“ท่านอคติกับจอมมารมาก ”ชายชุดแดงกล่าวอย่างสบายอารมณ์ และลูบสัมผัสผมของเขาอย่างมีเสน่ห์

กู้ชูหน่วนยิ้มเยือกเย็น

“อคติไม่มากได้หรือ?หากเขาไม่โรคจิตวิปลาส จะเลี้ยงดูผู้นำกองธงออกมาอย่างนั้นได้อย่างไร ”ดูซิว่าทำอะไรกับเยี่ยเฟิงบ้าง

“ท่านพี่หญิง ท่านเป็นคนแรกที่กล้าด่าจอมมารอย่างเปิดเผย แต่….ข้าชื่นชม”

กู้ชูหน่วนเกาะไหล่เขาไว้ ยิ้มแล้วกล่าวว่า“น้องชายรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา พี่หญิงยิ่งชอบเจ้า ไปกัน พี่จะพาเจ้าไปสัมผัสประสบการณ์”

ชายชุดแดงมองมือน้อยๆของนางที่เกาะเกี่ยวอยู่บนไหล่เขา รอยยิ้มเบ่งบานสะพรั่งในดวงตาเฉียบแหลมราวกับหงส์ จากนั้นนางเลยพาเขาไปที่หุบเขากลืนวิญญาณ

รอยยิ้มจางๆของเขา แต่ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับชัดเจน กล่าวว่า“ท่านพี่หญิง ท่านจำไว้ให้ดีนะ ท่านกอดข้าสองครั้ง จะต้องรับผิดชอบข้า ไม่อย่างนั้น….ข้าโกรธ”

“อ๋อ…..อย่างนี้โกรธหรือไม่?”

กู้ชูหน่วนยื่นมืออกไปหยิกบีบคลึงที่แก้มของเขา

ใบหน้าของเขาทั้งนุ่มทั้งลื่นละมุน ที่สำคัญยังสบายตาด้วย ลูบสัมผัสแล้วสบายมาก กู้ชูหน่วนเลยอดไม่ได้ที่จะลูบหยิกบีบคลึงนานหน่อย

ชายชุดแดงปล่อยนางบีบคลึง และดวงตาดั่งหงส์ที่ยาวและแคบคู่หนึ่งก็สะท้อนดวงตาที่เปล่งประกายของกู้ชูหน่วน

“นอกจากท่าน ไม่มีผู้ใดกล้าคลึงบีบใบหน้าของข้า”พอเขายิ้ม ป่าไผ่ทั้งหมดต่างหมดสีสันไปเลย

กู้ชูหน่วนมองพิจารณาเขาซ้ายขวาขึ้นลงอย่างละเอียด

คนของเผ่าปีศาจ ไม่บีบคลึงเขาหรือ?

หรือว่าเขาหล่อเหลาเกินไป คนเหล่านั้นเลยตัดใจทำไม่ลง?

หรือว่าเขาตามผู้นำกองธงที่ดี?

เป็นผู้คอยปรนนิบัติเหมือนกัน เมื่อเทียบบุคลิกของเขากับเยี่ยเฟิงแล้ว แตกต่างกันอย่างมาก

ร่างกายของเยี่ยเฟิงแผ่ซ่านไปด้วยความเศร้าโศก แม้แต่การหายใจของเขาก็ยังเศร้า เขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง โดดเดี่ยวและสิ้นหวัง

และเขา….. ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความงดงามหล่อเหลา แม้ว่าเขาจะเฉื่อยชาไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับ แต่ยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนระหว่างคิ้วของเขามีความต่ำต้อยด้อยค่าที่ไหนกัน?

หรือว่า…..

เขาไม่ใช่ผู้คอยปรนนิบัติ?

“น้องชายเจ้าชื่ออะไรหรือ?”ไม่ว่าจะเป็นผู้คอยปรนนิบัติหรือไม่ กู้ชูหน่วนไม่อยากถามมากแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วของเขา หากเป็นผู้คอยปรนนิบัติจริง มันจะกลายเป็นการเปิดบาดแผลความเจ็บปวดของเขา

“ซือม่อเฟย”

“แซ่ซือหรือ?แซ่นี้เจอน้อย ต่อไปข้าเรียกเจ้าว่าอาม่อนะ”

“มีเพียงครอบครัวของข้า ถึงจะสามารถเรียกข้าว่าอาม่อ”เขากล่าวเตือนสติอีกครั้ง

“อาม่อ”กู้ชูหน่วนเรียกอย่างอ่อนโยน จากนั้นดึงมือของเขาไปที่หุบเขากลืนวิญญาณ

ดวงตาสีเข้มของซือม่อเฟยกวาดไปทั่วมือเป็นครั้งคราว และมุมริมฝีปากสีชมพูราวกลีบดอกกุหลาบของเขาก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าเขายอมรับเพลิดเพลินกับการที่กู้ชูหน่วนจูงมือใหญ่ของเขา

หุบเขากลืนวิญญาณ

ชายหญิงคู่หนึ่งเดินจูงมือกัน ทุกเส้นทางที่ผ่านไม่ต้องพูดถึงผู้คนเลย แม้แต่สัตว์ตัวเดียวก็ไม่เห็นมี

กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ กล่าวว่า“ไม่ใช่บอกว่าหุบเขากลืนวิญญาณเต็มไปด้วยผู้คนที่ดุร้ายหรือ? มันเกือบจะอยู่ในส่วนลึกของหุบเขากลืนวิญญาณแล้วทำไมไม่มีเงาคนเลย?”

“บางทีพวกเขาอาจมีความขัดแย้งภายใน ไม่มีเวลาสนใจพวกเรากัน”

นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น กู้ชูหน่วนเลยไม่ตัดเรื่องความขัดแย้งภายในของเผ่าปีศาจออก

ทั้งสองเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ง่ายที่จะได้เจอคน แต่ทว่าคิดไม่ถึงเลย พอคนเหล่านั้นเจอพวกเขา คล้ายกับหนูเจอแมว แต่ละคนต่างพากันหลบหลีก

“นี่เกิดอะไรขึ้น?”

“เดินตรงไปอย่างต่อเนื่อง จะถึงพระราชนิเวศน์ของเผ่าปีศาจแล้ว”

“ได้…..”

กู้ชูหน่วนเดินไปอย่างต่อเนื่องด้วยความสงสัยงงงวย

เมื่อเดินมาได้สักครู่หนึ่ง ก็มาถึงเมืองหนึ่งซึ่งมีเรือนใหญ่โตมหึมาอยู่เต็มสองข้างทาง

ประตูเรือนที่นี่ปิดสนิท และทั้งเมืองก็เหมือนเดิม ไม่มีแม้แต่เงาคนเลย