บทที่ 255 ตอบคำถามฮ่องเต้

คู่ชะตาบันดาลรัก

เสวียนเฟยและอวี้หยางยืนรออยู่ด้านนอกห้องโถงเป็นเวลานานแล้วก็เห็นขันทีเล็กเดินออกมา “เชิญท่านนักพรตเสวียนเฟยขอรับ”

อวี้หยางชิงถามไปว่า “ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสถึงข้าด้วยหรือ”

ขันทีเล็กยิ้ม “ฝ่าบาทไม่มีคำสั่งท่านนักพรตอวี้หยางโปรดรอที่นี่สักครู่” อวี้หยางทำได้แต่เพียงมองเสวียนเฟยเดินเข้าไปด้านใน

เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้ต้องการพบเขาก่อน เสวียนเฟยก็ตัดสินใจแน่วแน่ ฮ่องเต้ยินดีที่จะพบเขานั่นหมายความว่าพระองค์ให้โอกาสเขาได้อธิบาย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว การทะเลาะในครั้งนี้เขาจะไม่แพ้

“เสวียนเฟยถวายบังคมฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ประทับอยู่ตรงกลางและดูเหมือนกำลังเสวยยาอยู่ เสวียนเฟยสูดหายใจเบาๆ หัวใจของเขาจมดิ่งเล็กน้อย ยานั้นเหมือนจะเป็นยาสำหรับรักษาอาการปวดศีรษะ ฮ่องเต้ทรงมีอาการปวดศีรษะงั้นหรือ

เมื่อดื่มเสร็จเรียบร้อยแล้วฮ่องเต้จึงหันมาให้ความสนใจเขา “ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้โบกมือปฏิเสธผลไม้แช่อิ่มจากขันทีเล็ก พระองค์จิบเพียงน้ำเปล่าเพื่อไล่รสยาออกไปแล้วพูดขึ้นว่า “เหล่าผู้อาวุโสในเสวียนตูกวันได้แสดงความคิดเห็นแล้วและสนับสนุนให้เจ้าเป็นเจ้าสำนัก เจิ้นเองก็เห็นว่าเจ้ามีความสามารถมากกว่าอวี้หยาง ดูสุขุมหนักแน่นกว่า”

เสวียนเฟยไม่พูดอะไรกลับเขารู้ว่าฮ่องเต้ยังพูดไม่จบ แน่นอนว่าฮ่องเต้เหลือบมองเขาแล้วพูดต่อไปว่า “แต่เจ้ากลับทำตัวเช่นนั้นจึงไม่อาจประกาศราชโองการออกไปได้”

เสวียนเฟยได้ฟังสีหน้าเขายังดูปกติ

เขาไม่ใช่คนโง่ที่ผู้ใดพูดอะไรเขาก็เชื่อไปเสียหมด ฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะมีพระราชโองการก่อนหน้านี้จริงๆ นี่เป็นเพียงวิธีการพูดเพื่อสร้างภาพลวงตาว่าเขามีความสำคัญ

“ทำไม เจ้าจะไม่อธิบายอะไรเลยหรือ” ฮ่องเต้ถาม

เสวียนเฟยก้มหน้า “ฝ่าบาทให้โอกาสกระหม่อมอธิบาย ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมจะอธิบายพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หัวเราะ “เจิ้นดูเป็นฮ่องเต้ที่ไม่ให้ผู้อื่นอธิบายเลยหรือ เจ้าพูดมาเถอะ เหตุใดถึงทำเรื่องเช่นนั้นลงไป!”

“พ่ะย่ะค่ะ” เสวียนเฟยชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะถามออกไปว่า “ขออนุญาตทูลถามฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่อวี้หยางได้ทูลฝ่าบาทหรือไม่ว่าดาวมารคือผู้ใด”

ฮ่องเต้ไม่ตรัสว่าใช่หรือไม่ใช่แต่กลับเอ่ยว่า “หากใช่แล้วอย่างไร หากไม่ใช่แล้วอย่างไร”

เสวียนเฟยตอบกลับว่า “ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ดูเหมือนจะใช่ ก่อนหน้านี้กระหม่อมทราบเรื่องนี้จึงโกรธมากจึงไปหาศิษย์พี่อวี้หยางเพื่อขอคำอธิบายที่ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องที่พวกเจ้าทะเลาะกันเจิ้นได้ยินแล้ว” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจิ้นเรียกพบเจ้าก่อนเพราะอยากให้โอกาสเจ้า เหตุผลเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องพูดต่อหน้าข้าก็ได้ แต่ถ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าแสดงความคิดเห็นมาได้เลย!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสวียนเฟยก็ใจเต้นแรงขึ้น

