ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 33 คารวะอาจารย์ (ตอนต้น)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ระหว่างสำนักฝึกหลวงกับสวนร้อยหญ้า มีเพียงกำแพงเก่าๆ กั้นไว้ ด้านบนกำแพงเต็มไปด้วยไม้เลื้อย ส่วนมุมด้านล่างกำแพงก็เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ

ผู้ช่วยจินและผู้ดูแลหลี่ปีนขึ้นไปที่สันกำแพง แอบฟังการเคลื่อนไหวในหอตำราที่อยู่ไกลออกไป ทั้งสองเป็นผู้มีฝีมือขั้นสูงส่งลึกล้ำ องค์หญิงน้อยก็มิได้มีเจตนาปิดบังแต่อย่างใด ดังนั้นจึงมองเห็นชัดเจนว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่องค์หญิงน้อยได้กระทำ พลันร่วงหล่นลงจากสันกำแพง แรงไม่ใช่น้อย

เสียงของหนักร่วงหล่นลงหลังกำแพงที่ไกลออกไปทางด้านนั้น ไม่ได้กระทบต่อหอตำราแต่อย่างใด ในสิ่งปลูกสร้างที่เงียบสงัดราวกับว่ามีรูปภาพที่ไม่เคลื่อนไหวตั้งอยู่บนพื้นสีดำมันวาว ในภาพนั้น ลั่วลั่วกำลังกอดขาเฉินฉางเซิงแนบแน่น เฉินฉางเซิงเหมือนกับรูปปั้นไม่กล้าแม้แต่จะขยับ

“เจ้าปล่อยมือ เจ้าปล่อยมือก่อน”

เฉินฉางเซิงตึงเครียดอย่างยิ่ง น้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย ถึงแม้หญิงสาวผู้นี้มองแล้วอายุจะเพียงแค่สิบกว่าปี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง มือน้อยๆ ทั้งสองกำลังกอดขาแนบแน่นจึงเป็นเรื่องที่กระดากอายอย่างยิ่ง เขาจะกล้าขยับได้อย่างไร จึงทำได้เพียงแค่ไม่หยุดตะโกนเท่านั้น

“หากข้าปล่อยมือ อาจารย์ก็จะวิ่งหนีไป” ลั่วลั่วเอ่ยอย่างจริงจัง

เฉินฉางเซิงจนปัญญาจึงรีบให้สัญญา เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่วิ่งหนีแน่นอน เจ้าปล่อยมือก่อน ปล่อยมือแล้วค่อยมาคุยกัน”

ลั่วลั่วแสดงออกว่าเชื่อฟังอย่างยิ่ง เชื่อคำพูดของเขา ปล่อยมือทั้งสองข้าง หลังจากนั้นชี้ไปยังพื้นด้านหน้าเป็นสัญญาณว่าให้เขานั่งลง

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญการกระทำที่คล่องแคล่วว่องไวของหญิงสาวก่อนหน้านี้ แน่ใจว่าตนหมดหนทางหนีจากมือน้อยๆ ของฝ่ายตรงข้ามได้ จึงทำได้เพียงถอนหายใจอยู่ในใจเงียบๆ แล้วนั่งลง

มองเห็นว่าเขาไม่ได้มีแผนการที่จะแอบหนีไป ลั่วลั่วจึงดีใจอย่างยิ่ง

ในหอตำราเงียบสงบไม่มีเสียง เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด รู้สึกอึดอัด แต่ชัดเจนว่าลั่วลั่วไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ ใช้มือยันขากรรไกรไว้ ตั้งใจมองเขาเป็นอย่างยิ่งด้วยท่าทางยิ้มแย้ม

ทั้งสองคนใกล้อย่างมาก เฉินฉางเซิงสามารถเห็นใบหน้าของตนเองในนัยน์ตาที่สุกสกาวของนางได้ สามารถมองเห็นความชื่นชอบที่ออกมาจากจิตใจของนาง นั่นคือความชื่นชอบที่บริสุทธิ์ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสุดท้ายแล้วจึงรู้สึกเช่นเดียวกัน รู้สึกว่ามีความรู้สึกดีอกดีใจทะลักออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ

