ตอนที่ 269 กฎระเบียบเรียนยาก จะผ่านด่านก็ยังไม่ง่าย

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

กฎระเบียบเรื่องแรกที่ต้องเรียนก็คือการถอดหน้ากากที่คล้ายกับมีไว้เพื่อปิดของลับนั้นออกมา คุณหนูสุราไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก นางรู้ว่าแม้ตัวเองก็นับเป็นคนงามคนหนึ่ง แต่ในสายตาของคนดั่งซั่งกวนเจวี๋ยนั้น อาจจะพอไปวัดไปวาได้เท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภรรยาของนาง แต่อู๋เลี่ยนเยี่ยนผู้ที่ถูกเขามองข้ามคนนั้นก็มีรูปโฉมไม่ต่างจากตัวเองเท่าใด หากถอดหน้ากากออกมา ความรู้สึกลึกลับที่มีหน้ากากปกปิดไว้ก็จะไม่มีอีกแล้ว เช่นนั้นในด้านรูปลักษณ์ของตัวเองก็ย่อมไม่มีความได้เปรียบอันใดแล้ว แต่จะไม่ถอดได้หรือ?

แม่นมเหลียงผู้ที่ว่ากันว่าเป็นผู้มีบารมีจากเรือนพำนักอวี้ฉิงคนนั้น เพียงกล่าวเรียบนิ่งหนึ่งประโยคว่า “ฐานะของคุณหนูสูงส่ง จะถอดหน้ากากหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับคุณหนู เพียงแต่หากเป็นเช่นนั้นพวกบ่าวก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะสามารถทำเรื่องที่คุณชายใหญ่ฝากฝังไว้สำเร็จหรือไม่ แทนที่จะถูกคุณชายใหญ่ตำหนิเมื่อถึงเวลานั้น ยังมิสู้เป็นฝ่ายไปขอร้องก่อนจะดีกว่า!”

ดังนั้นคุณหนูสุราจึงทำได้เพียงกัดฟันถอดหน้ากากออกมา ยามเย็นภาพวาดของนางก็ไปถึงมือซั่งกวนเจวี๋ย และซั่งกวนเจวี๋ยก็ให้คนไปตรวจสอบความเป็นมาของนางทันที…มี่เอ๋อร์บอกแล้วว่า คนที่เคยพบหน้ากากอันนี้มีไม่มาก นอกจากห้าคนที่รู้จักกันในครั้งแรก ก็มีเพียงลู่เหยา มู่หรงปั๋วเย่และเฉินเยียนอวี่ อนุภรรยาของเขา ทั้งยังมีคนไม่กี่คนที่พบในลี่หูชุน จากนั้นก็ไม่มีใครอีกแล้ว

หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยได้ฟังประโยคนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงนึกถึงเพียงเฉินเยียนอวี่ผู้ที่หลังจากแต่งเป็นอนุภรรยาให้มู่หรงปั๋วเย่ก็ดูเหมือนสงบเสงี่ยมเป็นอย่างมาก ไม่ได้อาศัยเรื่องที่ได้รับความโปรดปรานจากมู่หรงปั๋วเย่มาตั้งตัวเป็นศัตรูกับหยางหานยวน แต่นางกลับคว้าทุกโอกาส แนะนำพวกพี่ๆ น้องๆ ที่ตัวเองรู้จัก ทั้งมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับพวกคุณชายตระกูลใหญ่ ในปีนั้นอวี้เมิ่งเหยาก็ไม่ใช่นางที่เป็นคนแนะนำให้ตัวเองรู้จักหรอกหรือ? ยังมีลั่วหลิง ก็เป็นคนที่นางแนะนำให้ชุยฮ่าวหรันรู้จัก หรือคนผู้นี้ก็เป็นคนที่เป็นนางสร้างเรื่องออกมาเช่นกัน?

