ฉังเหมานำกระดาษเป็นปึกที่เหล่าเฝิงให้กลับไปในจวนแม่ทัพแล้วเอาให้เว่ยจางดู
เว่ยจางดูจบก็อดยิ้มไม่ได้ “ฉังเหมา รีบไปจ้างช่างไม้มา ข้าจำได้ว่าในจวนมีท่อนไม้ชั้นดีที่เก็บไว้ในคลังเก็บของอยู่จำนวนหนึ่ง สั่งให้คนขนออกมาให้หมดแล้วเลือกใช้อันดีๆ แกะประตูหน้าต่างตรงโถงหลัก โถงข้าง เรือนนอน และเรือนข้างออกมาให้หมด แล้วทำตามแบบร่างตามภาพ อ้อ แล้วยังมีสวนบุษบาด้านหลัง หน้าต่างทุกบานของศาลาชมวิวก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ทั้งหมด”
“อั๊ยโย!” ฉังเหมาได้ยินจึงรู้สึกกระวนกระวายทันที “นี่คงต้องเสียเวลาซ่อมบำรุงนาน หากมาเปลี่ยนตอนนี้เกรงว่าคงไม่ทันหรือเปล่าขอรับ!”
เว่ยจางพลันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “จะไม่ทันได้อย่างไร หาช่างไม้มาเยอะๆ แค่เสียค่าจ้างเยอะหน่อยก็พอ! ภายในหนึ่งเดือนต้องทำให้เสร็จ!”
“ขอรับ!” ฉังเหมารับคำด้วยความขมขื่น ภายในใจเริ่มมีการวางแผนว่า ควรหาช่างไม้มากี่คน แล้วต้องดูว่าฝีมือของใครดีที่สุด ควรมอบหมายงานอย่างไร ส่วนเรื่องทาสีอย่างไรก็ต้องทาหลายรอบ ช่วงฤดูฝนนี้ท้องฟ้ามืดครื้มคงจะตากให้แห้งลำบาก แล้วควรทำอย่างไรดี ต้องทำงานซ่อมแซมทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนเลยหรือเปล่า
เดือนหกนี้เมืองหลวงอวิ๋นถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเกิดสถานการณ์วุ่นวายขึ้นมากมาย
เริ่มจากเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดก็คือทำนบแม่น้ำจินทางเขตตอนใต้พังทลายทำให้เกิดอุทกภัย ที่นาถูกทำลายล้าง ทั้งยังมีโรคระบาด ชาวบ้านที่ประสบภัยนั้นนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งอาหารสงเคราะห์ผู้ประสบภัยยังขาดแคลน ฮ่องเต้ที่ไปพักร้อนในสถานตากอากาศเกรี้ยวโกรธทุกเวลาจนขว้างถ้วยชาแตกไปไม่น้อยกว่าสามใบแล้ว
ส่วนเรื่องที่รองลงมา ก็คือองค์หญิงต้าจั่งทรงประชวรจนสิ้นพระชนม์ บนถนนเส้นที่อยู่นอกประตูจวนติ้งโหวเต็มไปด้วยธวัชสีขาว ตระกูลเชื้อพระวงศ์ ตระกูลที่เกี่ยวดองกับจวนติ้งโหว และเหล่าขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวงต่างก็ไว้อาลัยให้กับงานศพจวนติ้งโหว ผู้คนในรถม้าและเกี้ยวที่สัญจรไปมาบนถนนใหญ่ล้วนสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว อีกทั้งยังมีตระกูลที่เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันที่อยู่แดนไกลต่างก็เดินทางเข้าเมืองหลวงมาร่วมไว้อาลัย บรรยากาศทั้งเมืองหลวงอวิ๋นเศร้ารันทดยิ่งนัก
ทั้งยังมีอีกหนึ่งตระกูลซึ่งเป็นครอบครัวบุตรชายคนรองขององค์หญิงต้าจั่งซูกวงหลิงที่อาศัยอยู่ชายแดนทางเขตตอนใต้ หลังจากที่ได้รับจดหมายก็รีบเดินทางขึ้นเหนือ กลับบังเอิญเจอกับฤดูฝนทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำนบที่ปล่อยให้กระแสน้ำไหลของแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกัน จึงทำให้การเดินทางทางน้ำติดขัด
