ตอนที่ 326 มอบโอสถอายุวัฒนะ

พันธกานต์ปราณอัคคี

อย่างไรเสียหลิวซางเจินจวินก็เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เห็นมั่วชิงเฉินไม่สนใจคำพูดตนตรงกันข้ามกลับเดินข้ามา รู้ว่าด้วยนิสัยของนางต้องมีธุระแน่นอน แม้สีหน้าบึ้งตึง ยังคงอดทนฟัง

มั่วชิงเฉินย่อตัวลงแล้วว่า “ท่านอาจารย์ปู่ เชิญท่านย้ายไปที่ที่รโหฐานได้หรือไม่เจ้าคะ?”

หลิวซางเจินจวินอืมนิ่งเรียบเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าตามข้ามา”

พามั่วชิงเฉินวกกลับโถงบุปผา

โถงบุปผานี้แยกออกมาให้นักบำเพ็ญเพียรระดับสูงของเหยากวงโดยเฉพาะ ตั้งค่ายกลกันเสียงไว้นานแล้ว นักบำเพ็ญเพียรสำนักอื่นก็ไม่มีทางสอดแนมขึ้นมาเอง ยกเว้นอยากล่วงเกินพรรคเหยากวง

เห็นเสวียนหั่วเจินจวินอยู่ข้างใน มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง

หลิวซางเจินจวินขมวดคิ้วแผ่วเบาว่า “นางหนูชิงเฉิน หากเจ้ามีธุระก็พูดมาตรงๆ เถอะ ข้าและเสวียนหั่วเจินจวินต่างเป็นผู้อาวุโสของเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลเกินเหตุ”

มั่วชิงเฉินมองเสวียนหั่วเจินจวินอีกปราดหนึ่ง แอบว่าเรื่องนี้ต่อไปเกรงว่าก็คงปิดเสวียนหั่วเจินจวินไม่ได้อยู่ดี จึงเอ่ยปากว่า “ท่านอาจารย์ปู่ เมื่อครู่ศิษย์ได้ยินเสวียนหั่วเจินจวินบอกว่าท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งไม่ไหวแล้ว…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็เห็นหลิวซางเจินจวินสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาว่า “นางหนูชิงเฉิน หากเจ้าคิดจะถามเรื่องนี้ ก็กลับไปเสียดีกว่า เจ้าระหกระเหินอยู่ข้างนอกมานานปี ดูท่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้ว”

“เฮ่อ ศิษย์พี่หลิวซาง ท่านเข้มงวดเช่นนี้ไปไย อย่าทำให้เด็กตกใจสิ” เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกก แล้วแสยะยิ้มให้มั่วชิงเฉินว่า “นางหนู เจ้ามีอะไรก็พูดเถอะ”

เขาไม่เชื่อหรอกนะ ว่าภรรยาที่เทียนหยวนของเขาต้องตา จะเป็นหญิงปากมากที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน

เห็นปฏิกิริยาของหลิวซางเจินจวิน มั่วชิงเฉินแอบว่าตนเดาไว้ไม่ผิดแล้ว โส่วเต๋อเจินจวินอายุขัยใกล้เข้ามาแล้วเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นในเร็ววันด้วย

จึงไม่อ้อมค้อมอีก พลิกมือปรากฏขวดหยกกะทัดรัดใสผุดผ่องขึ้นใบหนึ่งง่า “ท่านอาจารย์ปู่ ศิษย์ระหกระเหินอยู่ข้างนอกเจออันตรายหลายต่อหลายครั้ง ทว่าก็ได้โอกาสวาสนามาไม่น้อยเช่นกัน โอสถในขวดหยกใบนี้ก็ได้มาด้วยความบังเอิญ เชิญท่านผ่านตาเจ้าค่ะ”

เห็นมั่วชิงเฉินมือยกขวดหยกสีหน้าจริงจัง หลิวซางเจินจวินสะบัดแขนเสื้อ ขวดหยกกะทัดรัดก็บินขึ้นจากมือนาง ตรงเข้ามือ

กวาดด้วยจิตตระหนักปราดหนึ่ง หลิวซางเจินจวินสีหน้าเปลี่ยนทันที แล้วกวาดไปอีกครั้ง

เห็นหลิวซางเจินจวินถือขวดหยกไว้ไม่พูดเสียที สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมายากจะคาดเดา มือยังสั่นเบาๆ อย่างไม่คาดคิด เสวียนหั่วเจินจวินแปลกใจยิ่งนัก

ต้องรู้ว่าหลิวซางเจินจวินเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายแล้ว หาน้อยที่จะมียามที่เสียกิริยาเช่นนี้

ในขวดหยกคืออะไร ถึงทำให้เขาเปิดเผยความรู้สึกออกมาเช่นนี้ได้?