แต่ว่าเขาไม่สามารถตอบรับคำร้องขอของนางเพียงเพราะว่าความชื่นชอบหรือดีอกดีใจ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีสมเหตุสมผล เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าเป็นมนุษย์ธรรมดาจริงๆ เมื่อกี้ก็พูดไปแล้ว ข้าเพิ่งกำหนดดาวโชคชะตา แม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สำเร็จ เดิมทีเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า จะคารวะข้าเป็นอาจารย์ได้อย่างไร”

ลั่วลั่วยังคงมือยันที่คางจ้องมองเขา ราวกับว่าเขาเกิดมาก็รูปงามยิ่งนัก มองอย่างไรก็ไม่พอ “อาจารย์ ถ้าหากท่านเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา จะทำเรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านเป็นคนดี”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าเรื่องราวที่ทั้งสองถกเถียงกันเกี่ยวข้องกับการเป็นคนดีอย่างไร กล่าวถามด้วยความไม่เข้าใจ “หลังจากนั้นเล่า”

“เมื่อคืนก่อนที่ข้าจะสลบไสล มองเห็นอาจารย์หยิบกระบี่สกัดกั้นก่อนที่ท้องฟ้าจะถล่มลงมา ดังนั้นอาจารย์เป็นคนดี”

ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของลั่วลั่วแฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง “แต่แท้จริงแล้วนั่นไม่ใช่ภาพสุดท้ายที่ข้าเห็น ภาพสุดท้ายที่ข้าเห็นก็คือดวงดาวเต็มท้องฟ้า เป็นดวงดาวจริงๆ และตอนนั้น…ขุนพลเทพแห่งทัพอวี้เทียน เซวียสิ่งชวน ยังมาไม่ถึง”

เฉินฉางเซิงถึงรู้ว่านางเห็นเหตุการณ์แล้ว ไม่รู้ว่าจะเอ่ยสิ่งใจ ถึงถามว่า “เช่นนั้นแล้วเป็นอย่างไร”

“อาจารย์ กระบี่ของท่านสามารถทำลายตาข่ายควันได้ คงจะไม่ใช่กระบี่ธรรมดาอย่างแน่นอน เช่นนั้นท่าน ก็คงจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา”

สายตาของลั่วลั่วเลื่อนลงไปข้างล่าง หยุดอยู่ที่กระบี่สั้นระหว่างที่มองดูแล้วเป็นกระบี่ธรรมดา

เฉินฉางเซิงมองสีท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง พลันเอ่ยด้วยความตื่นตะลึง “อ๊ะ!”

ลั่วลั่วมองนอกหน้าต่างตามเขา รู้สึกแปลกใจ ในใจคิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

“ตกเย็นแล้ว”

เฉินฉางเซิงชี้ไปยังด้านนอกหน้าต่าง เอ่ยว่า “ข้าต้องไปรับประทานอาหารก่อน วันหลังค่อยมาคุยกันดีหรือไม่”

ใบหน้าของลั่วลั่วพองขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับหมั่นโถว น่ารักยิ่งนัก ทั้งยังเหมือนกับพยัคฆ์ตัวน้อย ยังคงน่ารักเช่นเดิม

นางกำลังจะโผเข้าหา

น้ำเสียงของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนไป เอ่ยว่า “อย่าขยับ!”

ถึงแม้จะคบค้าสมาคมกันได้ไม่นาน แต่ลั่วลั่วก็เข้าใจนิสัยของเขาคร่าวๆ รู้ว่าบีบคั้นเกินไปเป็นเรื่องไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ยินยอมที่จะวางมือ จ้องมองเฉินฉางเซิงเดินไปถึงประตูของหอตำราอย่างเงียบๆ พลางเอ่ย “อาจารย์ ท่านรับข้าเถอะ”

กระโปรงของนางอยู่บนพื้นราวกับดอกไม้บาน นางนั่งอยู่ตรงกลางดอกไม้ น่าสงสารและน่ารักหาสิ่งใดเปรียบได้