เมื่อมีทิศทางและเป้าหมายให้สงสัย ซั่งกวนเจวี๋ยก็ให้คนเน้นตรวจสอบไปที่คนที่รู้จักกับเฉินเยียนอวี่ว่ามีบุคคลเช่นนี้หรือไม่ จากนั้นก็รอดูละครสนุกเท่านั้น!

คุณหนูสุราเพื่อที่จะสามารถแต่งเข้าตระกูลใหญ่ได้ก็ลงแรงไปไม่น้อย กฎระเบียบที่พวกแม่นมเหลียงสอนก็ไม่นับว่ายากจนเกินไป สำหรับนางแล้ว กฎระเบียบเกี่ยวกับการนั่งยืนเดิน แต่งตัวแต่งหน้า และจัดการกับเรื่องต่างๆ ล้วนไม่ได้เป็นเรื่องยากแต่อย่างใด เพียงแต่หลังจากสองสามวันผ่านไป พวกแม่นมเหลียงก็กล่าวออกมาว่า คุณหนูสุรามีกิริยาที่บริสุทธิ์งดงาม กฎระเบียบก็เรียนได้อย่างยอดเยี่ยม ขอเพียงแค่ให้ฮูหยินและสะใภ้ใหญ่ตรวจสอบดูก็เพียงพอแล้ว ยามนั้นมาถึง หวงฝู่เยวี่ย เอ้อและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เผยรอยยิ้มเย็นก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าคุณหนูสุราที่มีสีหน้าลำพองใจ

“เชิญคุณหนูยกน้ำชาให้แก่ฮูหยินเจ้าค่ะ!” แม่นมเหลียงกล่าวอย่างเข้มงวด นางชายตามองได้อย่างเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง แต่ในแววตาที่ปรากฏรอยยิ้มของนางนั้นกลับเผยความในใจออกมาเสียหมด

“เชิญฮูหยินดื่มชา!” คุณหนูสุราเคลื่อนไหวฝีเท้าอย่างเชื่องช้า ค้อมกายคารวะอย่างงดงาม ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้ายกน้ำชาให้กับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ แต่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับไม่แม้แต่จะมอง กล่าวอย่างเรียบเย็น “นี่คือกฎระเบียบที่นางเรียนมาอย่างนั้นหรือ?”

“คุณหนู ยามที่ยกน้ำชาให้ฮูหยินต้องเรียกตัวเองว่า ‘เชี่ยเซิน’ จะไม่เรียกอะไรแทนตัวเองเลยไม่ได้นะเจ้าคะ!” แม่นมเหลียงแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสอนเรื่องการเรียกขานมาก่อน ในทางกลับกัน นางเอาแต่เน้นย้ำมาตลอดว่ามีตัวตนในฐานะสะใภ้ของตระกูลซั่งกวน ไม่ใช่อะไรนิดอะไรหน่อยก็เรียกตัวเองว่า ‘เชี่ยเซิน’ และคุณหนูสุราก็แทบจะไม่ได้ยินเยี่ยนมี่เอ๋อร์แทนตัวเองว่าเช่นนั้นเลย หากไม่พูดไปตรงๆ ว่า ‘ข้า’ เลย ในยามที่อยู่ต่อหน้าสองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวก็จะแทนตัวเองด้วยชื่อเท่านั้น จึงคล้อยตามไปเช่นนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมาถูกจับผิดที่นี่

แต่ว่า นางก็เป็นคนที่มีความพยายามและแน่วแน่ หยัดกายขึ้นทันที เดินห่างออกไปห้าหกก้าว จากนั้นก็เดินเข้ามาอีกครั้ง คำนับอย่างงดงาม กล่าวด้วยความอ่อนโยน “เชี่ยเซินเชิญฮูหยินดื่มชา!”

