บทที่ 130 เซียนกระบี่ตัวจริง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 130 เซียนกระบี่ตัวจริง

โลกทั้งใบเหมือนกับถูกแช่แข็ง

ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงักอยู่กับที่

สิ่งที่หลินเป่ยเฉินเห็นอยู่ในตอนนี้คือประกายกระบี่พุ่งเข้าไปหาติงซานฉือด้วยความเร็วเกินบรรยาย บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงัน เหมือนกาลเวลาถูกหยุดลงชั่วคราว

แต่ในทันใดนั้นเอง ติงซานฉือก็แสดงฝีมือออกมา

ชายชราตั้งกระบี่แนวขวางเสมออก ใบหน้าเปล่งประกายสว่างไสวตอนที่เสือกแทงกระบี่ออกมาข้างหน้า

ไม่มีพลังลมปราณสีสันแสบตาพวยพุ่ง

ไม่มีกระบวนท่าหรือการเปลี่ยนแปลงท่าร่างที่ซับซ้อน

มีเพียงกระบวนท่ากระบี่ที่เรียบง่าย และการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล

ท่วงท่าของติงซานฉือนั้นงามสง่าราวเทพเซียนตัวจริง

ทันใดนั้น ชายชราผู้อาศัยอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งด้วยฐานะของมือกระบี่อัปยศ ก็ได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาแล้ว

หัวใจของหลินเป่ยเฉินเต้นระทึกดั่งกลองตี

“ทำไมเราถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนโดนสะกดจุด มีแค่อาจารย์ติงคนเดียวเท่านั้นที่ขยับตัวได้เป็นปกตินะ?”

หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้

แต่หลังจากนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป

โลกทั้งใบกลับสู่ความปกติอีกครั้ง

คมกระบี่ตัดผ่านผืนฟ้าเป็นประกายราวแสงจันทร์ มันปะทะกับคลื่นพลังจากกระบี่สีฟ้าครามของไป๋ไห่ชินแบ่งแยกออกเป็นสองส่วนกระจายหายไปในอากาศ

“นี่มันอะไรกัน?”

สีหน้าของไป๋ไห่ชินเปลี่ยนแปลงไปด้วยความเหลือเชื่อ

เขาเพิ่งรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ทันใดนั้น พลังลมปราณสีฟ้าครามที่หมุนวนอยู่รอบร่างกาย ก็รวมตัวกันกลายเป็นชุดเกราะสวมใส่แน่นหนา คุ้มกันส่วนสำคัญของร่างกายแทบทุกจุด นอกจากมีความแข็งแกร่งแล้ว ลักษณะกึ่งโปร่งแสงของมัน ก็ดูสวยงามเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ที่มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ นอกจากสามารถใช้พลังลมปราณเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่อาวุธได้แล้ว ยังสามารถใช้พลังลมปราณสร้างชุดเกราะขึ้นมาได้อีกด้วย

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าพลังยุทธ์ที่แท้จริง

ต้องมีพลังลมปราณแข็งแกร่งเกินมนุษย์เท่านั้น ถึงจะสามารถใช้งานได้ในระดับนี้

ทว่าด้วยความที่ต้องใช้พลังจำนวนมากในการสร้างชุดเกราะขึ้นมาแต่ละครั้ง เพราะเหตุนี้ จึงมีเพียงผู้ที่มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์เท่านั้น ถึงจะสามารถใช้งานชุดเกราะลมปราณออกมาได้

ไป๋ไห่ชินมีสถานะเป็นยอดมือกระบี่จากเมืองไป๋หยุน สมุนไพรวิเศษที่พกติดตัวจึงมีจำนวนไม่น้อย เขารีบดูดซับพลังจากสมุนไพรวิเศษเหล่านั้น เพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลังลมปราณเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ชุดเกราะ

มีแต่สิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน

แต่ถึงจะมีชุดเกราะคุ้มกันร่างกาย คมกระบี่ที่พุ่งผ่านแสงจันทร์เข้ามา ก็สามารถทะลวงผ่านชุดเกราะกึ่งโปร่งแสงของเขาได้อย่างง่ายดาย

ไป๋ไห่ชินพลันร่างกระตุกวูบ

มวลอากาศปั่นป่วนด้วยการโจมตีของติงซานฉือ

คมกระบี่พุ่งผ่านตัวไป๋ไห่ชิน และทอดยาวไปไกลอีกหลาย 10 วา ดูสวยงามเหมือนรัศมีดาวหางที่พุ่งตกลงจากฟากฟ้า

เกิดความเงียบขึ้นรอบกาย

ดูเหมือนทุกอย่างจะหยุดยั้งการเคลื่อนไหวไปอีกครั้ง

จนกระทั่ง…

เช้ง!

เสียงกระบี่ถูกสอดคืนฝักดังขึ้นทำลายความเงียบ

กระบี่คุณธรรมกลับเข้าไปอยู่ในฝักอีกครั้ง

ติงซานฉือยังคงยืนหยัดอยู่บนหลังคา

ทุกคนกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้น?”

