ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 182 บุญคุณของสาวงามยากจะรับไว้เป็นที่สุด

จอมศาสตราพลิกดารา

“คืนนี้ยามจื่อ[1] ข้าจะไปเยี่ยมเยือนถึงที่ จอมมารจันทราโลหิต หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”

 

ประกายอัสนีสีม่วงหมุนวน ส่งเสียงที่ทรงอำนาจและไม่อาจขัดขืนเฉกเช่นราชาผู้ปกครองออกมา

 

เสียงนี้ราวกับค้อนหนักๆ ทุบมายังหัวใจของผู้นำระดับสูงพรรคจันทราโลหิตทุกคนอย่างแรง ทำให้พวกเขาใจหวาดผวา

 

พวกเขาเพิ่งตั้งตัวได้ว่า ที่แท้หลี่มู่ลงวิชาเวทติดตามลึกลับบางอย่างเอาไว้ในตัวผู้คุมกฎเฉียนก่อนแล้ว เฉียนตัวไอ้เจ้าโง่นี่ คิดว่าตัวเองหนีออกมาได้ แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นหูตาให้เด็กหนุ่ม เปิดเผยที่ตั้งของฐานที่มั่นหลักพรรคจันทราโลหิตให้เขารู้

 

กลเม็ดระดับนี้ช่างน่ากลัวนัก

 

หลี่มู่เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบห้าปีจริงๆ หรือ?

 

นี่เหมือนกับจิ้งจอกแก่เขี้ยวลากดินชัดๆ

 

ในยามที่ทุกคนตกใจตะลึงงัน แสงอัสนีกลางอากาศสายนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่

 

ฟิ้ว!

 

แสงอัสนีเพียงกะพริบครั้งหนึ่ง ก็พุ่งกลับเข้าไปในกายของผู้คุมกฎเฉียนอีกครั้ง แล้วระเบิดออกมาทันใดท่ามกลางสีหน้าขนพองสยองเกล้าของเขา ทำให้ยอดฝีมือพรรคจันทราโลหิตขั้นปรมาจารย์สูงสุดผู้นี้กลายเป็นกองเนื้อเละๆ เลือดสาดกระจาย

 

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วโถงใหญ่ทันที

 

ที่โต๊ะ พื้น เก้าอี้ กำแพง เสาหิน…ทุกที่ล้วนมีรอยเลือด ราวกับลานสังหารอย่างไรอย่างนั้น

 

“ฮ่าๆๆๆ…”เสียงหัวเราะของหลี่มู่ดังสะท้อนไปในโถงใหญ่

 

จากนั้นแสงอัสนีทั้งหมดก็หายไป

 

ภายในโถงใหญ่ ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล

 

หลี่มู่น่ากลัวกว่าคำเล่าลือ น่ากลัวยิ่งกว่าในจินตนาการเสียอีก

 

กลวิธีเช่นนี้แปลกประหลาดไม่อาจจะคาดเดา

 

แม้แต่ใบหน้าที่อยู่ภายใต้ละอองหมอกเลือดของจอมมารจันทราโลหิตเองก็ยังเปลี่ยนไปไม่หยุด

 

ตัวประกอบที่แต่เดิมราวกับมดแมลงในสายตาของเขา กลับผงาดขึ้นมาราวดาวหางพุ่งผ่านฟ้า ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตึงมือขึ้นมาแล้ว คืนนี้ยามจื่อหลี่มู่จะมาเยี่ยมเยียน ท่าทางการแตะต้องฮวาเสี่ยงหรงจะกระตุ้นหลี่มู่ให้โมโหจริงๆ และคลุ้มคลั่งขึ้นมา คำถามคือจะรอให้หลี่มู่มาเยี่ยมเยือนอยู่ที่นี่ดีหรือไม่?