“ถ้วยชายกเช่นนี้หรอกหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังคงไม่พอใจอย่างมาก มองหญิงสาวที่คุกเข่าตรงหน้าอย่างเย็นเยียบ หน้าตาก็ไม่เท่าใด เดิมทีคิดว่าคนที่กำเริบเสิบสานนั้นจะดูมีชีวิตชีวา ร่าเริงรักสนุกอยู่บ้าง ทั้งมีความทระนงตนเล็กน้อย แต่พอถอดหน้ากากออก ใบหน้าที่เผยออกมากลับเป็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดาๆ เท่านั้น ตรงหน้าผากยังมีความมืดมนที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนนัก เพียงแต่หากจะจัดการขึ้นมาก็อาจจะประสบความสำเร็จได้ง่ายเช่นกัน

“คุณหนู ถ้วยชาต้องไม่สูงไม่ต่ำเกินไป อยู่ในที่ที่ฮูหยินสามารถเอื้อมถึงได้พอดี ท่านยกต่ำไปอยู่บ้าง!” แม่นมเหลียงเอ่ยปากตักเตือนทันที ยามที่ยกน้ำชา ให้ยกสูงเหนือเข่าของผู้ที่จะยกให้ประมาณสามชุ่น[1] สูงมากไปหรือต่ำไปล้วนไม่เหมาะสม แต่ก็ต้องดูอารมณ์และความคิดของทุกคนด้วย หากมองนางอย่างขัดหูขัดตา เช่นนั้นไม่ว่าจะยกระดับไหนก็ล้วนไม่อาจทำให้คนพอใจได้อยู่ดี

“เข้าใจแล้ว!” คุณหนูสุรามีโทสะอยู่บ้าง แต่นางรู้ว่านางในยามนี้ทำได้เพียงเชื่อฟังหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเท่านั้น เมื่อวานซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างไม่ตั้งใจว่า เขามีเรื่องสำคัญอยู่บ้าง เช้าตรู่วันนี้ต้องออกไปทำธุระ ประมาณสองถึงสามวันจึงจะกลับมา แม้ว่าซั่งกวนฮ่าวจะเกรงใจนาง ทั้งยังดูแลอย่างดี แต่นางก็รู้ว่าซั่งกวนฮ่าวไม่ยินดีที่จะยอมรับนางเข้าตระกูล เวลานี้เขาย่อมหวังให้ตัวเองเลิกล้มความตั้งใจ ไม่ใช่ยืนหยัดต่อไป กลายเป็นภรรยาของซั่งกวนเจวี๋ย หากยามนี้นางต่อต้านหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ นางย่อมจะถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อหาวิธีไล่ออกไป หลังจากออกไปแล้วคิดจะเข้ามาในตระกูลซั่งกวนอีกครั้งก็ย่อมเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า นางไม่อยากจะทำเสียเรื่องกลางคัน

“สูงไป!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างเรียบนิ่ง คุณหนูสุราทำได้เพียงเริ่มใหม่อีกครั้งอย่างไม่พอใจเท่านั้น

“ต่ำไป!” คำพูดที่เยือกเย็นของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อทำให้คุณหนูสุรากัดฟันกรอด เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดปิดปากขำขึ้นมาไม่ได้ ที่แท้ไม่ว่าใครก็ล้วนมีช่วงเวลาที่แม่สามีเผยนิสัยโหดร้าย!

“สูงอีกแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างผิดหวังที่นางสอนแล้วไม่เป็นดั่งใจ “เหตุใดเจ้าจึงโง่ถึงขนาดนี้!”

