จวนแม่ทัพไม่มีแม่สามีคอยช่วย เจ้ากังวลใจรอบข้างก็ไม่มีสะใภ้คนอื่นคอยช่วยเจ้า พิธีกรรมต่างๆ ของจวนแม่ทัพล้วนต้องเป็นเจ้าที่ไปจัดการ ห้ามจัดการทุกอย่างอย่างลวกๆ เด็ดขาด อย่างไรตระกูลพวกเราก็ต้องให้สาวใช้ที่ได้การได้งานติดตามเจ้าตอนออกเรือนไปหลายคน ทว่าเรื่องบางอย่างเจ้าก็ต้องตัดสินใจเอง เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วๆ!” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าด้วยความโชคดี “พี่สะใภ้รองหวังดีต่อข้าจากใจจริง ข้ารู้ดี”
ดังนั้นหนิงฮูหยินน้อยจึงดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไปเปิดคลังเก็บของจวนเหยาแล้วขนของหลายอย่างออกมา หลังจากเลือกข้าวของไปสักพักก็เลือกอันที่เหมาะสมในการแสดงความเสียใจกับจวนติ้งโหวได้ คุณหนูเหยาผู้น่าสงสารที่ถูกพี่สะใภ้ลากตัวไปและยุ่งจนถึงยามสี่ถึงจะได้กลับเรือน ตอนนี้ต่อให้นางรู้สึกเหนียวตัวเพราะเหงื่อแตกทว่านางก็ไม่สนใจใดๆ แค่นอนลงบนเตียงก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
วันที่สอง หนิงฮูหยินน้อยพาเหยาเยี่ยนอวี่และเหยาเหยียนอี้แยกกันนั่งรถม้าไปยังจวนองค์หญิงต้าจั่ง หลังจากถวายเครื่องราชบรรณากา รชายและหญิงแยกก็กันเข้าไปจุดธูปเคารพศพ
เหยาเยี่ยนอวี่ตามอยู่ด้านหลังพี่สะใภ้ หลังจากที่น้อมคำนับต่อหน้าป้ายบูชาขององค์หญิงต้าจั่งแล้วจึงถูกเชิญไปพักตรงด้านข้าง หลังจากออกจากสถานที่จัดงานศพน างจึงกวาดสายตามองสตรีที่อยู่ในเรือนด้วยความตั้งใจ สุดท้ายก็เห็นคุณหนูสามซูที่ใบหน้าดูหมองเศร้ากำลังคุกเข่าอยู่ข้างกายลู่ฮูหยิน ดวงตาทั้งสองร้องไห้จนบวมแดง เกรงว่าคงจะมองคนสัญจรไปมาได้ไม่ชัดเจนแล้ว
จวนติ้งโหวมีผัวจื่อที่รับผิดชอบยกชาโดยเฉพาะ หลังจากยกน้ำชาเสร็จก็หันไปยืนเพื่อรอปรนนิบัติรับใช้อยู่ด้านข้าง
ตอนนี้ท่านฮูหยินซื่อจื่อเป็นคนที่จัดการทุกอย่างในจวน ฮูหยินติ้งโหวผู้เป็นสะใภ้บุตรคนโตก็เอาแต่คุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าโลงศพ ในจวนจัดงานศพถึงจะพูดออกมาได้ว่าอะไรที่เรียกว่าลูกหลานกตัญญูรู้คุณ
ผู้คนที่มาร่วมงานต่างก็เห็นข้างกายของเฟิงฮูหยินน้อยที่สวมใส่ชุดไว้อาลัยมีสตรีที่สง่างามยืนอยู่หนึ่งคน ดูจากการแต่งกายไม่เหมือนเป็นสาวใช้ ทุกคนที่เดินไปเดินมาต่างก็สังเกตมองนาง บางครั้งก็มีคนเอ่ยถามว่าคนผู้นี้คือใคร
เฟิงฮูหยินน้อยจึงดึงน้องสาวของตนเองไปแนะนำให้ทุกคนรู้จักด้วยความใจกว้าง และยังบอกว่าทีแรกจะจัดงานเฉลิมฉลองพิธีสมรส เหตุเพราะเกิดเรื่องขององค์หญิงต้าจั่งจึงทำให้ต้องหยุดทุกอย่างไว้ก่อน
ทุกคนได้ยินต่างพยักหน้าไม่หยุด ต่างก็พูดว่าสมควรรอคอย
เฟิงฮูหยินน้อยกลับไม่รู้สึกเช่นไร แค่ว่าภายในใจของเฟิงซิ่วอวิ๋นยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกน่าสังเวช เดิมทียังคิดว่าตนเองได้มาเป็นอนุภรรยา ถึงอย่างไรก็ได้เป็นอนุภรรยาที่สูงศักดิ์ ต่อให้ไม่มีเกี้ยวคันใหญ่ที่ใช้คนยกแปดคนอย่างน้อยก็มีเกี้ยวเล็กๆ ที่ใช้คนยกสองคนเข้าประตูจวนโหวโดยให้ทุกคนเห็นกันถ้วนหน้า