“ศิษย์พี่หลิวซาง?” เสวียนหั่วเจินจวินในที่สุดก็อดเรียกขึ้นมาไม่ไหว

ในที่สุดหลิวซางเจินจวินก็ได้สติกลับมา มองไปที่มั่วชิงเฉินที่ยืนวางมือไว้ข้างตัวอย่างนอบน้อมด้วยสีหน้าซับซ้อน

เสวียนหั่วเจินจวินยิ่งแปลกใจหนักขึ้นว่า “หลิวซางเจินจวิน ในขวดหยกนั่นคือสิ่งใด?”

เสียงหลิวซางเจินจวินดังขึ้นในสมองเขาว่า “โอสถอายุวัฒนะ”

เพียงสามคำเบาๆ กลับเหมือนสายฟ้าสามสายระเบิดขึ้นในสมองเสวียนหั่วเจินจวิน เขามองขวดหยกในมือหลิวซางเจินจวินด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ แล้วหันหน้ามองมั่วชิงเฉินโดยพลันอีก

มั่วชิงเฉินเข้าใจ หลิวซางเจินจวินต้องส่งเสียงทางจิตกับเสวียนหั่วเจินจวินเป็นแน่

ดูทีท่าของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว ต้องให้ความสำคัญต่อโอสถอายุวัฒนะมากกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก

“นางหนูชิงเฉิน…อาจารย์ปู่ขอขอบคุณเจ้าแทนศิษย์นับหมื่นนับพันของเหยากวงแล้ว” หลิวซางเจินจวินเอ่ยอย่างจริงจัง กลับไม่ถามนางว่าได้โอสถอายุวัฒนะมาได้อย่างไร

มั่วชิงเฉินโล่งอก ดูท่านางพนันไว้ไม่ผิด ซือจุนของอาจารย์ นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายที่เป็นเสาค้ำเหยากวง ไม่ได้ทิ้งการข่มใจตนเองและท่วงท่าอันสง่างามที่ควรมีเพียงเพราะโอสถอายุวัฒนะเม็ดเดียว

ยามนั้นนางได้ยินคำพูดของเสวียนหั่วเจินจวิน ก็เดาได้ว่าโส่วเต๋อเจินจวินต้องไม่ดีแล้วเป็นแน่ มอบหรือไม่มอบโอสถสับสนอยู่ในใจตลอดเวลา

นางมีโอสถอายุวัฒนะเจ็ดเม็ด แม้ล้ำค่าไร้เทียมทาน ทว่ายามนี้นางยังไม่ต้องใช้แน่นอน ต่อให้ต้องใช้ นักบำเพ็ญเพียรคนหนึ่งในชีวิตหนึ่งก็กินโอสถอายุวัฒนะได้เพียงหนึ่งเม็ด กินอีกก็ไม่เห็นผลแล้ว

ตัวโอสถเองไม่ใช่สิ่งที่นางกังวล

หากแต่เป็นหลังมอบโอสถต่างหาก หลิวซางเจินจวินจะคิดเช่นไร จะแปลกใจว่าโอสถนี้ได้มาจากที่ใดหรือไม่ ตนยังมีอีกหรือไม่?

