บทที่ 823 ความลับใต้ซากปรักหักพัง Ink Stone_Fantasy
ชายสวมแว่นนั่งหมดสภาพอยู่หลังประตูเหล็ก เขากวาดมองเหล่าสมาชิกที่อยู่รอบๆ ด้วยสีหน้าซีดเผือด หลัวหมิงชะโงกหน้าออกไปดู แล้วหันมาบอกด้วยสีหน้าตึงเครียดว่า “หัวหน้า คนของเราตายไป 3 คน บาเจ็บอีก 5 คน…จางสี่พาคนไปเฝ้าที่บันไดแล้ว ถ้าหากพวกมันกล้าเข้ามา กับดักที่เราซ่อนไว้ก็จะทำงานต่อๆ กัน…” เขาเหลือบมองหัวไหล่ของชายสวมแว่นอย่างกังวล แล้วถามเสียงเบา “หัวหน้า ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ชายสวมแว่นตวัดสายตามองหน้าเขา แล้วคำรามเดือด “ฉันเหมือนคนไม่เป็นไรหรอ!” เขาหอบหายใจหนักหน่วงอย่างฉุนเฉียว และเอนกายพิงกำแพงด้านหลัง จากนั้นก็หันมามองบาดแผลตัวเอง ถึงจะถูกยิงแค่ถากๆ แต่อานุภาพของปืนไรเฟิลจู่โจม ก็ทำให้ร่างกายครึ่งซีกของเขาชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด
“ถ้าหากเมื่อกี้ฉันไม่ได้กำลังใช้พลังพิเศษอย่างเต็มรูปแบบอยู่ล่ะก็ กระสุนนัดนี้ต้องฆ่าฉันให้ตายได้แน่…” ชายสวมแว่นฉายสีหน้าเหี้ยมโหดขึ้นมาทันใด “หลิงม่อ พวกแกไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่! รอให้ฉันจับพวกแกได้ก่อนเถอะ พอถึงตอนนั้นฉันจะไม่พูดจาดีๆ กับแกเหมือนครั้งนี้แล้ว ยังมียัยเด็กผู้หญิงที่เป็นคนยิงฉันอีก ฉันจะฆ่ามันเป็นคนแรกเลย! ฟอลคอนให้โอกาสพวกแกยอมจำนนแต่โดยดี แต่พวกไม่เห็นคุณค่าเอง อุตส่าห์ไว้หน้าแต่กลับเลือกทิ้งโอกาส…”
พูดไป จู่ๆ เขาก็ชักกริชเล่มหนึ่งออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ยกขึ้นอย่างสั่นๆ ไปทางหัวไหล่ของตัวเอง ในขณะที่เสื้อผ้าถูกกรีดเปิด เหงื่อมากมายก็ไหลอาบใบหน้าเขา พร้อมกับเสียงคำรามต่ำข่มความเจ็บปวดที่ดังรอดไรฟันออกมา เมื่อเศษผ้าเผื้อนเลือดถูกเขาโยนทิ้งบนพื้นอย่างอ่อนแรง ทหารนายหนึ่งที่สะพายกระเป๋าเป้ไว้ก็รีบเดินเข้ามา แล้วนำอุปกรณ์ห้ามเลือดและทำแผลฉุกเฉินออกมาอย่างรวดเร็ว…
“อาจจะเจ็บหน่อยนะครับ…” นายทหารตรวจแผล แล้วขมวดคิ้วบอก
ชายสวมแว่นแค่นหัวเราะเย็นชา แล้วพูดเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร…ฉันจะทำให้พวกมัน…ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่ทรมานกว่านี้หลายเท่า…”
สีหน้าเหี้ยมเกรียมของเขาทำให้หลัวหมิงอดตัวสั่นเบาๆ ไม่ได้ แต่พอเห็นบาดแผลเหวอะหวะบนหัวไหล่ของเขา หลัวหมิงก็อดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ “เท่าที่จำได้ หัวหน้าไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนเลยนี่นา…ตกลงว่าภารกิจครั้งนี้ผิดพลาดตรงไหน แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นกันแน่…”
………..