วันนี้เกี้ยวเล็กก็มีแล้วกลับต้องเข้าจวนตอนเวลากลางดึก พอเข้าจวนแล้วยังต้องไว้ทุกข์หนึ่งปี หลังจากนี้ถึงจะเข้าเรือนหอได้ นี่ไม่ได้แตกต่างอะไรจากสาวใช้หรือเมียบ่าวที่ซื้อตัวมาจากด้านนอกแม้แต่น้อย
เหยาเยี่ยนอวี่ต้องรู้จักเฟิงซิ่วอวิ๋นอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็ได้พบหน้ากันและได้พูดจาเกรงใจใส่กันสองสามประโยค ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาเสวนากัน ด้วยเหตุนี้นางจึงแค่พยักหน้าแล้วเลี่ยงมาทางอื่น ทว่าเฟิงฮูหยินน้อยกลับสั่งน้องสาวตนเอง “เจ้าไปด้านหลังแล้วรินน้ำชาให้หนิงฮูหยินน้อยและคุณหนูรองตระกูลเหยาแทนข้าเสียสองถ้วยเถอะ”
เฟิงซิ่วอวิ๋นขานรับแล้วจากไป เฟิงฮูหยินน้อยแค่พูดคุยกับหนิงฮูหยินน้อยไปสองสามประโยคก็มีแขกเหรื่อมาเยือนอีกแล้ว นางจึงไปยุ่งกับกิจธุระของตนเอง
ในเรือนข้างฝั่งนี้มีญาติมิตรที่มาร่วมไว้อาลัยนั่งอยู่ หนิงฮูหยินน้อยแม้จะไม่ค่อยรู้จักใคร ทว่าเหตุเพราะเป็นคนของตระกูลเหยา ข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมือง แน่นอนว่าต้องมีคนเดินเข้ามาทักทายก่อนอยู่แล้ว หนิงฮูหยินน้อยจึงตั้งสติเสวนากับคนรอบทิศ
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่เฝ้าคำนึงถึงซูอวี้เหิงจึงส่งสายตาให้ชุ่ยเวย ชุ่ยเวยลอบออกไปด้านนอกอย่างเงียบๆ ไม่นานก็ตามจั๋วอวี้เข้ามา จั๋วอวี้เห็นเหยาเยี่ยนอวี่จึงค้อมตัวน้อมคำนับพร้อมกล่าวทักทาย เหยาเยี่ยนอวี่ดึงนางไปพูดคุยตรงมุมเงียบๆ แล้วเอ่ยถาม “หลายวันมานี้น้องสาวกินข้าวบ้างหรือไม่”
จั๋วอวี้น้ำตาคลอขึ้นมาทันทีแล้วเอาผ้าซับน้ำตา “เรียนคุณหนู คุณหนูของพวกบ่าวเอาแต่ร้องไห้ ดื่มแค่น้ำแกงโสมไปคำเดียวเท่านั้น ส่วนอาหารก็ไม่ได้กินมาหลายวันแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ดึงถุงบุหงาของตนเองยื่นให้จั๋วอวี้ “ในนี่เป็นยาเม็ดบำรุงร่างกาย อีกเดี๋ยวเจ้าป้อนให้นางกิน กินได้มากสุดวันละสองเม็ด หากกินมากไปก็ไม่ดีกับสุขภาพ ดวงตาของนางยังคงบวมแดงเช่นนั้น ตอนกลางคืนเจ้าก็ต้มเก๊กฮวยให้นางเช็ดตาหน่อยเถอะ จากนั้นก็ใช้ยารมแล้วเอาน้ำแข็งประคบ ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มงานศพ อย่าให้รอจนถึงงานศพขององค์หญิงต้าจั่งผ่านไป ดวงตาคู่นั้นของนางก็คงจะถูกทำลายไปแล้ว”
จั๋วอวี้รับถุงบุหงาด้วยสองมือแล้วค้อมตัวกล่าวขอบคุณ “เจ้าค่ะ บ่าวจะจดจำไว้ ขอบคุณคุณหนูที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองชุ่ยเวยเพียงปราดเดียว ชุ่ยเวยก็เอาถุงเงินให้จั๋วอวี้พร้อมพูดด้วยเสียงเบา “หลายวันมานี้ในจวนมีคนเยอะเกินไป คุณหนูของพวกเราไม่สะดวกที่จะไปปลอบโยนคุณหนูสาม พวกเจ้าดูแลคุณหนูสามให้ดี เงินเหล่านี้พวกเจ้าเอาไปซื้ออาหารเลิศรสให้คุณหนูสามกิน และไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นคุณหนูสามอาจถูกมองว่าเป็นคนเหลาะแหละก็ได้”