“ยังคงสูงเกินไป!” ในครั้งที่เก้า ไม่ก็ครั้งที่สิบหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ยังคงสั่นศีรษะทั้งถอนหายใจ “ดูท่าแล้วจะเป็นเพียงคนโง่ ในหัวสมองนอกจากเรื่องที่หว่านเสน่ห์ผู้ชายก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้วใช่หรือไม่? ช่างเถิด ดูท่าทางของเจ้าก็รู้แล้วว่าเป็นหินที่ไม่อาจจะกะเทาะได้ ยกน้ำชาขึ้นมาเถิด!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยายามกลั้นความปรารถนาที่จะระเบิดเสียงหัวเราะเอาไว้ ทำหน้านิ่งเสียกว่ากระไร มองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่รับถ้วยชามาอย่าง ‘ใจกว้าง’ เมื่อจ่อที่ริมฝีปากก็ดื่มเข้าไปอึกใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียง ‘พรืด’ น้ำชาเต็มปากนั้น พ่นออกมาใส่ใบหน้าของคุณหนูสุราอย่างตรงๆ ทำให้นางฝืนยิ้มปลอมๆ ต่อไปอีกไม่ไหวจึงปล่อยให้ค้างอยู่บนใบหน้าทั้งอย่างนั้น กล่าวด่าออกไป “นี่คือชาหรือยาพิษกัน? เจ้าอยากจะวางยาพิษข้าให้ตายใช่หรือไม่?”

“ท่านแม่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปลอบหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างระวัง จากนั้นก็กล่าวเรียบนิ่ง “แม่นมเหลียง อย่างไรเชิญคุณหนูโม่ไปจัดการตัวเองดีๆ เสียหน่อยเถิด! ดูสภาพนี้ของนางสิ ทุลักทะเลไปทั้งตัว ใบหน้าก็โมโหบึ้งตึง หากไม่รู้ยังจะคิดว่าพวกเราไปทำอะไรนางเสียอีก!”

นังผู้หญิงสมควรตายคนนี้! คุณหนูสุราอยากจะพุ่งเข้าไปจัดการผู้หญิงที่เอาแต่พูดแดกดันอยู่ด้านข้าง รอซั่งกวนเจวี๋ย กลับมา นางย่อมเอาเรื่องในวันนี้บอกกล่าวต่อเขาอย่างไม่มีตกหล่น ให้นางจัดการกับผู้หญิงน่าชังคนนี้เสีย!

“จัดการอะไรอีก! แม่นมเหลียงนี่ก็คือคนที่เจ้าพูดว่ามีกิริยาบริสุทธิ์งดงาม เรียนรู้กฎได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างนั้นหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นผมของคุณหนูสุราเปรอะเปื้อนไปด้วยใบชาก็ลอบมีความสุขอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับเผยความไม่พอใจ กล่าวอย่างเรียบเย็น “ยกน้ำชายังโง่ขนาดนี้ หญิงสาวเช่นนี้ยังกล้าเพ้อฝันจะเข้าตระกูลซั่งกวน เป็นภรรยาเจวี๋ยเอ๋อร์? ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเจวี๋ยเอ๋อร์จึงลุ่มหลงได้!”

ใบหน้าของคุณหนูสุราแดงก่ำ นางในยามนี้รู้สึกเสียใจที่เห็นด้วยกับการเรียนรู้กฎระเบียบ กฎระเบียบเรียนไม่ยาก แต่มีคนจงใจสร้างความลำบากให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่างหาก ถ้านางรู้ก่อนละก็ คงจะเรียนให้ช้าเล็กน้อย ให้ซั่งกวนเจวี๋ยได้ตรวจสอบผลลัพธ์ไปด้วยกัน เชื่อว่าแม้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะสร้างความลำบาก แต่ก็ย่อมไม่มากเท่านี้

“เช่นนั้นก็ต่อเลยเถิด” ที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดให้นางไปจัดการตัวเองก็พูดลอยๆ เท่านั้น ในเมื่อหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเอ่ยคัดค้าน เช่นนั้นก็ทำต่อไปเถิด! นางอยากรู้เป็นอย่างมากว่าหญิงสาวผู้นี้จะเด็ดเดี่ยวถึงเพียงไหน สามารถยืนหยัดไปถึงเมื่อใดกัน