พวกหลิงม่อเพิ่งจะเดินเลี้ยวเข้ามาบนถนนอีกเส้นก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาหา หวังหลิ่นที่อยู่ข้างหน้าสุดรีบโบกมือเรียก “พี่เขย!” เธอเร่งฝีเท้า และวิ่งมาหาพวกหลิงม่ออย่างรวดเร็ว “พวกพี่ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร…” หลิงม่อส่ายหน้า เมื่อกี้ถึงจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดก็จริง แต่ความจริงมันเป็นแค่เหตุการณ์น่าขันเหมือนหมากัดกันเสียมากกว่า พวกเขาหนีมาได้อย่างง่ายดาย นอกจากรู้สึกตึงเครียดเล็กน้อย นอกนั้นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
“ฉันเป็น!” เหล่าเจิ้งเดินจ้ำพรวดเข้ามา เขาถลึงตามองหลิงม่อแล้วถามอย่างฉุนจัด “เรื่องนี้ นายต้องอธิบายให้ฉันฟัง! ในค่ายทั้งหมด 2 ค่าย ไม่สิ…นับรวมเป็น 3 ค่ายใหญ่มากกว่า! ทันทีที่ฉันเจอนาย ฉันก็ผิดใจกับค่ายใหญ่ติดๆ กันถึง 2 ค่าย! แล้วฉันจะทำภารกิจต่อได้ยังไง! แล้วจะยังสร้างความร่วมมือระหว่างมนุษย์ขึ้นมาได้อยู่อีกหรอ!”
“พวกเขามาหาเรื่องฉันก่อน…” หลิงม่อพูดอย่างอับจนหนทาง
“ฉันไม่สน! เรื่องนี้…ถ้านายจัดการได้ก็แล้วไป แต่ถ้าจัดการไม่ได้ ฉันก็จำเป็นต้องโยนความผิดทั้งหมดให้นายคนเดียวแล้วล่ะ…” เหล่าเจิ้งพูดด้วยแววตาแน่วแน่
หวังหลิ่นมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจทันที แต่เหล่าเจิ้งกลับทำเหมือนมองไม่เห็น เขายังคงพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “คงต้องทำอย่างนี้เท่านั้น! ฉันไม่สามารถทำลายผลประโยชน์ของค่ายกลางได้! แล้วก็หวังหลิ่น เธอเองก็คิดดูบ้างนะว่าใครเป็นคนอุปการะเธอ…”
“เจ้าแซ่เจิ้ง!” หวังหลิ่นหน้าถอดสี เธอรีบพูดตัดบทเขาทันที พอหันไปมองหน้าหลิงม่ออย่างร้อนรน ก็ปะทะกับสายตาสงสัยของอีกฝ่ายพอดี หลังจากสบตากันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หวังหลิ่นก็ก้มหน้าหลบสายตาของหลิงม่อทันที
ปฏิกิริยาผิดปกตินี้ของเธอไม่ได้ทำให้หลิงม่อสงสัยคนเดียว แต่ยังทำให้ซย่าน่าสะกิดใจด้วย ทว่าซย่าน่าเพียงครุ่นคิดอยู่ไม่นาน เธอก็ไม่ได้หันไปสนใจหวังหลิ่นอีก