พ่อบ้านตระกูลซูก็ได้พากองกำลังทหารไปต้อนรับตรงประตูเมืองหลวง และยังได้รับผ้าโปร่งสีขาวปกคลุมรถม้า ทั้งยังแขวนบุษบาสีขาวบนรถม้า ส่วนสัตว์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถม้าก็ถูกมัดด้วยบุษบาสีขาวตรงหน้าผาก
ซูกวงหลิงพาภรรยาและบุตรธิดา รวมถึงข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งติดตามเข้ามาในเมืองหลวง พอเลี้ยวเข้าไปตรงหน้าประตูจวนองค์หญิงต้าจั่งก็รีบกระโดดลงจากหลังม้าพลางร้องไห้เสียงดัง ศีรษะสวมหมวกไว้อาลัย ร่างก็สวมใส่ชุดไว้ทุกข์เช่นกัน แม้กระทั่งรองเท้ายังเป็นสีขาว ที่คาดเอวยังเป็นทองขาว เขาพาบุตรชายอายุสิบหกนามว่าซูอวี้คังที่แต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์และกำลังร้องห่มร้องไห้เข้าไปในจวนองค์หญิงต้าจั่ง
ภรรยาของเขาและบุตรีคนโตซูอวี้หรงนั่งอยู่ในรถม้า ทุกคนต่างร้องไห้อย่างโศกเศร้าไม่หยุด ส่วนข้ารับใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังรถม้าต่างก็สวมใส่หมวก เสื้อผ้าและรองเท้าไว้ทุกข์ทั้งหมด
บังเอิญนี่เป็นช่วงฤดูฝนพอดี ฉังเหมาที่กางร่มเดินผ่านถนนเส้นนี้ก็เห็นขบวนรถม้าและข้ารับใช้ที่ติดตามมาอยู่ด้านหลังจึงอดถอนหายใจไม่ได้
แต่ว่านี่เป็นงานศพของจวนติ้งโหว ส่วนจวนของเขาก็ต้องเตรียมจัดพิธีมงคล วันนี้เขากำลังรีบไปที่โรงหลอมกระจกเพื่อดูกระจกที่ช่างประดิษฐ์ขึ้นแล้วเอามาเทียบขนาดดู เกรงว่าประตูและหน้าต่างที่ช่างไม้สิบกว่าคนที่อยู่ในจวนทำขึ้นจะไม่ใช่ขนาดเดียวกันกับกระจกที่จะเอาไปติด ถึงเวลาเขายุ่งกับงานมาครึ่งค่อนเดือนก็คงจะกลายเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์
เสี่ยวซือคนหนึ่งที่อยู่ด้านนอกถอนหายใจพลางส่ายหัวแล้วพยายามตีสนิทกับพ่อบ้านเอกฉังเหมา “พี่เหมานี่เป็นครอบครัวบุตรคนรองของจวนติ้งโหวใช่หรือไม่ ดูนายท่านรองตระกูลซูร้องไห้สิ น่าสงสารมากจริงๆ”
ฉังเหมาตบท้ายทอยของเสี่ยวซือหนึ่งทีแล้วสบถหยาบ “ต่อให้แม่ของใครตายก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า! แม่ของคนเขาตายไปครึ่งเดือนแล้วเขากลับไม่ได้มากราบไหว้ตรงหน้าโลงศพเลยสักครั้ง เจ้าว่าเขาจะไม่ร้องไห้ได้อย่างไรล่ะ”
“ที่พูดก็ถูก! เฮ้อ!” เสี่ยวซือถอนหายใจแรงๆ สีหน้าเคล้าด้วยความโศกเศร้า
พ่อบ้านเอกฉังเหมาเห็นจึงรู้สึกไม่พอใจอีกครั้งแล้วยกมือตบท้ายทอยของเสี่ยวซืออีกรอบ “แม่งเอ๊ย! จวนของพวกเรากำลังจะมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น เจ้าจะทำหน้าเศร้าหมองห่าอะไรกัน หากเจ้ายังทำเช่นนี้อีกก็ไสหัวออกไปทำงานที่บ้านสวนเถอะ!”