ทว่าหากไม่มอบโอสถ เมื่อใดที่โส่วเต๋อเจินจวินดับสูญล่ะก็ สถานการณ์ของเหยากวางก็ไม่ดีแล้ว

นางไม่ใช่คนที่สามารถเสียสละทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของสำนักได้ ทว่ามีประสบการณ์ถูกล้างตระกูลของตระกูลมั่วมาแล้ว อีกทั้งวันเวลาที่พึ่งพาอาศัยกับท่านปู่ดิ้นรนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเทียนเหยา เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตในเหยากวง จึงตระหนักอย่างแจ่มชัดมานานแล้วว่า ทรัพยากรและชีวิตการบำเพ็ญเพียรอย่างสงบสุขของนาง การชี้แนะจากนักบำเพ็ญเพียรระดับสูง ล้วนเป็นสิ่งที่สำนักให้มา

ศิษย์ระดับหลอมลมปราณใส่ชุดของพรรคเหยากวงเดินออกไป ต่างสามารถได้รับสายตาอิจฉาจากผู้คน อาศัยอะไร?

หนึ่งรุ่งล้วนเรืองรองหนึ่งมลายล้วนดับสูญ ผลประโยชน์ของสำนักและบุคคลเดิมก็สัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นอยู่แล้ว

ใต้รังที่พลิกคว่ำจะมีไข่ที่สมบูรณ์ได้เช่นไร หากมีวันหนึ่งต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าเช่นเหยากวงต้นนี้ล้มครืนลง นกน้อยบนต้นไม้เช่นพวกเขานี้จะบินไปไหนได้อีก

สำนักบางสำนักเนื่องจากการดับสูญของนักบำเพ็ญเพียรระดับสูงจึงค่อยๆ ตกต่ำกลายเป็นสำนักเล็กๆ ต่อมาไปตอแยนักบำเพ็ญเพียรบางท่านแล้วถูกล้างสำนักไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

มุ่งหาผลประโยชน์หลีกเลี่ยงอันตรายเป็นสัญชาตญาณของคน นักบำเพ็ญเพียรเป็นยิ่งกว่า ทว่าจากที่มั่วชิงเฉินดู คนมีชีวิตอยู่บนโลก ย่อมมีเรื่องควรทำและเรื่องไม่ควรทำ การเสี่ยงครั้งนี้ คุ้ม

ยิ่งกว่านั้นโอสถอายุวัฒนะพวกนั้นล้วนเก็บอยู่ในกำไลเก็บวัตถุ ขอเพียงนางมีชีวิตอยู่ ต่อให้เป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ดูไม่ออกว่าบนข้อมือนางใส่กำไลเก็บวัตถุไว้

“คำพูดของท่านอาจารย์ปู่ศิษย์ไม่กล้ารับ ศิษย์เข้าพรรคเหยากวงตั้งแต่เยาว์วัย การเติบโตทุกย่างก้าวล้วนไม่ห่างจากการฟูมฟักของสำนัก บัดนี้เพียงแค่ออกแรงเล็กน้อยเท่านั้น” มั่วชิงเฉินเสียงนุ่มนวลนิ่งเรียบ ราวกับไม่รู้ความสำคัญของโอสถอายุวัฒนะ

ในตาหลิวซางเจินจวินมีประกายพาดผ่าน สายตาที่มองมาที่มั่วชิงเฉินยิ่งอ่อนโยนขึ้นว่า “นางหนู เจ้าดีมาก…”

พูดถึงตรงนี้พลิกฝ่ามือขึ้น ของที่เหมือนก้อนโลหะสีทองขนาดเท่ากำปั้นเด็กก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมา

“นี่คือแก่นแร่เพชร เป็นของที่แข็งที่สุด นางหนูเจ้าจะหลอมธนูและศรมิใช่หรือ สิ่งนี้ใช้ทำหัวลูกศรได้พอดี” หลิวซางเจินจวินยื่นแก่นแร่เพชรในมือข้ามไป

มั่วชิงเฉินยังไม่ทันได้ยื่นมือ เสวียนหั่วเจินจวินก็จับแก่นแร่เพชรไป ปากออกเสียงจื้ดๆ ว่า “ศิษย์พี่หลิวซาง ท่านยังมีของดีเช่นแก่นแร่เพชรด้วยหรือนี่? ช่างมีสมบัติไม่เปิดเผยจริงๆ เลย”