สีหน้าของเหล่าเจิ้งดูขมขื่นขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงยังคงเด็ดขาดเหมือนเดิม “ดังนั้น…เรื่องนี้ไม่อนุญาตให้มีความเห็นอื่น!” เขามองหน้าหลิงม่อ แล้วบอกว่า “ที่ฉันไม่เลือกตีตัวออกห่างตอนนี้ ก็ถือว่าเห็นแก่หวังหลิ่นมากแล้ว…”
“ตีตัวออกห่าง? เมื่อกี้พวกนายก็มีส่วนร่วมลงมือเหมือนกันนี่ นายคิดว่าคนพวกนั้นจะฟังคำแก้ตัวของนายหรอ? เกรงว่าถึงนายจะบอกว่าเป็นคนของค่ายกลาง พวกเขาก็อาจจะไม่เชื่อก็ได้” มู่เฉินกลอกตาขาวใส่เหล่าเจิ้ง แล้วพูดอย่างเย้ยหยัน พอเห็นมีคนถูกหลอกใช้เหมือนตัวเอง แถมดูเหมือนว่าจะโดนหนักกว่าตัวเองด้วย เขากลับรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ยังไงโดนหลอกหลายคนก็ยังดีกว่าโดนหลอกอยู่คนเดียวนี่นา…
“……” เหล่าเจิ้งหน้าบึ้งกว่าเดิม ความจริงเขารู้เรื่องพวกนี้ดีแก่ใจ แต่ที่ต้องพูดอย่างนี้ ก็เพราะต้องการบีบให้หลิงม่อแสดงท่าทีต่อเรื่องนี้ และเป็นการแสดงจุดยืนอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ยอมถูกหลอกใช้อีกแล้ว…สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาอยากรู้ว่าหลิงม่อคิดอะไรอยู่กันแน่!
จะยอมถูกหลอกใช้ฟรีได้อย่างไรล่ะ!
“นายยอมโดนหลอกใช้ต่อไปก็เรื่องของนาย ไม่ต้องมาเหมารวมฉัน!” เหล่าเจิ้งถลึงตาใส่มู่เฉิน
หลิงม่อลูบจมูก แล้วพูดเสียงเบา “เรื่องนี้…ฉันค่อนข้างมีความมั่นใจอยู่บ้าง”
“ค่อนข้าง? อยู่บ้าง? ช่วยพูดอะไรที่เป็นรูปธรรมหน่อยได้ไหม!” เหล่าเจิ้งใกล้บ้าเต็มที
“คิดดูสิ ตอนนี้คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับนายก็เหลือแค่ฉันคนเดียวแล้ว…” หลิงม่อรวบรัดตัดความ
เหล่าเจิ้งเสยผมอย่างฉุนเฉียว พลางคำรามเสียงต่ำ “ใครอยู่ฝ่ายเดียวกับนาย! ฉันอยากจะอัดนายซักครั้งจริงๆ!”
“นายสู้ฉันไม่ได้นี่…”
“……”
“นายเองก็ไม่อยากทำลายความสัมพันธ์หรอกใช่ไหม?”
“……” เหล่าเจิ้งได้แต่เดินไปเดินมาอย่างกระฟัดกระเฟียด แล้วจู่ๆ ก็หยุดยืนหน้าหลิงม่อ ถามเขาเสียงเบาว่า “ตกลงว่านายคิดอะไรอยู่กันแน่? นายรับมอนิพพานได้ แต่ฟอลคอนล่ะ? นายจะรับมือกับทั้งสองค่ายไปพร้อมกันได้หรอ?”
