บทที่ 220 ท่านแม่ทัพสิ้นในสนามรบ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

เจ้าอี่โหลวมองแผนที่อยู่ครู่ใหญ่ พบว่ามันเป็นการยากที่จะหาสถานที่ซุ่มโจมตีอันเหมาะสมหากต้องการที่จะสกัดกั้นทางที่ถูอู้ลี่ต้องผ่าน ทว่าก็ยังมีเขตแม่น้ำหุบเขาเขียวชอุ่มแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ดีจากประสบการณ์ใช้ชีวิตในป่ามาอย่างยาวนานของเจ้าอี่โหลว ที่ตรงนั้นเป็นหนึ่งในแวดล้อมที่สัตว์จำพวกงูโปรดปรานมากที่สุด

ยิ่งสถานที่ร้อนชื้นมากเท่าใด บรรดางูพิษก็จะยิ่งเจริญเติบโตมากยิ่งขึ้น แม้ว่ากองทัพฉินจะเตรียมพร้อมและทุกคนต่างถือถุงยาหรดาลติดตัวไปด้วย ทว่าตั้งแต่เข้ามาในรัฐสู่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ถูกงูพิษกัดตาย การถูกงูพิษชนิดใดชนิดหนึ่งกัด เพียงเวลาครึ่งถ้วยชาก็สามารถถึงแก่ชีวิตได้ ไม่มีเวลาให้ช่วยชีวิต

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถหาภูมิประเทศที่ดีกว่านี้แต่เจ้าอี่โหลวก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถหมอบอยู่ในถ้ำงูได้ ดังนั้นหลังจากหารือกับซ่งชูอีแล้วเขาจึงเลือกเนินเขาเล็กๆ เพื่อซุ่มโจมตี

เนินเขาแห่งนั้นต่ำมาก มันเป็นเพียงลูกคลื่นลาดชันบนที่ราบเท่านั้น

ทุกคนมัดถุงยาหรดาลไว้ที่น่องแล้วเดินทางด้วยความเร่งรีบ เมื่อไปถึงที่หมายแล้ว พวกเขาก็เริ่มขุดสนามเพลาะทันที

ทันทีที่มีการขุดสนามเพลาะที่รองรับคนได้มากกว่าห้าร้อยคน สายสืบก็มารายงานว่ากองทัพสู่ยังอยู่ห่างจากที่หมายออกไปหกถึงเจ็ดลี้

เจ้าอี่โหลวสั่งให้ซ่อนตัวทันที

กองทัพฉินต่างเรียนรู้จากเขาที่จะดึงเถาวัลย์จากหลังเนินเขามาพันรอบตัว รวมตัวเองกับพื้นหญ้าเป็นหนึ่งเดียว แม้ว่าการมองอย่างใกล้ชิดจะสามารถบอกได้ว่าพวกเขาแตกต่างจากต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบ แต่การที่สามารถหลอกล่อให้กองทัพสู่เข้าใกล้ในระยะหนึ่งลี้ได้โดยไม่สงสัยก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพสู่ที่หนีไปอาจไม่มีข้อมูลเชิงลึกที่ชัดเจนเช่นนี้

ซ่งชูอีและไป๋เริ่นที่อยู่ด้านหลังเนินเขาก็มีเถาวัลย์พันอยู่เช่นกัน ไป๋เริ่นซ่อนตัวอย่างหนาแน่น มีเพียงดวงตาไร้เดียงสาดุจเม็ดถั่วดำคู่หนึ่งและหูที่มีขนปุกปุยโผล่ออกมาให้เห็น

ในฐานะหมาป่าหิมะผู้สูงศักดิ์ มันควรจะวิ่งอย่างมีความสุขบนทุ่งหิมะต่างหาก ช่างน่ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจริงๆ

“อย่าขยับ” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงต่ำ

ไป๋เริ่นราวกับเข้าใจ หยุดบิดร่างกายอย่างเชื่อฟัง นอนอยู่บนพื้นหญ้าด้วยความเศร้าโศก มันหลบตา กระตุกจมูกเบาๆและใช้กรงเล็บถูแมลงบนพื้นตายอย่างเงียบๆ

เสียงอันแผ่วเบานี้ไม่ได้ดังขึ้นอย่างเด่นชัดบนพื้นหญ้า ดังนั้นซ่งชูอีจึงไม่ได้ตำหนิมันอีก อย่างไรก็ดีในฐานะสัตว์ป่า การทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าฉลาดมากแล้ว