 

……

 

มุมปากของหลี่มู่ปรากฏรอยยิ้มบางๆ

 

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยผู้คุมกฎเฉียนไปง่ายๆ แบบนั้น กล้าบุกเข้ามาก่อเรื่องในห้องส่วนตัวของฮวาเสี่ยงหรง หากไม่ใช่เพราะจี้หยกที่ตนมอบให้ชิ้นนั้น เกรงว่านางคงได้รับบาดเจ็บหรือไม่ก็ถูกลักพาตัวไปแล้ว เขาไม่มีทางให้โอกาสคนแบบนี้เป็นครั้งที่สองแน่

 

แสงอัสนีที่แฝงอยู่ในร่างผู้คุมกฎเฉียนก็เหมือนกับ ‘กล้องวงจรปิด’ ติดเอาไว้บนร่างของเขา ผู้คุมกฎเฉียนคิดไปว่าร่องรอยของตนลึกลับ แต่ที่จริงแล้วตลอดทางที่เขาเดินไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในการจับตามองดูจากหลี่มู่ เหมือนกับถ่ายทอดสดก็ว่าได้

 

แล้วเขาก็หาฐานที่มั่นหลักของพรรคจันทราโลหิตเจอจริงๆ ด้วย

 

หลี่มู่ส่งกระแสเสียงหรือสังหารผู้คุมกฎเฉียน เป็นเรื่องแค่ชั่วความคิดเดียวเท่านั้น

 

นี่คือกลวิชาง่ายๆ บางอย่างที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้ มีชื่อว่า ‘วิชาอัสนีสืบทวน’ แน่นอนว่าหากเจอกับคู่ต่อสู้ที่พลังเหนือกว่าหรือพลังฝึกด้านวิชาเวทลึกซึ้ง พลังจิตวิญญาณแข็งแกร่งกว่าเขา เรื่องก็ไม่ง่ายเช่นนี้แล้ว

 

“คุณชายเจ้าคะ คุณหนูของข้าวันนี้ร่ายรำเป็นอย่างไรบ้าง?” ซินเอ๋อร์ทำหน้าประจบประแจง ยกถ้วยชาขึ้นมา

 

เด็กสาวจอมเสแสร้งผู้นี้หยอกล้อหลี่มู่จนเขาขบขัน

 

แต่ว่า ท่าทางที่ปกป้องฮวาเสี่ยงหรงอย่างมุ่งมั่นภักดี ทำให้เขาคิดถึงสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ชื่อนายพลที่เลี้ยงไว้บนโลกตัวนั้น เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงดาวดวงนี้เกือบครึ่งปีแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้านายพลอยู่บนโลกจะเป็นอย่างไรบ้าง คนในหมู่บ้านคงยังไม่จับมันแขวนแล่เนื้อลงหม้อไฟไปแล้วหรอกนะ?

 

ยี่สิบปีผ่านไป เมื่อกลับไปยังโลก ก็ไม่รู้ว่าเจ้านายพลจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

 

จู่ๆ หลี่มู่ก็อารมณ์เปราะบางขึ้นมาบ้าง

 

ฮวาเสี่ยงหรงเปลี่ยนเป็นชุดผ้าโปร่งบางสีขาว เท้าเปล่าเปลือย ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร ทั้งขับร้องทั้งร่ายรำ แสงแดดยามบ่ายส่องเข้ามาจากหน้าต่าง แสงสีทองต้องกระทบร่างของสาวงามผู้นี้ ร่างกายที่ย้อนแสงถูกโอบด้วยขอบทองบางละเอียดชั้นหนึ่ง ราวกับภูตแห่งแสงกำลังร่ายรำ งดงามซาบซ่าน ชวนให้คนตะลึงงัน

 

เห็นได้ชัดว่านางเกิดใจปฏิพัทธ์แล้ว จึงร่ายรำได้งดงามกว่าปกติหลายส่วน อีกทั้งยังมีความรู้สึกบางอย่างเพิ่มไปข้างใน

 

ท่วงทำนองแห่งเต๋าหมุนวน ทั่วห้องทั้งศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ชวนให้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

 

‘นี่ก็คือท่วงทำนองแห่งเต๋า กายเต๋าฟ้าประทานช่างพิสดารเสียจริง’

 