ฮ่องเต้หมายถึงว่านี่เป็นบททดสอบที่แท้จริงสำหรับการเลือกว่าผู้ใดจะได้เป็นเจ้าสำนัก หากเขาตอบได้ดีเรื่องก่อนหน้านี้จะไม่มีผลกระทบใดๆ แต่หากตอบไม่ดี ตำแหน่งเจ้าสำนักคงยิ่งอยู่ไกลออกไป

เสวียนเฟยครุ่นคิดในใจแล้วตอบออกไปว่า “สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการถามคือตัวตนที่แท้จริงของดาวมารใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ตามความเห็นของกระหม่อมในตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ควรใส่ใจดาวมารพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ…”

เสวียนเฟยตอบ “หนึ่ง การสังเกตดวงดาวและพยากรณ์โชคชะตา ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงนั้นยังไม่สามารถระบุตัวตนที่แน่ชัดได้ ดูเหมือนว่าจะใช่แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช่ ดูเหมือนว่าไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยก็ไม่แน่ว่าอาจจะถูกเปิดเผยเมื่อเวลานั้นมาถึง ดาวมารในตอนนี้ยังไม่ปรากฏตัวหากเพราะสิ่งนี้ทำให้เกิดสงครามใหญ่ก็เหมือนกับคำทำนายของสตรีนามไต้ถังผู้ที่ถูกฆ่าทั้งๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง ผู้ที่ถูกปล่อยตัวต่างหากคือผู้เกี่ยวข้องที่แท้จริง”

เขาถอนหายใจและพูดต่อไปว่า “สอง ตราบใดที่แคว้นยังมีความเจริญรุ่งเรือง หากมีดาวมารปรากฏตัวขึ้นการกำจัดมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฝ่าบาท เมื่อถึงเวลานั้นค่อยลงมือถึงเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือพ่ะย่ะค่ะ”

เขาชะงักแล้วพูดเหตุผลสุดท้าย “สาม ในเมื่อมีคำว่ามารเข้ามาแปดเปื้อนแล้ว ควรให้พวกเราเสวียนตูกวันเป็นคนลงมือมากกว่า นี่เป็นขอบเขตหน้าที่ของพวกเราไม่ควรให้ฝ่าบาทต้องเหนื่อยพระวรกายพ่ะย่ะค่ะ”

สองข้อแรก ฮ่องเต้แค่ฟังไปเท่านั้นเหตุผลเหล่านี้พระองค์ฟังมาไม่รู้กี่รอบแล้ว แต่เหตุผลสุดท้ายทำให้พระองค์รู้สึกสนใจ

“เจ้าคิดว่าดาวมารอยู่ในเสวียนตูกวันงั้นหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ” เสวียนเฟยตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “หากอยู่ในราชสำนักส่วนมากเป็นดาวสังหาร แต่ดาวมารนี้ มาร เป็นลัทธินอกรีตไม่ควรปล่อยให้ฝ่าบาทเป็นผู้ลงมือ แต่เป็นสนามรบของพวกเราเสวียนเหมินพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้าช้าๆ แล้วถามอีกหนึ่งคำถาม “หากเจิ้นอยู่ที่นี่คนเดียวทำให้เจิ้นมีข้อสงสัยเจ้าคิดว่าเจิ้นควรทำอย่างไร”

เสวียนเฟยตอบโดยไม่ต้องคิด “ฝ่าบาทมีอำนาจสูงสุด เหตุใดต้องคิดหนักเรื่องขุนนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ ความมั่งคั่งและยศถาบรรดาศักดิ์ของพวกเขาล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของฝ่าบาท หากฝ่าบาทไม่พอพระทัยก็สามารถเรียกคืนได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หัวเราะ “วิธีที่เจ้ากล่าวมาช่างขัดต่อวิถีของเหล่าขุนนาง”

เสวียนเฟยตอบ “กระหม่อมมิใช่ขุนนาง พวกเราเสวียนตูกวันมีหน้าที่ปกป้องโชคชะตาของแผ่นดินต้าฉี เชื่อฟังผู้ที่อยู่บนบัลลังก์เท่านั้น ผู้อื่นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”