เฉินฉางเซิงจะกล้าหันกลับไปมองได้อย่างไร มิเช่นนั้นคงใจอ่อนเป็นแน่ โบกมือติดต่อกันราวกับวิ่งหนีไป

กินข้าวกับน้ำซุปผักอยู่ที่ตรอกไป๋ฮวา ไปเดินเที่ยวที่จิงตูครึ่งค่อนวัน คาดการณ์ว่าหญิงสาวที่แปลกประหลาดผู้นั้นคงจะกลับไปแล้ว เฉินฉางเซิงจึงกลับไปสำนักฝึกหลวงอีกครั้ง เดินเข้าไปมองในหอตำราแวบหนึ่ง ไม่มีผู้ใดอย่างที่คิดไว้ ในที่สุดจึงผ่อนคลายลง

ท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ มาเยือน คิดว่าวันนี้สิ้นเปลืองเวลามากมายอย่างน่าอับอาย เขาเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยด้วยความเร็วสูงสุด เริ่มคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง เตรียมที่จะดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูกอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันที่จะหลับตา ก็เห็นชายกระโปรงพลิ้วไหวอยู่ใต้แสงดาว หญิงสาวผู้นั้นเดินเข้ามา เฉินฉางเซิงจนปัญญา จึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวกับเจ้าแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

ราวกับลั่วลั่วไม่ได้ยินว่าเขากล่าวอะไร เอ่ยขึ้นมาเองว่า “อาจารย์ข้าย้ายสิ่งของทั้งหมดไปไว้ที่ห้องพักท่านแล้ว อาคารหลังเล็กๆ มีหนึ่งหลังที่มีเตา คงจะเป็นหลังท่านที่พักอยู่ ยาสมุนไพรตากลมอยู่ที่ชั้นลอย ส่วนของที่เหลือเก็บไว้ใต้เตียงของท่าน”

เฉินฉางเซิงเพิ่งจะสังเกตเห็น ไข่มุกราตรี ตำราเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่และของอื่นๆ ที่วางอยู่บนพื้นตอนนี้หายไปแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าหญิงสาวคงจะนำสิ่งของกลับไป ใครจะคิดว่าสุดท้ายแล้วฝ่ายตรงข้ามจะช่วยเก็บเข้าไปในอาคาร ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไร

“ข้าต้องการฝึกบำเพ็ญเพียร”

เขาจนปัญญา และก็ตัดใจที่จะเสียเวลาพลาดโอกาสดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูกในค่ำคืนนี้ไม่ลง ทำได้เพียงแกล้งมองไม่เห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นมีตัวตนอยู่ ปิดตาแนบแน่น

ทันใดนั้น เขาได้กลิ่นหอมอ่อนสายหนึ่ง โชยมาจากข้างแก้มทางด้านขวา

เขาตกใจลืมตาขึ้น เห็นเพียงแค่หญิงสาวนั่งลงข้างตนเอง ใบหน้าห่างจากตนเองไม่ถึงหนึ่งฟุต หากใกล้เข้ามาอีกนิดก็คงจะสัมผัสถึง

เขาถามอย่างจนปัญญา “เจ้าจะทำสิ่งใดกันแน่”

เพียงชั่วพริบตาดวงตาของนางสุกสกาว “อาจารย์ ข้าอยากคารวะท่านเป็นอาจารย์”

เฉินฉางเซิงไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด ทำได้เพียงแค่ละทิ้งเสีย ปิดตาลง เริ่มที่จะใคร่ครวญอย่างหนัก

เพราะว่าเป็นเจ้าหนุ่มจืดชืดที่มีตำราเต๋าเป็นสหายตั้งแต่เด็ก ภายใต้การจ้องมองของหญิงสาวผู้หนึ่งในระยะใกล้เพียงนี้ เขาคาดไม่ถึงว่าจะเข้าสู่การครุ่นคิดอย่างหนักจริงๆ