หลี่มู่ทอดถอนใจ ตอนอยู่บนโลกได้ฟังซินแสเฒ่าพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ก็คิดว่าฟังนิทาน ตอนนี้ทุกอย่างที่ซินแสเฒ่าเล่ามา แต่ละเรื่องๆ ได้รับการพิสูจน์แล้ว สำหรับกายเต๋าฟ้าประทาน ตามคำพูดของซินแสเฒ่าก็คือคุณสมบัติกายที่เกิดมาแล้วใกล้เคียงกับเต๋า แน่นอน ชนิดของกายเต๋าฟ้าประทานแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นบางคนที่เกิดมาใกล้เคียงกับสายฟ้า บนโลกเคยมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย มีคนสัมผัสกับไฟฟ้าแรงสูงแต่ไม่ตาย ซ้ำร่างกายยังสามารถชาร์ตแบตได้อีกด้วย นี่ก็คือกายเต๋าฟ้าประทานอัสนี บางคนตกไปในทะเลก็ล่องลอยตามคลื่น ไม่จมน้ำตาย นี่คือกายเต๋าฟ้าประทานวารี แล้วก็ยังมีบางคนกินเหล็ก กินก้อนเหล็ก กินช้อนเป็นอาหาร นี่คือกายเต๋าฟ้าประทานโลหะ ไหนจะยังมีบางคน…

 

เพียงแต่บนดาวโลกไม่มีพลังวิญญาณ ดังนั้นคนที่มีโอกาสหนึ่งส่วนในบรรดาคนมากมายจึงไม่อาจก้าวไปอีกขั้น จนฝึกฝนวรยุทธ์ได้

 

หลี่มู่สังเกตฮวาเสี่ยงหรง ไม่ว่าจะอยู่ใต้แสงจันทร์หรือแสงอาทิตย์ ท่วงท่าร่ายรำของนางล้วนสามารถแผ่กระจายท่วงทำนองแห่งเต๋าออกมาได้ ทำให้แสงเกิดการเปลี่ยนแปลง ราวกับนางเซียนอย่างไรอย่างนั้น นี่คือกายเต๋าฟ้าประทานประเภทใดกัน

 

กายเต๋าฟ้าประทานสุริยันจันทรา?

 

ไม่ถูกสิ

 

หลี่มู่คิดให้ละเอียด น่าจะเป็นกายเต๋าฟ้าประทานแห่งแสงประเภทหนึ่ง

 

เป็นกายเต๋าฟ้าประทานที่หายากยิ่ง

 

กายเต๋าฟ้าประทานประเภทนี้ หากฝึกฝนวิชายุทธ์หรือไม่ก็วิชาเวทที่เข้าคู่กับแสง จะต้องพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วแน่นอน

 

นี่ก็คืออัจฉริยะ

 

อัจฉริยะฟ้าประทาน

 

หลี่มู่เก็บจิตใจ เริ่มฝึกฝนวิชาภายใต้ระลอกคลื่นท่วงทำนองแห่งเต๋าจากการร่ายรำของฮวาเสี่ยงหรง

 

วันนี้สู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์อาศัยแรงกดดันปราณหมัดของหลี่มู่ขัดเกลาตัวเอง ฝึกจนได้พลังฟ้าประทานออกมา ทำให้คนที่ชมการต่อสู้ทั้งหมดตื่นตะลึง แต่ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าหลี่มู่อาศัยพลังฟ้าประทานของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์มาฝึกฝนตัวเองหรืออย่างไร?

 

ผลที่ได้มาของเขามากกว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์นัก

 

หลังโคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ควบคู่กับวิธีการหายใจ หลี่มู่สัมผัสได้ว่ากระแสธารร้อนอีกชนิดหนึ่งเริ่มเอ่อล้นในกาย เหมือนกับเหตุการณ์เบิก ‘เนตรสวรรค์’ เมื่อครั้งที่แล้ว อีกทั้งไม่อาจควบคุมกระแสธารร้อนกลุ่มนี้ได้เช่นเดียวกัน

 

เขาก็ไม่รีบร้อน สัมผัสรับรู้อย่างละเอียดไป

 

หลี่มู่ค่อยๆ พบว่า เส้นทางการไหลเวียน วิถีการโคจร และรูปแบบของกระแสธารร้อนกลุ่มนี้เหมือนกับเส้นทางการโคจรกำลังภายในของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่ทะลวงขั้นฟ้าประทานหลังจากกิน ‘โอสถหมื่นโลหิต’ ลงไปแล้วมาก แต่หากสัมผัสสังเกตให้ละเอียด กลับซับซ้อนกว่าเส้นทางการไหลเวียนกำลังภายในข้างในกายธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เล็กน้อย เส้นทางและวิถีการหมุนเวียนจะมีมากกว่า