กองทัพฉินซ่อนตัวอยู่ในหญ้าร้อนชื้นอย่างอดทน หลังจากรอนานกว่าหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงเกือกม้าที่รีบเร่งและยุ่งเหยิงดังขึ้นในหู

ด้วยเวลาที่เร่งรีบ การทำสนามเพลาะบนพื้นหญ้าอาจมีผลในการปกปิดเพียงคร่าวๆ อย่างไรก็ตามหากต้องการจะสร้างกับดักกลางถนนที่สังเกตเห็นได้ยากต้องเตรียมการอย่างน้อยสองวันขึ้นไปจะดีที่สุด เพราะหลังจากปกปิดอย่างระมัดระวังแล้ว ดินที่ได้รับการปรับปรุงใหม่จึงจะสามารถเปลี่ยนสีจนใกล้เคียงกับดินโดยรอบตามธรรมชาติ

ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้ขุดกับดักเพื่อป้องกันการแหวกหญ้าให้งูตื่น

เจ้าอี่โหลวทำตามคำแนะนำของซ่งชูอีโดยการนำศีรษะขององค์รัชทายาทสู่มาไว้กลางถนน

ศีรษะได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไม่เสื่อมสภาพเท่าใดนัก อย่างน้อยก็สามารถแยกแยะรูปลักษณ์ได้ อีกทั้งหน้าตาขององค์รัชทายาทสู่นั้นเหมือนกับบิดาเป็นอย่างยิ่งและยังเป็นคนอ้วนคนหนึ่งจึงง่ายต่อการจดจำ

เสียงกีบม้าใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

เจ้าอี่โหลวที่นอนอยู่บนทางลาดชันสามารถเห็นกองทัพสู่เข้ามาใกล้ได้อย่างชัดเจน ผู้ที่อยู่หน้าสุดคือทหารราบของรัฐสู่ เมื่อพิจารณาจากย่างก้าวอันหนักหน่วงแล้ว วันแห่งการต่อสู้และการหลบหนีติดต่อกันหลายวันทำให้พวกเขาเหนื่อยมากแล้ว

เมื่อเร็วๆ นี้ กองทัพมุ่งมั่นที่จะสังหารสายสืบของกองทัพสู่เสมอมาซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี แม้ว่ามิได้สังหารเขาทว่าก็สามารถขัดขวางความเร็วในการแพร่กระจายข่าวของกองทัพสู่ได้อย่างมาก ดังนั้นถูอู้ลี่จึงได้รับข่าวเพียงว่ากองทัพฉินและสู่ชะงักงันอยู่ในหุบเขา แต่ไม่รู้ว่าทหารม้าหนึ่งหมื่นนายนั้นได้ถูกกวาดล้างไปแล้ว

เขาคงไม่คิดว่าการที่ตนส่งทหารม้าออกไปมากกว่ากองทัพฉินสองเท่า อีกทั้งยังคำนวณเป็นอย่างดีแล้วว่าจะให้กองทัพสู่ลวงทหารห้าพันนายที่นำโดยเจ้าอี่โหลวเข้าไปสังหารในหุบเขา แผนที่ดำเนินการอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ยังพ่ายแพ้ราบคาบ

“ท่านแม่ทัพ ทางข้างหน้ามีสิ่งแปลกปลอมขอรับ” ทหารราบด้านหน้าพบว่ามีศีรษะนอนอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางถนนจากระยะไกล จึงรายงานไปยังถูอู้ลี่ทันที

“ส่งคนล่วงหน้าไปตรวจสอบก่อน” ถูอู้ลี่พูดจบก็สั่งให้ลดความเร็วลง

การต่อสู้หลายเดือนติดต่อกันทำให้ชายหนุ่มเยี่ยงเขาก็แสดงความผันผวนของอายุอย่างเด่นชัด หนวดเคราที่ขากรรไกรล่างของเขาเติบโตราวกับวัชพืช