หลิงม่อกลับหัวเราะ แล้วตอบว่า “ฉันไม่ต้องรับมือพร้อมกันหรอก พวกนิพพานปล่อยฉันหลุดมือออกมา ยังไงพวกนั้นก็ต้องไปตามหาฉันที่ฟอลคอนอยู่แล้ว ส่วนทางฟอลคอน ฉันมีแผนในใจแล้ว แต่ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่แน่ชัด พวกเรายังต้องการข้อมูลเพิ่มอีกหน่อย…”
เหล่าเจิ้งมองเขาอย่างประหลาดใจ แล้วจู่ๆ ก็ทำหน้าตกใจ “นาย…นายคงไม่ได้ตั้งใจ…นายรู้แต่แรกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับยังตามพวกนั้นมา…”
“คนที่ถูกส่งตัวมาจับฉัน คงจะมีตำแหน่งไม่เลว นายคิดว่าเขารู้เรื่องราวมากน้อยแค่ไหน?” หลิงม่อกระพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ พลางบอก
“นาย…” เหล่าเจิ้งอ้าปากพะงาบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า “นายมันบ้า…ถึงนายจะมีแผนอยู่แล้ว แต่เรื่องจำนวนคนล่ะ? แค่พวกเราไม่กี่คน จะจัดการพวกนั้นได้หรอ? มันอันตรายเกินไป…”
“หึหึ นายคอยดูแล้วกัน” หลิงม่อพูดอย่างมีลับลมคมใน
ท่าทางมั่นใจของเขา ทำให้เหล่าเจิ้งอดสับสนขึ้นมาไม่ได้ หรือว่า ฟอลคอนที่ 2 มีแผนรับมือตั้งแต่แรกอยู่แล้ว? เดาไม่ถูกเลยจริงๆ…
ตำบลนี้ไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่ก็ยังถือว่ากว้างพอที่จะเป็นสถานที่ซ่อนตัวของคนสิบกว่าคนได้ หากเคลื่อนไหวกลางวันจะเป็นเป้าสายตาได้ง่าย และหลิงม่อเองก็ไม่คิดจะลงมือในเวลานี้ด้วย แต่ถ้าหากปล่อยนานไป ก็รับไม่กันไม่ได้ว่าชายสวมแว่นจะไม่เรียกกำลังเสริมมาจากฟอลคอน
“ดังนั้นจังหวะที่ดีที่สุด ก็คือตอนที่ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มมืดลง…” หลิงม่อเงยหน้ามองสีของท้องฟ้า จากนั้นก็ก้มหน้ามองนาฬิกาบนข้อมือ บอกว่า “เดาว่าน่าจะเป็นช่วงเวลา 1 ทุ่มหรือ 2ทุ่ม ซึ่งห่างจากตอนนี้อีกหลายชั่วโมง”
มู่เฉินที่เดินตามหลังถามขึ้นว่า “แต่ว่าหัวหน้า นายแน่ใจได้ยังไงว่ากำลังเสริมของพวกนั้นจะไม่มาเร็ว?”
“ไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางมาจากค่ายของฟอลคอนที่ 2 แน่นอน ที่พวกเขาลงทุนลงแรงขนาดนี้ ก็เพราะต้องการจับตัวฉันอย่างเงียบๆ ไม่มีทางเคลื่อนไหวเอิกเกริกแน่นอน” หลิงม่อบอก “อีกหนึ่งเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็ต้องใช้เวลาถึงเกือบ 3 ชั่วโมง กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ แถมนี่ยังเป็นระยะเวลาที่ต้องเดินทางด้วยความเร็วเต็มสูบอีกด้วย แต่ในเมื่อเป็นการขอกำลังเสริม ก็แสดงว่าพวกเขาต้องมีสัมภาระไม่น้อยแน่นอน นอกจากนี้ฉันเดาว่าพวกนั้นต้องซ่อนเชื้อเพลิงไว้ที่นี่แน่ๆ ดังนั้นตอนที่หนีออกมาฉันก็เลยทำอะไรกับเฮลิคอปเตอร์ของพวกนั้นนิดหน่อย”
เขาหันไปมองหน้าเหล่าเจิ้ง ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ตอบเขาอย่างเอือมระอาว่า “ฉันก็ทำเหมือนกัน แต่ความคิดฉันไม่ได้ชั่วร้ายขนาดนั้นเหมือนนาย ฉันแค่ทำให้พวกนั้นออกมาไล่ตามพวกเราไม่ได้เท่านั้นเอง”