“เชิญคุณหนูชงชาและยกน้ำชาให้ฮูหยินใหม่อีกครั้ง” ใบหน้าของแม่นมเหลียงยังคงเรียบนิ่ง คล้ายกับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่รอยยิ้มที่แววตานั้นกลับปิดไม่มิดแล้ว แค่เห็นก็อาจจะความแตกได้แล้ว

“แม่นมเหลียงไปพักผ่อนสักพักก่อนเถิด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นความผิดปกติของแม่นมเหลียง หากในยามนี้นางหัวเราะออกมา ย่อมจะทำให้ละครสนุกในวันนี้พังไม่เป็นท่า จึงให้โอกาสนางออกไปหัวเราะ ทั้งควบคุมอารมณ์ของตัวเองหน่อย

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” แม่นมเหลียงไม่ได้ปฏิเสธ ออกไปอย่างทันที รอจนนางออกไปไกล เมื่อมั่นใจแล้วว่าคุณหนูสุราคนนั้นไม่อาจได้ยินเสียงหัวเราะตัวเองก็ระเบิดหัวเราะออกมา ทำให้สาวใช้ที่อยู่ข้างกายนางอดหัวเราะตามขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน

————————

“เย็นแล้ว!” วันนี้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อค่อนข้างจริงจังกับน้ำชา เริ่มแรกก็เป็นท่วงท่ายกน้ำชา ยามนี้ก็มาเป็นอุณหภูมิชา อย่างไรแค่มีจุดให้จับผิดก็เพียงพอแล้ว คุณหนูสุราถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไล่ให้ไปทำใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากผ่านมาหลายครั้ง นางจึงอดไม่ไหวรินชาที่ร้อนปุดๆ ออกมา อย่าพูดเลยว่าคิดจะให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อดื่มลงไป แต่แม้จะยกขึ้นมาก็ย่อมร้อนจนต้องกระโดดขึ้นมา…เวลานี้นางกลับไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะถูกน้ำชาลวกสักนิด

“เจ้าอยากจะลวกข้าให้ตายหรืออย่างไร!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้โง่เพียงนั้น นิ้วของนางเพิ่งจะสัมผัสถ้วยก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของอุณหภูมิแล้ว นางสะบัดถ้วยชาจากจานรองอย่างไม่เกรงใจ น้ำชาร้อนนั้นกระเด็นออกมา โดนมือที่ยกจานรองน้ำชานั้นของคุณหนูสุรา ทำให้นางอดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาไม่ได้ มองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ดวงตาสุมไปด้วยโทสะและความโกรธ ทั้งคนก็แทบที่จะกระโดดขึ้นมา

“นี่คุณหนูสุราคิดจะทำอะไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างเยียบเย็น หากนางคุมอารมณ์ไม่ได้ถึงขนาดนี้ ตัวเองก็สามารถไล่นางไปในยามนี้อย่างไม่ต้องคิดมากเช่นกัน

“พวกเจ้าจงใจสร้างความลำบากให้ข้า!” คุณหนูสุราเผยรอยแดงที่ถูกลวกขึ้นมาอย่างโมโห กล่าวอย่างมีโทสะ “ฮูหยินได้คิดหรือไม่ว่าน้ำชานี้ร้อนขนาดไหน หากลวกข้าจนบาดเจ็บขึ้นมา จะให้คำตอบกับเจวี๋ยอย่างไร!”

“ที่แท้คุณหนูก็รู้ว่าน้ำชาร้อนมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จงใจมองข้ามประโยคด้านหลัง กล่าวทั้งแย้มยิ้ม “ตอนคุณหนูยกน้ำชาที่ร้อนขนาดนี้ให้ท่านแม่ มีเจตนาอันใดอยู่? ดีที่ยามที่ท่านแม่ใช้นิ้วสัมผัสจึงรู้ถึงความผิดปกติไม่ได้ยกขึ้นมา มิเช่นนั้นคนที่ถูกลวกก็คงเป็นท่านแม่แล้ว! หากเป็นเช่นนั้น คุณหนูรู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?”