เขาเชี่ยวชาญในการเดินทัพและการต่อสู้มากขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับทหารที่แข็งแกร่งของกองทัพฉิน แม้เขาจะเป็นแม่ทัพผู้มี่พรสวรรค์ก็ไม่สามารถต้านทานได้ ดังนั้นหลังจากที่เขาพ่ายแพ้ที่ด่านเจียเหมิง เขาก็รู้อยู่ในใจว่ารัฐสู่กำลังจะล่มสลาย ครั้นเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือใช้แผนเพื่อปกป้องเลือดเนื้อของรัฐสู่ จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาแล้วรอโอกาสที่จะโต้กลับ

สำหรับทหารเหล่านี้ เขาทำได้เพียงทำอย่างดีที่สุด สามารถพาหนีไปได้มากแค่ไหนก็แค่นั้น

ทหารราบที่ล่วงหน้าไปตรวจสอบพบว่ามันคือศีรษะมนุษย์ บนศีรษะนั้นยังมีทรงผมคล้ายชาวสู่

ทหารราบมิได้ใส่ใจกับมันเมื่อได้เห็นเป็นครั้งแรก เนื่องจากสงครามเป็นไปอย่างดุเดือด หากมีสัตว์ป่าลากศพออกจากสนามรบมากินก็มิใช่เรื่องแปลก แต่ในแวบที่สอง เขาสังเกตเห็นว่าบาดแผลที่ศีรษะและลำคอของผู้นั้นค่อนข้างเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่ามันถูกสับด้วยดาบและ…ใบหน้าค่อนข้างดูคุ้นเคย

ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทหารราบก็เดินไปข้างหน้าเพื่อหยิบมันขึ้นมาแล้วนำมันกลับมาให้ถูอู้ลี่ “ท่านแม่ทัพ เป็นศีรษะของผู้หนึ่ง ข้าน้อยรู้สึกคุ้นตาเล็กน้อยจึงเก็บมันขึ้นมา”

ถูอู้ลี่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ให้ข้าดู”

ทหารราบยกศีรษะที่ส่งกลิ่นเหม็นในมือขึ้นสูง โดยหันหน้าของมันไปทางถูอู้ลี่

ขณะที่ถูอู้ลี่เห็นศีรษะนั้น ใบหน้าก็แข็งทื่อและไม่สามารถละสายตาได้อีก

เจ้าอี่โหลวบนเนินดินเห็นเลือนรางว่าทหารนายนั้นยกศีรษะขึ้นมาและนำไปให้ท่านแม่ทัพดูแล้ว รู้ว่าไม่อาจล่าช้าได้อีกต่อไป คำรามขึ้นทันใด “ฆ่า!”

ครั้นกองทัพฉินที่ซุ่มโจมตีทั้งสองฝั่งได้ยินสัญญาณของผู้บัญชาการให้ฆ่า ทุกคนก็กระโดดขึ้นพรวดแล้วดำดิ่งลงไปตามทางลาดชัน ทหารม้าที่ซ่อนอยู่หลังเนินในป่าที่ไกลๆ เห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติบนทางลาดก็รีบหวดแส้ตามมาทันที

บัดนี้กองทัพสู่ได้ต่อสู้กับกองทัพฉินที่นำโดยซือหม่าชั่วเป็นเวลาหนึ่งคืนแล้ว อีกทั้งยังเร่งเดินทัพทั้งวันและคืน เหนื่อยล้าจนแทบทนไม่ไหว ขณะนี้ยังถูกกองทัพฉินโจมตีโดยไม่ทั้งตั้งตัวก็ล้มกองลงไปกับพื้นเพียงชั่วพริบตา

ถูอู้ลี่ดึงความคิดของเขากลับมา คำรามเสียงดัง “ฆ่า!” และเข้าร่วมการต่อสู้อย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เขาสังหารทหารฉินไปได้สี่ถึงห้านาย หูก็พลันได้ยินเสียงเสือคำรามขึ้นข้างหู จากประสบการณ์เขารู้ว่ามันเป็นเสียงของอาวุธหนักที่เหวี่ยงเข้ามา จึงรีบวาดดาบขึ้นด้วยความรวดเร็ว

ชิ้ง! เสียงดังขึ้นพร้อมกับประกายไฟวูบในขณะที่อาวุธปะทะกัน เขากับม้าถูกบีบให้ถอยหลังไปสองสามก้าวจนแทบจะตกจากม้าด้วยซ้ำ!