ท้องฟ้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีขาว มีไก่เพศผู้ส่งเสียงร้องระหว่างบ้านเรือนผู้คน ดังลอดเข้ามาในสำนักฝึกหลวง

เฉินฉางเซิงลืมตา ค่อยๆ ตื่นขึ้นช้าๆ พลันรู้สึกว่าบ่าด้านขวาหนักอึ้งและยังรู้สึกปวดเมื่อย

เขาหันไปมอง ก็สะดุ้งตกใจ หลังจากนั้นจึงถอนหายใจออกมา

หญิงสาวกอดแขนเขา ศีรษะอิงบนไหล่ของเขากำลังหลับปุ๋ย มองดูแล้วคงจะหลับมาทั้งคืน

เฉินฉางเซิงเขย่านางเบาๆ ให้ตื่น เอ่ยว่า “กลับบ้านเถอะ”

“ไม่เอา” ลั่วลั่วขยี้ตา กล่าวด้วยความเสียใจ

เฉินฉางเซิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยว่า “เพราะเหตุใดจะต้องเป็นเช่นนี้”

“เมื่อคืนอาจารย์ดึงแสงดาวดาวชำระล้างกระดูก ข้ากอดอาจารย์สูดดมกลิ่นนี้เป็นเวลานาน…ข้าแน่ใจแล้ว กลิ่นนั้นก็คือกลิ่นกายของอาจารย์ กลิ่นนั้นหอมอย่างยิ่ง ข้าอยู่ข้างๆ อาจารย์รู้สึกสบายอย่างยิ่งราวกับว่าได้กินผลอายุวัฒนะ”

ลั่วลั่วคิดไปถึงเมื่อคืนวาน ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสว่างไสวยิ่งขึ้นราวกับว่าแสงอรุณยังคงไม่อาจปกปิดดวงดาวไท่ไป๋ดวงนั้นได้ หลังจากนั้นรู้สึกเขินอายยิ้มออกมา เอ่ยต่อ “ข้าไม่เคยกินผลอายุวัฒนะ แต่เคยฟังท่านแม่พูด”

เฉินฉางเซิงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดอีกครั้ง ในใจคิดว่าเพราะว่ากลิ่นหอมจึงอยากจะเป็นศิษย์เขาอย่างนั้นรึ เพียงเพราะว่าสามารถสูดดมกลิ่นของฝ่ายตรงข้ามทุกวันอย่างนั้นหรือ

“การฝึกบำเพ็ญเพียรของข้าพบเจอกับปัญหาที่ไม่มีทางออก ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ไขได้ ถึงจะเป็นอาจารย์ของสำนักเทียนเต้ากับสำนักเก็บเกี่ยวดวงดาวก็ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่อาจารย์ ท่านสามารถแก้ไขได้…วิธีขับเคลื่อนพลังปราณแท้ของเคล็ดลับวิชาเพลงกระบี่ลมฝนจงซาน ข้าเพียงแค่ใช้ประโยคที่ท่านเอ่ยเมื่อคืนก่อน นี่ก็คือหลักฐาน”

ลั่วลั่วจ้องมองเขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ดังนั้น ข้าจะต้องคารวะท่านเป็นอาจารย์”

วิธีการขับเคลื่อนพลังปราณแท้ของเคล็ดวิชาเพลงกระบี่ลมฝนจงซานนั้นมีความสัมพันธ์กับความลับในร่างกายของเฉินฉางเซิง แน่นอน นี่ไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่เขาปฏิเสธหญิงสาว “ข้าไม่มีคุณสมบัติสอนเจ้า และยังไม่มีเวลาสอนเจ้า ข้าต้องศึกษาตำรา ข้าต้องฝึกบำเพ็ญเพียร ข้ามีเรื่องสำคัญมากมายที่จะต้องไปทำ”

ลั่วลั่วเฝ้ามองเขามาหนึ่งวัน เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าเขาเห็นคุณค่าของเวลาอย่างยิ่ง ใส่ใจจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ นางเอ่ยถาม “อาจารย์ เพราะเหตุใดท่านต้องรีบร้อนด้วยเล่า”