“แสงกระบี่เมื่อสักครู่นี้…”

“ใครเป็นผู้ชนะ?”

มือกระบี่อาวุโสทั้งหลายหลุดออกจากภวังค์ หันมองหน้ากันและกันด้วยแววตาแตกตื่น

“หืม?”

หลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นในใจ

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าอาจารย์ติงเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ

แล้วทำไมคนอื่นถึงไม่เห็นนะ?

เมื่อสังเกตจากสีหน้าทุกคนรอบกายแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้ว่ากลุ่มมือกระบี่อาวุโสเหล่านั้นไม่ได้เสแสร้ง แต่พวกเขามองไม่เห็นจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าขณะนี้กลุ่มมือกระบี่ดาวรุ่งจะเกิดความมึนงงสับสนขนาดไหน

“หรือว่าฉันจะเป็นคนเดียวที่ดูทันวะเนี่ย?”

แต่มันเป็นไปได้ยังไง?

หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกแปลกใจตัวเองไม่ได้

หลังจากนั้น…

“ไป๋ไห่ชิน เจ้าแพ้แล้ว” ติงซานฉือพูดออกมาอย่างเชื่องช้า

ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบประโยค

“ฟู่…”

เจ้าของสมญานามเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุนตัวสั่นสะท้าน ต้องกระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่

ชุดเกราะลมปราณสีฟ้ากึ่งโปร่งแสงเกิดรอยแตกร้าว ก่อนที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

โลหิตสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากหน้าอกฝั่งขวามือ ย้อมเสื้อคลุมของไป๋ไห่ชินกลายเป็นสีแดงฉาน

“เจ้า…ได้ยังไง…”

ไป๋ไห่ชินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ

พลังการโจมตีครั้งนี้รุนแรงมากเกินไป

เมื่อเผชิญหน้ากับคมกระบี่นั้น ไป๋ไห่ชินเกิดความรู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตกลับไปตอนที่เพิ่งเคยจับกระบี่เป็นครั้งแรก ในตอนนั้น ท่านอาจารย์ของพวกเขาสามารถฟันกระบี่ใส่ภูเขาจนเกิดรอยแตกร้าวได้ต่อหน้าต่อตา นับว่าเป็นเรื่องที่ไป๋ไห่ชินในวัยเยาว์ไม่มีทางเข้าใจเด็ดขาด

มันเป็นการจู่โจมที่ไม่มีใครต้านทานได้

มันเป็นการจู่โจมที่ไร้ความปราณี

มันเป็นกระบวนท่าที่ติงซานฉือไม่ควรใช้งานได้

และเป็นระดับพลังที่ติงซานฉือไม่มีวันก้าวถึงเด็ดขาด

ติงซานฉือเงียบงันไม่ตอบคำใด

“หากข้าแทงกระบี่ไปซ้ายมือของเจ้า ป่านนี้เจ้าคงกลายเป็นศพคนตายไปแล้ว” ติงซานฉือพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “หลินเป่ยเฉินทำเช่นเดียวกันนี้กับเฉาพั่วเถียน ทีนี้เจ้าคงเข้าใจแล้วกระมังว่ายามที่มีคนไว้ชีวิตเจ้า เจ้าควรสำนึกขอบคุณ ไม่ใช่กล่าววาจาให้ร้ายผู้มีพระคุณ”

“ฟู่!”

ไป๋ไห่ชินกระอักเลือดออกมาจากปากอีกคำใหญ่

ร่างของเขาสั่นสะท้านก่อนทรุดฮวบลง

ไป๋ไห่ชินรู้แล้วว่าติงซานฉือมีเจตนาเอาชนะเขา ก็เพื่อแก้แค้นให้หลินเป่ยเฉิน

เรื่องนี้ทำให้มือกระบี่หน้าโหดตกใจยิ่งกว่าเดิม

เพราะนั่นหมายความว่า ติงซานฉือนอกจากจะสามารถเอาชนะเขาได้แล้ว ยังสามารถเลือกโจมตีได้ด้วยว่าจะแทงกระบี่เข้าที่หน้าอกฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวา…

ต้องรอจนถึงตอนนี้ กว่าที่ผลการประลองจะชัดเจนสำหรับทุกคน

“ติงซานฉือเป็นฝ่ายชนะอย่างนั้นหรือ?”

“ได้ยังไงกัน…”

ผลการประลองเช่นนี้ ออกจะน่าเหลือเชื่ออยู่ไม่น้อย

เพราะเมื่อ 3 ปีก่อน ไป๋ไห่ชินยังสามารถเอาชนะติงซานฉือได้อย่างง่ายดาย และมันก็เป็นผลแพ้ชนะที่ดำรงอยู่มาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีแล้ว

แล้วทำไมอยู่ดีๆ เซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุน ถึงพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวอย่างนี้?