ถูอู้ลี่มองผู้จู่โจมด้วยความประหลาดใจ ชายหนุ่มรูปหล่อในชุดเกราะสีดำอายุประมาณยี่สิบปีอยู่ห่างออกไปครึ่งจั้ง รูปร่างลักษณะคล้ายกับเขามาก ไม่ว่าจะเป็นลำตัวหรือใบหน้าที่ห่อหุ้มด้วยชุดเกราะก็ล้วนมีความคมกริบเหมือนมีด ริมฝีปากหนาบางกำลังพอดี จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเรียวยาวที่คมราวกับใบดาบตวัดเฉียงเข้าไปในขมับ และยังมีดวงตาคู่นั้นที่ลึกล้ำราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน ทุกส่วนล้วนน่าดูเป็นอย่างยิ่ง! รูปลักษณ์ที่หายากเช่นนี้ทำให้ถูอู้ลี่ตกใจเพียงชั่วครู่ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาระมัดระวังมากยิ่งขึ้นก็คือกลิ่นอายแห่งความอาฆาตที่แพร่กระจายออกมาจากนายพลหนุ่มผู้นี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกถึงลมหายใจคล้ายสัตว์ร้ายโบราณในตำนาน

ทั้งสองสำรวจกันเพียงชั่วครู่ อาวุธในมือก็ตัดผ่านท้องฟ้า แผดเสียงพร้อมจู่โจมไปยังฝ่ายตรงข้าม

แม้แต่การปะทะไปมาอย่างแข็งกร้าวจะยังไม่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะ ทว่ากลับสามารถขับไล่เหล่าทหารที่กำลังต่อสู้ห่างออกไปเป็นจั้งแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กันอีกครั้ง

ดาบยาวในมือของถูอู้ลี่เปล่งประกายด้วยเลือดสีแดงเข้มในยามพระอาทิตย์ตก ครั้นเจ้าอี่โหลวหันหน้าไปทางแสงอาทิตย์ก็รู้สึกตาลายในขณะที่ดาบของถูอู้ลี่ชี้ไปยังใบหน้าของเขาแล้ว เขาหันตัวหลบทันใด ขาทั้งสองข้างหนีบโกลนม้าแน่น ห้อยตัวไปยังข้างม้าของถูอู้ลี่ เหวี่ยงจวี้ชางที่ส่องประกายวับในมือไปยังม้าศึกสีแดงเข้มที่อยู่ใต้ก้นของถูอู้ลี่

ดาบเปื้อนเลือดหักเลี้ยวอย่างเฉียบคม ถูอู้ลี่ปัดป้องการโจมตีฉับพลันของของเจ้าอี่โหลวด้วยทักษะของตน

พวกเขาสองคนต่างมิใช่รุ่นที่ต่อสู้กันด้วยกำลังเท่านั้น

ทันทีที่เจ้าอี่โหลวนั่งตัวตรงบนหลังม้า ดาบของถูอู้ลี่ก็โจมตีเข้ามา ดาบตีกันส่งเสียงเหมือนหิน เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่าง่ามนิ้วโป้งและนิ้วชี้ด้านชา เกือบจะทำจวี้ชางหลุดมือ รอยฟันตื้นๆ ถูกทิ้งไว้บนใบมีดคมที่หายากทั้งสองเล่มแล้ว

เจ้าอี่โหลวหายใจเข้าลึกและโจมตีอีกครั้งด้วยพละกำลังเต็มสิบ ม้าที่อยู่ใต้กันเคลื่อนไหวอย่างแข็งแกร่ง เงาสีเขียวเข้มและสีดำกำลังต่อสู้กันภายใต้แสงดาบเย็นยะเยือก บัดนี้พลธนูที่แข็งแกร่งของกองทัพฉินบนเนินเขาโดยรอบเตรียมพร้อมแล้วทว่ายังไม่กล้าปล่อยลูกธนู ได้แต่ประจำที่อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ จับจ้องถูอู้ลี่และรอโอกาสยิง

ทักษะศิลปะการต่อสู้ของทั้งสองล้วนห่างไกลความสง่างามและแข็งแกร่ง มันมิใช่การเคลื่อนไหวที่ผิดแปลก หากแต่เป็นเหมือนพายุลมฝนอันบ้าคลั่ง ถูอู้ลี่อยู่เหนือเจ้าอี่โหลวในแง่ของความแข็งแกร่ง ทว่าเขาต่อสู้อย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ ความแข็งแกร่งทางกายภาพจึงด้อยกว่าเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายรอบ เจ้าอี่โหลวจึงได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังหลายแห่งบนร่างกาย ถูอู้ลี่มีบาดแผลน้อยกว่า ทว่าหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงระหว่างหายใจนั้นรุนแรงกว่าเจ้าอี่โหลวมาก

หลังจากแยกจากกันไม่กี่อึดใจ เจ้าอี่โหลวก็ตะโกนเสียงดัง “อย่ายิงธนู!”