เห็นมั่วชิงเฉินมองเขางงๆ จึงยิ้มพลางยื่นแก่นแร่เพชรข้ามไปว่า “นางหนูรีบเก็บขึ้นเถอะ ประเดี๋ยวอาจารย์ปู่เจ้าจะเสียใจภายหลัง แก่นแร่เพชรนี่เป็นของดี ใช้หลอมสมบัติวิเศษที่นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดใช้ก็ยังได้”

มั่วชิงเฉินรู้ว่านี่เป็นรางวัลที่หลิวซางเจินจวินให้ตนเพราะเรื่องมอบโอสถ จึงไม่บ่ายเบี่ยง รับไว้อย่างสง่าผ่าเผย

“ศิษย์น้องเสวียนหั่ว นางหนูชิงเฉินจะหลอมธนูและศรชุดหนึ่ง แค่กๆ เจ้าก็รู้ เขาชิงมู่ตั้งแต่บนถึงล่าง ไม่มีคนหลอมอาวุธที่พอดูได้เลย ไม่สู้ก็รบกวนเจ้าแล้วกัน” หลิวซางเจินจวินลูบหนวดยาว ปิดบังความกระอักกระอ่วน

มีโอสถอายุวัฒนะแล้ว ความรู้สึกที่กระวนกระวายหนักหน่วงในทีแรกก็สงบลงมา

เสวียนหั่วเจินจวินโบกพัดกกเอื่อยๆ เหล่มั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง แล้วหัวเราะแหะๆ ว่า “นางหนูชิงเฉินวันหลังจะหลอมสมบัติวิเศษเจ้าชะตาสินะ สมบัติวิเศษของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ก็ไม่ต้องให้ข้าลงมือหรอก ถึงเวลาให้เจ้าหนูลั่วหยางหลอม ศิษย์พี่หลิวซางท่านเห็นเป็นเช่นไร?” พูดพลางขยิบตา

หลิวซางเจินจวินงงงันเล็กน้อย พริบตาเดียวก็เข้าใจขึ้นมา จึงอมยิ้มพยักหน้าว่า “ฝีมือการหลอมอาวุธของลั่วหยางโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน ให้เขาหลอมย่อมไม่เลวอยู่แล้ว นางหนูชิงเฉิน เจ้าว่าเช่นไรล่ะ?”

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองท่านเจ้าคำข้าคำก็สรุปให้เรียบร้อยแล้ว พูดถึงที่สุดแล้วยังเป็นมั่วชิงเฉินที่ได้เปรียบ นางคัดค้านอีกก็จะเสแสร้งเกินไปแล้ว จึงกราบลงขอบคุณว่า “ศิษย์ขอกราบขอบคุณท่านเจินจวินสองท่านล่วงหน้าเจ้าค่ะ”

“เอาล่ะ ในเมื่อได้โอสถนี้แล้ว ข้าก็จะรีบเร่งกลับสำนัก ศิษย์น้องเสวียนหั่ว ที่นี่ยังคงต้องให้เจ้ารับหน้าไปก่อน” หลิวซางเจินจวินทำสีหน้าจริงจัง

โอสถอายุวัฒนะล้ำค่าเหนือสิ่งอื่นใด มีเพียงเขาส่งกลับไปด้วยตนเองป้อนโส่วเต๋อเจินจวินกิน ถึงสามารถวางใจได้

เสวียนหั่วเจินจวินย่อมเข้าใจถึงเหตุผลข้อนี้ พยักหน้าว่า “ศิษย์พี่เดินทางโดยสวัสดิภาพ”

มั่วชิงเฉินเห็นดังนั้นรีบเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ปู่ ศิษย์ก็อยากกลับสำนักพร้อมท่านเจ้าค่ะ” เห็นหลิวซางเจินจวินมองมา จึงเอ่ยอย่างไม่หยุดว่า “ศิษย์อยากเตรียมตัวเพื่อก่อแก่นปราณแล้วเจ้าค่ะ”

นึงถึงว่ามั่วชิงเฉินหยุดอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์มาสิบหกปีแล้ว หลิวซางเจินจวินพยักหน้าว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ นางหนูชิงเฉินก็ตามข้ากลับไปด้วยแล้วกัน”

เสวียนหั่วเจินจวินยิ้มจนเห็นฟันไม่เห็นตาว่า “ก่อแก่นปราณดี ก่อแก่นปราณดี”