“ขอรับ ขอรับ!” เสี่ยวซือจึงเปลี่ยนเป็นหน้ายิ้มทันที “ข้าน้อยผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว! ตอนนี้จวนของพวกเรากำลังจะจัดงานมงคล ข้าน้อยต้องหัวเราะอย่างร่าเริงในทุกๆ วันถึงจะถูกสิ! ฮ่าๆๆ…”
“หัวเราะห่าอะไร! รีบสิ จะกลับจวนแล้ว!” พ่อบ้านฉังเหมาจึงตบหัวเขาอีกครั้งแล้วสาวเท้ากลับจวนแม่ทัพอย่างว่องไว
ช่วงนี้เหยาเยี่ยนอวี่กลับใช้ชีวิตอย่างสบายๆ
หลังจากที่ไปร่วมแสดงความเสียใจกับจวนติ้งโหวนางก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก อากาศในเดือนหกนี้มักมีฝนตกตลอด เหยาเหยียนอี้ไม่อยู่จวน หนิงฮูหยินน้อยก็ไปดูแลเหยาเฟิ่งเกอ นางจึงใหญ่สุดในจวนเหยา ทุกวันนี้อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น
ดังนั้นคุณหนูเหยาจึงสงบจิตใจลงแล้วไปยุ่งกับการกลั่นยาสมุนไพรของตนเอง นางกำลังวิเคราะห์แยกแยะงานวิจัยการกลั่นยาสมุนไพร กำลังขบคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะประดิษฐ์อุปกรณ์ตรวจกรุ๊ปเลือดที่ใช้งานได้ดี ดังนั้นตอนที่ว่างไม่มีการใดทำก็มักจะวาดรูปร่างของอุปกรณ์ที่ทำจากกระจกไปให้โรงหลอมกระจกประดิษฐ์
หลังจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เถียนหลัวกลับมาก็บอกว่านายท่านรองแห่งจวนติ้งโหวที่กลับมาจากเขตตอนใต้พอเข้าเมืองหลวงก็เอาแต่ร้องไห้ ยังลือกันว่าเขาคุกเข่าร้องไห้ตรงหน้าประตูจวนองค์หญิงต้าจั่งจนลุกไม่ขึ้น ต้องให้คนอื่นมาหามเข้าไปด้านใน
เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ ถอนหายใจ ไม่ว่าจะอย่างไรบิดามารดาของซูอวี้เหิงมาถึงเมืองหลวง นางก็ถือว่ามีคนดูแลแล้ว
วันที่สอง หันหมิงชั่นเรียกคนส่งจดหมายมาอีกครั้ง บอกว่าอากาศเย็นสบายหลังฝนเช่นนี้เหมาะกับการออกไปเที่ยวเล่นด้านนอกจริงๆ จึงถามนางว่าจะไปขี่ม้าที่สนามม้าหรือไม่
เหยาเยี่ยนอวี่ต้องตอบตกลงอย่างดีใจอยู่แล้ว หลายวันมานี้เอาแต่อุดอู้อยู่ในจวนก็รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก
แค่ว่าคิดถึงเรื่องที่ตนไม่มีม้าที่คู่ควรกับตนเองจึงเริ่มรู้สึกหมองเศร้า นางคงไม่อาจยืมเจ้าเสวี่ยซือจื่อของหันซังเย่ว์ตลอดหรือเปล่า ตอนนั้นนางไม่รู้ หลังๆ มาก็ได้ยินสาวใช้คนหนึ่งของหันหมิงชั่นพูดขึ้น แม้กระทั่งหันหมิงชั่นยังไม่เคยขี่เจ้าเสวี่ยซือจื่อ เห็นได้ว่าวันนั้นคุณชายรองหันต้องอดกลั้นความเจ็บปวดที่จะต้องตัดสิ่งที่ชอบไป
ทว่าความจริงก็ได้พิสูจน์ ความกังวลของคุณหนูเหยาเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น เหตุเพราะนางแต่งงานกับว่าที่สามีที่เป็นคนเอาใจใส่ ได้ยินว่าคุณหนูเหยาจะไปขี่ม้าที่สนามม้าจึงส่งเจ้าเฮยหลางของตนเองไปที่สนามม้าแต่เนิ่นๆ แล้ว
ตอนเหยาเยี่ยนอวี่และหันหมิงชั่นเข้าไปในสนามม้า ฉังเหมาก็เดินเข้ามาต้อนรับ พ่อบ้านเอกคนนี้คุกเข่าน้อมทำความเคารพ ใบหน้าอวบอ้วนและดำคล้ำกำลังยิ้มแฉ่งเหมือนบุษบาหนึ่งดอก “น้อมทำความเคารพคุณหนูรองขอรับ”
หันซังเย่ว์ที่มาเป็นเพื่อนน้องสาวที่อยู่ข้างๆ จึงหัวเราะพลางพูด “เจ้าเด็กซุกซนคนนี้ ปกติก็ไม่เห็นเจ้าเอาใจใส่เช่นนี้เลยนี่”
หันหมิงชั่นพูดขึ้นยิ้มๆ “ลุกขึ้นเถอะ ท่านแม่ทัพของเจ้ามาหรือไม่”
ฉังเหมาพลันค้อมตัวลงแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพได้รับรับสั่งของฝ่าบาทให้ไปสถานตากอากาศ ดังนั้นจึงให้บ่าวส่งเจ้าเฮยหลางมา แม่ทัพบอกว่าเจ้าเฮยหลางคุ้นเคยกับคุณหนูแล้ว คุณหนูขี่อย่างวางใจเถอะขอรับ”
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเจ้าเฮยหลางก็รู้สึกสนิทสนมกับมันมาก ด้วยเหตุนี้จึงเข้าไปดึงเชือกแล้วตบแผงคอของเฮยหลางพร้อมพูดขึ้นยิ้มๆ “เจอกันอีกแล้ว เจ้าต้องเชื่อฟังข้านะ! ห้ามทำข้าตกเด็ดขาด”