เสียงตะโกนฆ่าดังไปทั่วและม้าศึกก็ส่งเสียงร้องฮี้ ทว่าเสียงคำรามนั้นทะลุทะลวงและชัดเจนเป็นพิเศษ

นักธนูที่กำลังจะปล่อยลูกธนูบนเนินต่ำหยุดกะทันหัน

ถูอู้ลี่หัวเราะเย้ยหยัน ขี่ม้าด้วยกำลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับเจ้าอี่โหลวอีกครั้ง

โอกาสมีเพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น มือธนูลังเลครู่หนึ่งแต่ก็พลาดโอกาสไปแล้ว

นี่มันไม่เหมือนแผนเดิมนี่นา!

นายพันที่นำทัพอยู่บนเนินเขาขมวดคิ้วแน่น เดิมทีพวกเขาจะใช้โอกาสนี้ยิงสังหารถูอู้ลี่ด้วยหน้าไม้ธนูที่แข็งแกร่ง ทว่าบัดนี้นอกจากเจ้าอี่โหลวจะต่อสู้อยู่กับถูอู้ลี่แล้วยังสั่งห้ามพวกเราปล่อยธนูอีก สุดท้ายแล้วเจ้าอี่โหลวก็เป็นนายพลสูงสุดที่นี่ นายพันไม่แน่ใจจึงส่งคนไปถามซ่งชูอี

ในเวลานี้ เจ้าอี่โหลวกำลังรับมือกับการจู่โจมเต็มกำลังของถูอู้ลี่อย่างหนักหน่วง ทันใดนั้นง่ามนิ้วก็รู้สึกชาและมีของเหลวอุ่นๆ ไหลออกมา ทั้งสองคนห่างกันไม่ถึงนิ้ว ถูอู้ลี่เห็นเพียงเจ้าอี่โหลวที่จ้องมองเขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำ แววตาราวกับมีสาระสำคัญแต่ก็ราวกับสายลมเย็นบ้าคลั่งที่เสียดแทงกระดูก อีกทั้งยังเหมือนสัตว์ป่าเสียสติที่ต้องการจะกินเนื้อและกระดูกอย่างไรอย่างนั้น

แววตาที่น่ากลัวเช่นนี้ทำให้ถูอู้ลี่ตื่นตกใจ ดาบที่อยู่ในมือของเขาถูกผลักด้วยพลังอันแรงกล้าอย่างกะทันหัน ม้าที่อยู่ใต้สะโพกไม่สามารถต้านทานแรงนี้ได้ ร่างกายจึงโงนเงนกำลังจะล้ม

ถูอู้ลี่ใช้ประโยชน์จากจังหวะนี้กระโดดลงจากหลังม้า ถอยหลังออกไปหนึ่งจั้ง

ได้ยินเพียงเสียงม้าร้องโหยหวนจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงล้มลงกับพื้นดังสนั่นจนทำให้ฝุ่นบนพื้นตลบขึ้นมา ทันทีที่ถูอู้ลี้เพิ่งจะยืนได้อย่างมั่นคงก็มีลมแรงพัดเข้ามาใกล้ เจ้าอี่โหลวเหวี่ยงจวี้ชางที่อยู่ในมือซึ่งพาเอาเสียงลมหวิวเข้ามาด้วย พร้อมจู่โจมถูอู้ลี่ราวกับเสือกับมังกรที่คำรามใส่กัน

ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ความแข็งแกร่งของทั้งสองแม่ทัพเป็นดั่งสายรุ้ง ครอบครองลมหายใจแห่งความพยาบาทในสนามรบไปเสียครึ่งหนึ่ง มือธนูที่ยืนอยู่บนที่สูงมองจนเหม่อลอย สายธนูที่ตึงอยู่ในมือคลายออกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม สนามรบก็ค่อยๆ เงียบลง ซากศพของทหารสู่สองพันนายที่เหลือกองเต็มถนน เลือดจำนวนมหาศาลชุ่มพื้นจนกลายเป็นสีแดงเข้ม การต่อสู้ระหว่างถูอู้ลี่และเจ้าอี่โหลวกำลังดำเนินไปอย่างเต็มที่