ได้ฟังคำตอบฮ่องเต้ก็หัวเราะเสียงดังพระองค์ครุ่นคิดแล้วถามอีกว่า “ถ้าคนที่เจิ้นพูดถึงไม่สามารถเปิดเผยได้เล่า…”

เสวียนเฟยยังคงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ในเมื่อไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดเผย แล้วเหตุใดฝ่าบาทต้องกังวลเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทให้ความสำคัญเขาถึงสามารถเปิดเผยได้ หากฝ่าบาทไม่ให้ความสำคัญเขาก็ไม่สามารถทำได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ตกใจเล็กน้อยพระองค์ทวนประโยคนี้อยู่สองรอบแล้วถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ “เจ้ารู้หรือว่าอวี้หยางหมายถึงผู้ใด”

“กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด กระหม่อมไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ศิษย์พี่อวี้หยางทำ”

ฮ่องเต้หัวเราะเสียงดัง “เป็นเด็กที่มีพลังเต็มเปี่ยมจริงๆ เมื่อก่อนเห็นเจ้าอยู่ข้างกายท่านราชครู ช่างเป็นคนสุขุมเสียจริงไม่คิดว่าจะมีช่วงเวลาที่ไม่สามารถนิ่งสงบได้”

เสวียนเฟยก้มหน้าสารภาพความผิด “กระหม่อมทำให้ฝ่าบาทผิดหวังแล้ว”

ฮ่องเต้ทรงไม่พิโรธพระองค์ทำเพียงโบกมือ “ช่างเถอะ เจ้ากลับไปได้แล้ว”

เสวียนเฟยตกใจ “ฝ่าบาท เรื่องนี้…”

“เจิ้นมีคำตอบในใจแล้ว” เสวียนเฟยจึงได้แต่ทูลลา

เขาเดินออกจากห้องโถงแล้วได้ยินอวี้หยางถามขันทีเล็กว่า “ฝ่าบาทต้องการพบข้าหรือไม่”

ขันทีเล็กกลับตอบว่า “ฝ่าบาทตรัสว่าวันนี้ท่านนักพรตอวี้หยางเหนื่อยมามากแล้วให้กลับไปพักผ่อนดีกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องกังวลไป”

อวี้หยางตกใจ คิดไม่ออกว่ามันหมายความว่าอย่างไรจึงถามขันทีเล็กว่า

“กงกง ฝ่าบาททรง…”

เสวียนเฟยไม่อยู่ฟังต่อเขาเดินออกจากเรือนหลักชั่วคราวนี้ทันที

เขานึกถึงคำตอบของตนตั้งแต่ต้นจนจบและคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรจึงกลับไปพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เขายังไม่คิดที่จะไปบอกหมิงเวยหากเข้าพบฝ่าบาทเสร็จแล้วไปหาคนเพื่อพูดคุยด้วยนั่นไม่ได้หมายความว่าตนร้อนตัวหรอกหรือ

ภายในห้องฮ่องเต้ถามว่านต้าเป่า “เจ้าว่าสิ่งที่เขาพูดมาถูกหรือไม่”

ว่านต้าเป่ายิ้ม “กระหม่อมจะเข้าใจเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ แต่ฝ่าบาททรงมีพระเมตตานั่นเป็นสิ่งที่กระหม่อมทราบพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้ารอยยิ้มของพระองค์เลือนหายไป “เจ้าเป็นแค่ชายแก่ที่ดีแต่พูดเท่านั้นแหละ!”

…………

หลังกลับมาจากหลังเขาหยางชูมาส่งนางที่นอกเรือนแล้วกลับไป

หมิงเวยเดินไปที่ประตู แต่ก็ต้องหยุดลง

“อาจารย์…” หูได้ยินเสียง ‘หึ’ ดังลอยเข้ามาแล้วร่างของหนิงซิวค่อยๆ โผล่ออกมาจากความมืด

หมิงเวยมองเขา “ท่านมีเรื่องจะคุยกับข้าหรือเจ้าคะ”

หนิงซิวสบตากลับไปมองนางอย่างจริงจังตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ

“อาจารย์” หมิงเวยสงสัยเขาเป็นเช่นนี้มีเรื่องอะไรร้ายแรงงั้นหรือ

ในที่สุดหนิงซิวก็พูดขึ้นว่า “ที่เจ้าถามเมื่อครู่หมายถึงดวงชะตาปาจื้อที่แท้จริงของเขาใช่หรือไม่”

หมิงเวยพยักหน้า

หนิงซิวตอบ “เขาไม่รู้ แต่ข้ารู้”

…………..