หลิงซางเจินจวินพามั่วชิงเฉินออกจากโถงบุปผาเดินไปถึงโถงใหญ่ข้างหน้า เห็นหลัวเตี๋ยจวินยืนสวยอยู่กลางลาน

เห็นพวกมั่วชิงเฉินสองคนแล้วเข้ามาคารวะว่า “ผู้น้อยขอคารวะหลิวซางเจินจวิน”

หลิวซางเจินจวินยิ้มนิ่งเรียบว่า “ลุกขึ้นเถอะ นางหนูหลัวมาหาชิงเฉินสินะ?” พูดเสร็จมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งแล้วเดินหน้าไป

หลัวเตี๋ยจวินไม่ค่อยเข้าใจว่า “สหายเต๋ามั่ว นี่พวกเจ้าจะออกไปหรือ?”

หลังจากนางถูกฮ่าวเสวี่ยเจินจวินพากลับมาก็รอมั่วชิงเฉินมาตลอด ต่อมาได้ยินว่านางและหลิวซางเจินจวินไปข้างหลังด้วยกัน ถึงรออยู่ตรงนี้

มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “สหายเต๋าหลัว ข้าจะกลับสำนักแล้ว”

หลัวเตี๋ยจวินงงงัน ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ยินดีกับสหายเต๋ามั่วแล้ว”

นางรีบกลับสำนัก ต้องเพราะจะเตรียมตัวก่อแก่นปราณแน่

“สหายเต๋าหลัว ไม่สู้เจ้ากลับไปพร้อมข้าเถอะ” มั่วชิงเฉินคิดๆ ดูแล้วเอ่ยขึ้น

“เจ้าว่าอะไรนะ?” หลัวเตี๋ยจวินชะงัก

มั่วชิงเฉินยิ้มละมุนว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าอยู่ระดับสร้างรากฐานโดยสมบูรณ์มาก็มีสิบกว่าปีแล้ว ถึงเวลาเตรียมตัวก่อแก่นปราณแล้ว ทว่าจากเตรียมตัวถึงก่อแก่นปราณสำเร็จ ถ้าน้อยหนึ่งปีปีครึ่ง ถ้ามากสามสี่ปี สถานการณ์ที่นี่เจ้าก็เห็นแล้ว การบำเพ็ญเพียรปกติก็ไม่กระทบกระเทือนหรอก ทว่าหากจะทะลวงก่อแก่นปราณ กลับไม่ไหวนะ”

หลัวเตี๋ยจวินไม่พูดอะไร ดูเหมือนกำลังลังเล

“เหยากวงเราไม่ก้าวก่ายศิษย์มากนัก ตัวอย่างนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนักบางคนกระทั่งศิษย์สำนักอื่นสร้างรากฐานกระทั่งก่อแก่นปราณที่สำนักเราไม่ใช่ไม่มีมาก่อน หากสหายเต๋าหลัวยินดี ไม่สู้กลับไปพร้อมชิงเฉิน แน่นอนหากสหายเต๋าหลัวมีที่อื่นจะไป เช่นนั้นชิงเฉินก็ขอไปก่อนแล้ว อาจารย์ปู่ยังรออยู่ข้างนอก” มั่วชิงเฉินเสียงราบเรียบมาก ไม่ได้เชื้อเชิญอย่างสุดกำลัง ดูเหมือนเพียงแค่กำลังพูดเรื่องเล็กๆ ที่ปกติมากเรื่องหนึ่งเท่านั้น

หลัวเตี๋ยจวินสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมายากจะคาดเดาได้ พักใหญ่ๆ ในที่สุดก็กัดฟันว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รบกวนแล้ว”

มั่วชิงเฉินยิ้ม แล้วพาหลัวเตี๋ยจวินเดินออกไป

ออกจากประตูใหญ่จวนเจ้าเมือง กลับพบว่าข้างๆ หลิวซางเจินจวินมีนักพรตเหอกวงกู้หลียืนอยู่ด้วย มั่วชิงเฉินหยุดกึก เห็นพวกเขาทอดสายตามา กลับกระดกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้วเดินเข้าไปคารวะ “ซือจุน ท่านกลับมาแล้ว”