ซ่งชูอีไม่รู้ว่าพาไป๋เริ่นขึ้นไปบนเนินเขาตั้งแต่เมื่อไร ครั้นเมื่อหันหน้าไปทางสายลม นางได้กลิ่นเลือดเต็มโพรงจมูก เสียงอาวุธที่ปะทะกันอย่างรุนแรงดังลอยมา เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้เบื้องล่างนั้นอันตรายมากเพียงใด

นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็พูดกับนายพันที่อยู่ข้างกายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เล็งไปเรื่อยๆ มีโอกาสก็สังหารเสีย”

“ขอรับ!”

ด้านล่างเนินเขา ถูอู้ลี่รู้สึกเพียงว่าผู้ชายตรงข้ามเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การโจมตีที่รุนแรงก็เหมือนกับคลื่นลูกใหญ่ คลื่นที่ซัดสาดในแต่ละครั้งปั่นป่วนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ภายใต้การโจมตีแบบพายุหมุนเช่นนี้ ถูอู้ลี่ค่อยๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

เจตนาฆ่าของเจ้าอี่โหลวนั้นท่วมท้น ถูอู้ลี้สามารถรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่อยู่เบื้องหลังแรงอาฆาตนี้ระหว่างที่ประมือกัน รู้สึกแปลกใจทั้งที่ตนไม่เคยเจอเขา เหตุใดจึงได้จงเกลียดจงชังเพียงนี้?! แต่เขาไม่สามารถคิดมากเกินไปในระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือด

กองทัพสู่ถูกทำลายล้าง องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ ในใจคิดว่ากองทัพฉินจะต้องสังหารสู่อ๋องแล้วเป็นแน่ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว รัฐสู่ได้ล่มสลายแล้ว การที่เขาพยายามเต็มกำลังเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะรัฐสู่ ทว่าเขาต่อสู้เพียงเพื่อการต่อสู้เท่านั้น

เขารู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถช่วยรัฐสู่ได้ ทว่าการตายไปกับบ้านเมืองก็นับว่าจงรักภักดีแล้ว!

ในฐานะผู้บัญชาการทหาร มันเป็นความโชคดีมากกว่าความอัปยศที่จะต้องมาจบชีวิตอยู่ในมือของบุคคลเยี่ยงนี้

ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาในใจขณะที่พละกำลังอันเกรียงไกรเสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลายแล้ว ถูอู้ลี่เหมือนกลับสู่แสงสว่างอีกครั้ง เขาร่ายรำดาบยาวเปื้อนเลือดนับครั้งไม่ถ้วนและได้กลืนจิตสังหารที่เด็ดขาดเพื่อต่อสู้กลับอย่างเมามัน เจ้าอี่โหลวคิดไม่ถึงว่าบุคคลนี้จะยังดุดันอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถอยหลังไปสิบกว่าก้าวฉับพลัน

จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ดังกล่าวกระตุ้นความปรารถนาที่จะสังหารของเจ้าอี่โหลว ครั้นเขายืนได้อย่างมั่นคงแล้วร้องโหยหวนยาวนาน ตัวดาบสีดำขนาดมหึมาและใบมีดที่สะท้อนแสงหิมะนั้นคล้ายเจียวหลง[1]ที่ทะยานขึ้นมาจากน้ำฉับพลัน เกล็ดคมที่ไม่สะทกสะท้านของมันปกป้องเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หลังจากการเคลื่อนไหวไม่กี่ครั้ง “เจียวหลง” ก็จับช่องโหว่ของถูอู้ลี่ได้และเจาะเข้าไปเหมือนกลุ่มลูกศร

เพลงดาบถูกทำลาย ครั้นเห็นว่าดาบคมกริบกำลังเข้ามาหาหน้าอก ถูอู้ลี่ยกดาบขึ้นขวางทันที