“ทำดีแล้ว ถึงแม้พวกนั้นจะซ่อมได้ แต่ก็ต้องใช้เวลานานมาก…และในระยะเวลานี้ พวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดตลอดเวลา แต่พวกเราล่ะ? สบายใจหายห่วง!ผู้ชายใส่แว่นคนนั้นเป็นผู้มีพลังจิต ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าหลังจากต้องทนทรมานไปอีกหลายชั่วโมง เขาจะยังแสดงพลังออกมาได้อีกแค่ไหน…” หลิงม่อยิ้มบางๆ ขณะเดียวกันก็ทำหน้าอยากรู้อยากเห็นเต็มที่
เหล่าเจิ้งกับคนอื่นๆ เห็นเข้าก็รู้สึกหนังศีรษะตึงชา อดพึมพำในใจไม่ได้ “เจ้าเล่ห์! หมอนี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!อีกอย่างทำไมรู้สึกเหมือนนับวันเขาจะยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ…หรือเป็นเพราะช่วงนี้เขาปะทะกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากไป จนทำให้สัญชาตญาณอะไรบางอย่างในตัวเขาถูกปลุกตื่นงั้นหรือ…”
ทว่าพวกเขาก็ต้องยอมรับว่าความคิดของหลิงม่อมีเหตุผล ตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่มืด ชายสวมแว่นอยู่ในที่แจ้ง ขอเพียงพวกเขายังไม่หนีออกไปจากเมืองนี้ ชายสวมแว่นก็จะต้องหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าพวกเขาจะกลับมาลอบโจมตีกะทันหัน
นี่คือแผนการเปิดเผย และชายสวมแว่นก็จะต้องติดกับแผนนี้อย่างแน่นอน…
เพียงแต่เขาไม่มีทางรู้เลย ว่าเป้าหมายของหลิงม่อ ก็คือตัวเขานั่นเอง…
ผ่านไปไม่นาน พวกหลิงม่อก็เดินทางมาถึงบริเวณพื้นที่ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง ถนนช่วงนี้ถูกเศษชิ้นส่วนวัตถุสิ่งของที่เกิดจากการระเบิดกระขายปกคลุมไปทั่ว กำแพงที่ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทางเดินมีร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากการถูกไฟเผา พอเดินเข้าไปใกล้ๆ กลิ่นเหม็นที่ยากจะรับได้ก็พุ่งออกมาทันที ราวกับว่าใต้ก้อนอิฐเหล่านั้นมีศพมากมายถูกฝังอยู่
“เหม็นจัง…” หลันหลันกับคนอื่นยกมือปิดจมูก พลางขมวดคิ้วพูดขึ้น
“รีบไปเถอะ จะเดินมาทางนี้ทำไม?” หวังหลิ่นใช้นิ้วมือบีบจมูก แล้วบอกเธอ
“แกร่ก…”
จู่ๆ เย่เลี่ยนกลับเดินไปเตะก้อนอิฐก้อนหนึ่งเข้า เธอร้อง “เอ๊ะ” เบาๆ แล้วหันไปเรียกหลิงม่อ “พี่หลิง…ดูนี่…”
“มีอะไรงั้นหรอ?” หลิงม่อใจเต้น เขารีบเดินเข้ามาดูทันที
ตอนที่ยังอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ เขาก็รู้สึกแปลกๆ กับซากอาคารแถวนี้อยู่แล้ว เหมือนมีบางอย่างกำลังดึงดูดเขา ดังนั้นพอสบโอกาส เขาก็เลยพาทุกคนมาที่นี่ เพื่อที่จะได้ฉวยโอกาสสำรวจแต่เนิ่นๆ
“ดูสิ…” เย่เลี่ยนหยิบเหล็กเส้นขึ้นมาหนึ่งเส้น จากนั้นก็ปัดเศษปูนออก
กลิ่นเหม็นฉุนยิ่งกว่าฟุ้งกระจายทันที และสิ่งที่ปรากฏออกมาพร้อมกัน ก็คือวัตถุสีดำที่ดูคล้ายหลอดเลือด…
—————————————————————————–