“นางไม่ใช่ตำหนิว่าน้ำชาร้อนไม่พอหรอกหรือ?” คุณหนูสุราไม่ได้ตระหนักถึงความอันตรายแม้แต่น้อย อย่างไรนางก็ไม่อาจผ่านด่านผู้หญิงสองคนนี้ได้อยู่แล้ว ยังมิสู้ฉีกหน้าไปตรงๆ หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำตามกฎอะไรต่อหน้าพวกนางอีกแล้ว

“นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณหนูโม่จะสามารถใช้น้ำชาร้อนมาทำร้ายท่านแม่ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จ้องมองนางอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็หันไปกล่าวกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ “คุณหนูโม่ทำเช่นนี้ได้ฝ่าฝืนต่อกฎตระกูล อย่างไรขอท่านแม่ใช้กฎของตระกูลด้วย!”

กฎตระกูลนั้นไม่สำคัญ ฝ่าฝืนหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือหวงฝู่เยวี่ยเอ้อในยามนี้สามารถใช้ไม้กระดานอย่างตรงๆ ได้แล้ว!

“ในเมื่อความเกรงใจไม่อาจทำให้เจ้าว่าง่ายได้ เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจ!” ที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรอก็คือเวลานี้ นางเผยใบหน้าเรียบเย็น อดกล่าวอย่างตื่นเต้นไม่ได้ “แม่นมสี ให้คนไปเตรียมกระดานมาเดี๋ยวนี้! โบยคุณหนูโม่ที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้ยี่สิบไม้ ให้พวกนางตีแรงๆ ให้ข้าเสีย!”

“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!” แม่นมสีเข้าใจความหมายของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ หากนางยอมถูกลงโทษแต่โดยดี เช่นนั้นกระดานย่อมไม่จำเป็น แต่หากนางกล้าเคลื่อนลมปราณต่อต้าน หญิงแก่ที่ลงโทษกฎของตระกูลย่อมมีวิธีอื่นที่จะจัดการกับนาง

“พวกเจ้ากล้า!” คุณหนูสุราคาดไม่ถึงว่าพวกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะกล้าลงทัณฑ์กับตัวเอง ถลึงตาใส่พวกนางอย่างแข็งขืนทว่าหวาดหวั่นในใจไม่น้อย น่าเสียดายที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้วนไม่เห็นนางอยู่ในสายตา เพียงมองนางถูกหญิงแก่ที่เตรียมตัวอยู่นานแล้วลากลงไป ไม่นานก็ถูกเฆี่ยนตีจนเนื้อตัวแตกยับ

“หาหมอให้นาง ก่อนที่ยังไม่หายดีก็ยังไม่ต้องเรียนกฎระเบียบชั่วคราว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่อึดอัดในใจอยู่นาน ในที่สุดโทสะก็ได้ระบายออกมา มองท่าทีทุลักทุเลของคุณหนูสุรา คิดว่าแววตาที่เคียดแค้นของนางก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกชิงชังถึงเพียงนั้นแล้ว จึงใจกว้างละเว้นเรื่องเรียนกฎระเบียบของนางไปชั่วคราว กลับไปอุ้มหลานชายอย่างสบายใจ

“ส่งคุณหนูโม่กลับไป ดูแลปรนนิบัติให้ดีๆ เสีย!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีความเห็นใจนางแม้แต่น้อย แค่นางเรียกคำว่า ‘เจวี๋ย’ ออกมาครั้งเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้ในใจนางเกิดเพลิงโทสะขึ้นมา กำชับไปอย่างไม่ใส่ใจ ก็ตามหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไปทันที เหลือเพียงคุณหนูสุราที่ใช้แววตาแล่เนื้อเถือหนังมองพวกนางอย่างดุร้าย และพวกบ่าวใช้ที่เหมือนจะครุ่นคิดอะไรอยู่…

———————————

[1] หนึ่งชุ่น เท่ากับ หนึ่งนิ้ว