การประลองจบลงรวดเร็วเกินไป

เมื่อมองแสงกระบี่ที่จางหายไปในท้องฟ้า ใบหน้าเย็นชาของชายชราคนหนึ่ง และกระบี่คุณธรรมที่อยู่ในมือของเขา ทุกคนก็รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

นี่ต่างหากควรเป็นการโจมตีของเซียนกระบี่ตัวจริง

แม้แต่ไป๋ไห่ชินก็ต้องพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว

การประลองในค่ำคืนนี้คงเป็นที่กล่าวขานไปทั่วจักรวรรดิในไม่ช้า

หมิงหยวนซานกับหลู่เจิงเต๋าหันมองหน้ากันอย่างทำตัวไม่ถูก ในแววตาเริ่มเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อสักครู่นี้ พวกเขาออกหน้าเข้าข้างไป๋ไห่ชินเต็มที่

ด้วยเข้าใจว่าอย่างไรเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุนก็ต้องเป็นฝ่ายชนะแน่นอน

แต่ที่ไหนได้…

บรรยากาศเต็มไปด้วยความน่าอึดอัดใจ

“เจ้าปิดบังความสามารถที่แท้จริงมาตลอดใช่ไหม?” ไป๋ไห่ชินกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น “เจ้าเตรียมตัวสำหรับงานประลองคืนนี้มาหลายปี เจ้า…”

เขาอยากจะพูดอะไรอีกหลายอย่าง

แต่กลับพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว

ติงซานฉือพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “การประลองทุกครั้งที่ผ่านมา ข้าแค่ไม่ได้เอาจริงเท่านั้นเอง”

“ว่าไงนะ?”

ไป๋ไห่ชินคำรามออกมาด้วยความอับอายขายหน้าสุดขีด “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“หมายความว่าเมื่อข้าเอาจริงขึ้นมา เจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้” ติงซานฉือยังคงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ทุกอย่างมันก็เป็นเช่นนี้เอง”

คำพูดที่เรียบง่าย แต่กลับสามารถสร้างความอับอายให้ฝ่ายตรงข้ามได้มากมายมหาศาล ไป๋ไห่ชินต้องกระอักเลือดออกมาเป็นครั้งที่ 3 โลกทั้งใบตรงหน้าเขาพลันดับวูบลง ก่อนที่ร่างจะกลิ้งตกลงจากหลังคา

ไม่มีหมิงหยวนซานหรือมือกระบี่อาวุโสคนใดพุ่งเข้าไปรับร่างเขาเลย

แม้แต่เฉาพั่วเถียนก็ตกอยู่ในความตะลึงงัน ทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว

หลีลั่วหรันกลายเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พุ่งเข้าไปรับร่างมือกระบี่หน้าโหดผู้หมดสติ

ติงซานฉือยืนอยู่บนหลังคาจวนผู้ว่า สวมใส่เสื้อผ้าชุดธรรมดา ในมือถือกระบี่

แต่กลับดูเหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง

“ข้าเป็นผู้ชนะ ดังนั้น ข้าจะประกาศผลการประลองในค่ำคืนนี้”

เขาก้มมองลงมาด้านล่าง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดังกังวาน “หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ชนะการประลองมือกระบี่รุ่นเยาวชน มีใครไม่เห็นด้วยหรือไม่?”

หลิงจุนเซวียนและภรรยาไม่พูดอะไร

บรรดามือกระบี่อาวุโสที่เห็นแสงกระบี่ในฟากฟ้าเมื่อสักครู่นี้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตา ตอบรับกลับมาว่า

“พวกเราเห็นด้วย”

“การตัดสินของท่านถูกต้องแล้ว”

“ฮ่าฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉินทั้งกล้าหาญและมีฝีมือสูงส่ง ย่อมต้องเป็นผู้ชนะการประลองของค่ำคืนนี้อยู่แล้ว…”

มือกระบี่อาวุโสแทบทุกคนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความอับอายอยู่หลายส่วน

ให้ตายเถอะ!

อาจารย์ติง! สุดยอดอะไรขนาดนี้!

สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแสดงออกถึงความประหลาดใจมากกว่าใครทุกคน

ติงซานฉือปิดบังฝีมือที่แท้จริงของตัวเองได้แนบเนียนเหลือเกิน

อาจารย์ติงของเขามีฝีมือร้ายกาจไม่เบาเลยแฮะ

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันหน้ามองปฏิกิริยาของผู้คนรอบตัวด้วยความอยากรู้อีกครั้ง

เขาได้เห็นว่าไป๋ชินหยุนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยังคงอยู่ในอากัปกิริยายกมือทาบอก หอบหายใจแรง เหมือนกำลังพยายามสงบสติอารมณ์สุดความสามารถ

“ทีนี้ก็ได้เวลาชำระความพวกเจ้าบ้างแล้ว”

ติงซานฉือมองหน้าหมิงหยวนซานและกลุ่มคนที่ยืนอยู่เคียงข้าง

รังสีอำมหิตแผ่ออกมาหนาแน่นรุนแรง