เสียงหินกระทบกัน เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เกิดรอยแตกเล็กน้อยบนใบมีดไร้เทียมทานคู่นั้น ถูอู้ลี่มีความรู้สึกราวกับอวัยวะภายในแตกสลาย เขากลืนกลิ่นคาวหวานที่พุ่งเข้าสู่ลำคออย่างดุเดือด อย่างไรก็ดีของเหลวสีแดงก็ยังคงไหลออกมาตามมุมปาก

ในวินาทีที่จิตของเขากำลังกระจัดกระจายอยู่นั้น เจ้าอี่โหลวหันดาบขวับ คมดาบอันเย็นเยียบของจวี้ชางนั้นราวกับสายฟ้า

ถูอู้ลี่รู้สึกเพียงคอของตัวเองเย็นวาบ กระแสความร้อนพุ่งออกมาจากเส้นเลือด ร่างของเขากระตุกรุนแรง แทงดาบยาวลงพื้นด้วยพละกำลังสุดท้ายที่มี สองมือค้ำดาบ ก้มศีรษะต่ำด้วยความหดหู่

เขาสามารถได้ยินเสียงเลือดของตัวเองที่พุ่งออกมาจากเส้นเลือดดัง “ซู่ซู่” ทั้งตัวเย็นลงเฉียบพลัน

ในวินาทีนี้เองฉากมากมายนับไม่ถ้วนผ่านวูบเข้ามาในสมอง รัฐสู่ตกอยู่ในเปลวเพลิง หญิงสาวน่ารักใคร่ของชนเผ่าถูอู้ ดอกตู้เจวียนในหุบเขาลึก…หรือแม้แต่ฉินกงผู้เย็นชา จางอี๋ผู้มีรอยยิ้มสะดุดตา ซ่งชูอีที่ไร้ความสะทกสะท้าน…รวมทั้งแผนการต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังเขาทั้งหมด

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาโดยไม่รู้ตัว เขาแพ้แล้วแต่ก็ชนะแล้วเช่นกัน

สงบนิ่ง

ท่ามกลางซากศพที่กองพะเนินดุจภูเขา ผู้นำทัพสองนายยืนค้ำดาบหันหน้าเข้าหากันในระยะสองจั้ง ผู้หนึ่งคือท่านแม่ทัพถูอู้ลี่ที่ถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงก่ำของตัวเอง ส่วนอีกคนในชุดเกราะสีดำกำลังหายใจหอบหนักหน่วง

“ตูเว่ยเทพสงคราม!” นายพันนายหนึ่งดึงสติกลับมาจากการต่อสู้ที่น่ากลัวนี้ฉับพลัน คำรามเสียงดัง

ทันใดนั้นก็ระเบิดเสียงดังกึกก้องทั่วสนาม “ตูเว่ยเทพสงคราม! ตูเว่ยเทพสงคราม! ตูเว่ยเทพสงคราม!”

ซ่งชูอ่พ่นเสียงแผ่วเบาออกมาช้าๆ และมันก็จมหายอยู่ในนั้นอย่างไร้ร่องรอย

การต่อสู้ครั้งนี้งดงามมาก กองทัพฉินสูญเสียไปเพียงร้อยกว่านายเท่านั้น และสามารถกวาดล้างกองทัพสู่ได้อย่างราบคาบ

ธงสีดำขนาดใหญ่ของรัฐฉินแกว่งไปมาในสายลมเหนือหวังเฉิงแห่งรัฐสู่

ผู้บัญชาการทหารหลายสิบคนในชุดเกราะสีดำยืนอยู่ในห้องโถงของค่ายผู้บัญชาการทหาร ความยินดีที่ปรากฏในแววตาแฝงไปด้วยบรรยากาศความขึงขังเล็กน้อย

“ถูอู้ลี่ผู้นี้ เหมือนอู๋ฉี่อย่างน่าทึ่ง!” จางอี๋ขมวดคิ้วเอ่ย

ทุกคนมองเขาด้วยแววตาสงสัย เห็นได้ชัดว่าซือหม่าชั่วเข้าใจอะไรบางอย่าง สีหน้าเย็นชาตลอดเวลา

“ต้องพูดว่าความจงรักภักดีของถูอู้ลี่นั้นดีกว่าอู๋ฉี่มาก เหตุใดท่านที่ปรึกษาจึงกล่าวเยี่ยงนี้?” จางเหลียวถามคำถามที่อยู่ในใจของทุกคน

[1] เจียวหลง มังกรในตำนานที่มีความสามารถในการควบคุมฝนและอุทกภัย