ใช่แล้ว การเห็นคุณค่าเวลาเช่นนี้ ราวกับว่าเป็นความกังวลด้วยซ้ำ

เฉินฉางเซิงมองเห็นความห่วงใยในดวงตาของหญิงสาวชัดเจน พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรเขาแสดงออกสงบนิ่งอย่างยิ่ง มีคนจำนวนน้อยถึงจะมองออกว่าภายใต้การแสดงออกมาสงบนิ่งที่จริงแฝงไว้ด้วยความกังวล ไม่รู้เพราะเหตุใด ทันใดนั้นเขาอยากจะพูดคุยขึ้นมา

“ข้าต้องการเข้าร่วมการสอบใหญ่ อีกทั้ง…ข้าจะต้องได้อยู่ในอันดับแรก” เขาจ้องมองนาง กล่าวด้วยความจริงจัง

เวลาเช้าตรู่ของหอตำราสงบเงียบที่สุด ไม่มีเสียงของจักจั่นและเสียงนกร้อง และเป็นเวลาที่กบกับแมลงกำลังนอนหลับ

ผ่านไปเป็นเวลาเนิ่นนาน ไม่มีการเย้าหยอกและก็ไม่มีการย้อนถามที่ตกตะลึง

ถึงแม้จะเป็นถังซานสือลิ่วเมื่อได้ยินจุดมุ่งหมายเช่นนี้ของเฉินฉางเซิง อารมณ์ยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

แต่ความรู้สึกของลั่วลั่วไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด นางจ้องมองเฉินฉางเซิงอย่างตั้งใจ รอคอยให้เขาพูดต่อ

เฉินฉางเซิง เอ่ยถาม “เจ้า…เจ้าไม่รู้สึกว่า จุดมุ่งหมายเช่นนี้น่าขบขันหรือ อย่างน้อย…ควรจะตกตะลึงบ้าง”

“น่าขบขัน? ตกตะลึง? เพราะเหตุใด”

ลั่วลั่วได้ฟังคำถามนี้กลับเป็นฝ่ายไม่เข้าใจ เอ่ยว่า “อาจารย์เข้าร่วมการสอบใหญ่ จะต้องได้อันดับแรกอย่างแน่นอน”

หอตำราสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่ง มีเสียงนกสะท้อนมาจากที่ไกลๆ แผ่วเบา แต่กลับยิ่งเพิ่มความสงบเงียบ

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน

น้ำเสียงของนางทำให้เขารู้สึกว่าถ้าหากตนไม่สามารถสอบได้อันดับแรกของการสอบใหญ่ เช่นนั้นถึงจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด

เขาไม่เคยกินผลอายุวัฒนะในตำนาน แต่เขาคิดว่าถึงแม้จะกินผลอายุวัฒนะหลายร้อยผลก็คงไม่ทำให้ร่างกายและจิตใจเบิกบานเท่ากับประโยคนี้

“เพียงแต่ อาจารย์เหตุใดจะต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่ให้ได้”

ลั่วลั่วไม่รู้ว่าการตอบโต้ของนาง เป็นการปลอบประโลมเฉินฉางเซิงไปเท่าไหร่ นางถามด้วยความประหลาดใจ “อยากดูสุสานเทียนซูใช่หรือไม่ ข้าพาอาจารย์ไปได้”

เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจประโยคสุดท้ายที่นางกล่าว

เขายืดตัวลุกขึ้น เดินไปยังริมหน้าต่าง มองไปยังพระราชวังที่อยู่ไม่ไกลและมองไปยังทิศทางของหอหลิงเยียน

สามอันดับแรกของการสอบใหญ่สามารถเข้าไปดูศิลาสัจธรรมในสุสานเทียนซู นี่เป็นสิ่งที่เขาปรารถนา

แต่ว่าการสอบใหญ่ มีเพียงผู้ที่ได้ประกาศเป็นอันดับแรกถึงจะมีโอกาสคิดไตร่ตรองเงียบๆ อยู่ในหอหลิงเยียนเป็นเวลาหนึ่งคืน

นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการที่สุด