 

หลี่มู่หนึ่งจิตใจใช้ทำสองอย่าง โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ไปพลาง สังเกตและสัมผัสรับรู้การเปลี่ยนแปลงในกายของตนไปพลาง

 

ในใจของเขาค่อนข้างวาดหวังว่าจะสามารถอาศัยโอกาสนี้ทะลวงขั้นอีกครั้ง และผลักดัน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นหนึ่งระดับต้นไปถึงระดับสูงได้

 

เวลาไหลผ่านไป

 

หลี่มู่ตกอยู่ในสภาวะที่แปลกพิลึกเป็นอย่างยิ่ง

 

เขาหลับตาลง สัมผัสกระแสธารร้อนที่แผ่ไปทั่วแขนขาองคาพยพ ในกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ พลังจิตวิญญาณจะต้องยกระดับขึ้นแน่นอน แต่ว่ากระแสธารร้อนสลายไปทีละน้อย เหมือนกับครั้งที่แล้วที่ใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้วก็ค่อยๆ หายไป หากสัมผัสให้ละเอียดแล้วละก็ เหมือนว่าจำนวนจะสู้ครั้งที่แล้วไม่ได้ด้วย

 

หลี่มู่ไม่ท้อถอย

 

เพราะทะลวงขั้นครั้งที่แล้วเป็นการสะสมมาหลายเดือน กระทั่ง ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ที่ฝึกฝนบนโลกสิบกว่าปีก็อาจจะรวมอยู่ในนี้ด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น หลักๆ แล้วมาจากการฝึกฝนและรับรู้ผ่านการสู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ ดังนั้นกระแสอุ่นร้อนกลุ่มนี้มีพลังเช่นนี้ได้ก็นับว่าวิเศษแล้ว

 

‘ซินแสเฒ่าเคยบอกเอาไว้ การฝึกฝนให้ก้าวหน้าหลักๆ แล้วมีอยู่สองวิธี วิธีที่หนึ่งคือวิธีปกติ ขยันมานะฝึกฝน สะสมไปเรื่อยๆ จนปริมาณก่อเกิดเป็นคุณภาพ วิธีที่สองคือโอกาสเหนือธรรมดาต่างๆ และของขวัญพิเศษจากโชคชะตาฟ้าดิน การทะลวงขั้นของเราครั้งที่แล้วเป็นแบบวิธีแรก ส่วนการเกิดขึ้นของกระแสธารร้อนครั้งนี้เป็นแบบวิธีที่สอง’

 

หลี่มู่กระจ่างแจ้งแล้ว

 

สุดท้าย กระแสธารร้อนกลุ่มนั้นก็หายไปในกายทั้งหมด

 

หลี่มู่รู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณของตนยกระดับขึ้นอีกครั้งอย่างแท้จริง  หูตายิ่งกระจ่าง ความว่องไวของประสาทสัมผัสก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นเล็กๆ

 

เมื่อตั้งสมาธิฟังให้ดีในระยะใกล้ก็ได้ยินเสียงหายใจ เสียงหัวใจเต้น เสียงการไหลเวียนของเลือดในเส้นเส้นเลือดและชีพจรของฮวาเสี่ยงหรง ในระยะไกลก็ได้ยินเสียงซุบซิบของร้านแผงลอยที่ซุ้มประตูหน้าถนนกลิ่นกำจาย ขอแค่ตั้งใจฟังเสียงอะไรสักอย่าง ก็จะสามารถเมินเฉยและปิดกั้นเสียงรบกวนอื่นๆ ได้ นี่เป็นประสบการณ์และพลังที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งทีเดียว

 

แน่นอน นอกจากพลังโสตสัมผัส ความรู้สึกอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าพิสดาร

 

เขาโคจรพลังจิตวิญญาณไปไว้ที่หว่างคิ้ว

 

เนตรสวรรค์เปิดออกเล็กน้อย ลืมขึ้นได้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว

 

ยามมองดูทุกสิ่งรอบๆ เขาสามารถควบคุมได้ดั่งใจ หากไม่ต้องการก็จะไม่มีทางมองทะลุร่างกายของฮวาเสี่ยงหรงและหญิงคนอื่นๆ เขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศเล็กน้อย มองเห็นแมลงที่บินอยู่นอกหน้าต่างเหมือนกับจุดพลังงานเล็กๆ

 

สรรพชีวิตทุกสิ่งล้วนแฝงไว้ด้วยพลังงาน

 

ขนาดของพลังงานตัดสินความแข็งแกร่งของชีวิต

 

พลังงานในร่างของฮวาเสี่ยงหรงและคนอื่นๆ แข็งแกร่งกว่าแมลงบินได้เหล่านั้นมหาศาล ราวกับดวงอาทิตย์แรงกล้ากับหิ่งห้อย แต่หากเทียบกันแล้ว พลังงานของสตรีเหล่านี้ก็ห่างชั้นกับหลี่มู่ราวฟ้ากับเหว

 

‘วันหลัง แค่กวาดเนตรสวรรค์ก็สามารถวิเคราะห์ขั้นพลังฝึกของพวกเขาได้จากขนาดของพลังงานที่แฝงอยู่ในกายคู่ต่อสู้ นี่เป็นเคล็ดลับที่ไม่เลวเลย แต่พลังของเนตรสวรรค์น่าจะไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น’

 

หลี่มู่นึกย้อนถึงเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับเนตรสวรรค์ ก็รู้คร่าวๆ ว่าการทะลวงขั้นครั้งนี้น่าจะฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นที่หนึ่งอย่างชำนาญแล้ว ยังห่างจากขั้นที่หนึ่งระดับสูงอีกระยะหนึ่ง

 

เขาพ่นลมหายใจยาว ก่อนจะลืมตาขึ้น

 

สิ่งที่ฉายเข้ามาในดวงตาคือแววตาที่เป็นกังวลของฮวาเสี่ยงหรงและซินเอ๋อร์

 

“คุณชาย ท่านคงไม่ได้ดูคุณหนูของข้าร่ายรำจนหลับหรอกกระมัง?” ซินเอ๋อร์บุ้ยปาก คุณหนูของข้างดงามหยาดฟ้า คุณชายจะไม่รู้จักของดีเกินไปหน่อยแล้วกระมัง

 

“ซินเอ๋อร์ อย่าพูดจาเหลวไหล วันนี้คุณชายหลี่สู้ศึกใหญ่ จะต้องเหนื่อยแล้วแน่นอน”

 

“คุณหนู ท่านคิดแทนคนในดวงใจเร็วขนาดนี้เชียวหรือ โธ่เอ๊ย…” สาวใช้ตัวน้อยจงใจหยอกล้อ

 

ใบหน้าเรียวที่ประณีตราวหยกขาวของฮวาเสี่ยงหรงแดงซ่านขึ้นมาทันที

 

หลี่มู่หัวเราะแล้วเอ่ย “ดูการร่ายรำเซียนของแม่นางฮวาแล้ว แรงบันดาลใจของข้าเพิ่มมากขึ้น พลังฝึกก็คืบหน้าไปอีกไม่น้อย ขอบคุณมาก”

 

ฮวาเสี่ยงหรงได้ยินดังนั้นก็ดีใจ เอ่ยขึ้นว่า “หากมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของคุณชาย ข้ายินดีร่ายรำเพื่อคุณชายทุกวัน”

 

นี่ถือเป็นการเปิดใจ

 

นับว่าเป็นการบอกรักอย่างหนึ่ง

 

หลี่มู่ได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นที่สุด

 

ในฐานะที่เป็นผู้ชายชอบอวดเก่ง หลงตัวเอง มีสาวงามหยาดเยิ้มไร้ใดเทียมบอกรักจะไม่ดีใจได้อย่างไร?

 

แต่เขาก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เล็กน้อย

 

เพราะบุญคุณของสาวงามยากจะรับไว้เป็นที่สุด

 

……………………………………………………

 

 

 

[1] ยามจื่อ คือช่วงเวลา  23.00-00.59 น.