ตอนที่ 410 เจตนาที่แท้จริงเปิดเผย โดย ProjectZyphon
ชายสูงวัยสามสี่ท่านนั้นล้วนเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่มากประสบการณ์ในสาขาสลักวิญญาณ รักษาการณ์ที่ชั้นห้าของหอหลอมวิญญาณมานานปี
เมื่อถูกตำหนิ ฉู่ซานเหอไม่สนใจสักนิด หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ขอทุกท่านอย่าขัดเคือง ข้ามาครั้งนี้เพื่อนำข่าวดีข่าวหนึ่งมาให้พวกท่าน”
“ข่าวดีอะไร”
ชายสูงวัยคนหนึ่งขมวดคิ้ว
ฉู่ซานเหอพูดพลางชี้ไปที่หลินสวิน “ท่านนี้ก็คือหลินสวิน ผู้กล้าหนุ่มน้อยที่ชักนำปรากฏการณ์เสียงร้องแห่งเก้ามังกรในการรับรองปรมาจารย์สลักวิญญาณก่อนหน้านี้ไม่นาน เป็นผู้ที่ได้รับการเชิญเป็นกรณีพิเศษจากสาขาสลักวิญญาณของเราให้เป็นอาจารย์ชั้นหนึ่ง”
“หลินสวินหรือ ที่แท้นี่ก็คือเจ้าหนุ่มคนนั้นหรือ”
“ดูแล้วยังเยาว์มากจริงๆ”
ชายสูงวัยเหล่านั้นล้วนประหลาดใจ กวาดตามองหลินสวิน ความขัดเคืองที่ปรากฏบนใบหน้าลดลงไปไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับหลินสวินมาก
“ครั้งนี้ข้าพาหลินสวินมาที่นี่ ก็เพื่อขจัดปัญหาวุ่นวายใจของทุกท่าน”
ฉู่ซานเหอพูดไปยิ้มไป
เมื่อพูดคำนี้ออกมา ชายสูงวัยเหล่านั้นพลันส่งเสียงโวยวาย สีหน้าแสดงความประหลาดใจและโกรธเคือง
“หมายความว่าอย่างไร หรือเจ้าจะให้เขา…แก้ปัญหาซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้างั้นหรือ”
มีคนตั้งคำถาม
“เหลวไหล!”
มีคนโกรธเคือง
“การตัดสินใจเช่นนี้ขาดสติเกินไปแล้ว หรือเจ้าฉู่ซานเหอไม่รู้ว่า ‘กระบี่เบิกฟ้า’ นี้ทรงพลังเพียงใด จะให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณผู้หนึ่งมาแก้ไขได้อย่างไร”
มีคนตำหนิเสียงแข็ง
เมื่อคำพูดเหล่านี้เปล่งออกมา กลุ่มอาจารย์และลูกศิษย์ที่เดิมทีตามฉู่ซานเหอมาด้วยเหล่านั้นก็ต่างส่งเสียงฮือฮา แสดงสีหน้าตกอกตกใจ
“ที่แท้นี่ก็คือ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ อาวุธเทพที่ทรงพลังที่สุดในมือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน นี่เป็นชุดศึกสลักวิญญาณที่ร้ายกาจยิ่งชุดหนึ่ง!”
“กระบี่เบิกฟ้า! รองหัวหน้าสาขาฉู่คงจะไม่…คงจะไม่นำสิ่งนี้มาเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถด้านการสลักรอยวิญญาณของอาจารย์เสี่ยวหลินกระมัง”
ฝูงชนสีหน้าฉงน
หลินสวินกลับหรี่ตาลง เขาแน่ใจแล้วว่า ‘กระบี่เบิกฟ้า’ นี้ก็คือวิธีที่ฉู่ซานเหอต้องการใช้ต่อกรกับตน!
ชุดศึกสลักวิญญาณชั้นสูง
ทั้งเป็นสิ่งที่อยู่ในการครอบครองของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน!
ขนาดชายสูงวัยเหล่านั้นยังซ่อมแซมไม่ได้ แค่คิดก็รู้ว่าปัญหาที่เกิดกับ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ นี้ยุ่งยากขนาดไหน
“หึ!”
ทันใดนั้นก็เห็นว่าฉู่ซานเหอส่งเสียงหึหยัน กำราบเสียงฮือฮาที่ดังขึ้นในที่นั้นทันที
ท่ามกลางความเงียบเชียบ ฉู่ซานเหอพูดเสียงขรึมว่า “พวกท่านซ่อมแซมไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะซ่อมแซมไม่ได้ อะไรกัน หรือพวกท่านคิดว่าอาจารย์เสี่ยวหลินผู้นี้ไม่มีแม้คุณสมบัติที่จะซ่อมแซม ‘กระบี่เบิกฟ้า’ งั้นหรือ”
คำพูดนี้พาให้สีหน้าของชายสูงวัยเหล่านั้นแปรเปลี่ยนไป ชายสูงวัยผู้หนึ่งอดไม่ไหวพูดว่า “พวกข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่กระบี่เบิกฟ้าเล่มนี้เป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวง หากมีข้อผิดพลาดอะไรขึ้น ผลที่ตามมาใช่ว่าใครจะรับไหว”
“ถูกต้อง อีกไม่นานก็จะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสามร้อยพรรษาขององค์จักรพรรดินี พระราชวังมีบัญชาเด็ดขาดลงมาแล้วว่าหากซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้าไม่เสร็จ…”
เมื่อเห็นว่าชายสูงวัยคนอื่นก็เอ่ยปากอย่างต่อเนื่องด้วยต้องการคัดค้าน สีหน้าของฉู่ซานเหอก็นิ่งขึง พูดตัดบทว่า “ทุกท่าน ข้าเพียงถามคำเดียว จนถึงตอนนี้พวกท่านหาวิธีซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้าได้หรือยัง”
ชายสูงวัยเหล่านั้นพลันพากันน้ำท่วมปาก
ฉู่ซานเหอพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ในเมื่อพวกท่านทำไม่ได้ เหตุใดถึงให้อาจารย์เสี่ยวหลินลองสักครั้งไม่ได้เล่า”
“นี่…”
ชายสูงวัยเหล่านั้นหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เวลานี้ในโสตประสาทของหลินสวินพลันได้ยินเสียงสื่อจิตของเสิ่นทั่ว แสดงความกังวลใจหาใดเปรียบว่า ‘หลินสวิน อย่ารับปากเชียวนะ! กระบี่เบิกฟ้าเป็นอาวุธสำคัญของราชวงศ์ หลายปีก่อนเพราะเหตุไม่คาดคิดที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ ส่งผลให้ของสิ่งนี้เสียหายอย่างหนัก จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันเชิญผู้มีฝีมือมากมายลงมือ แต่ถึงตอนนี้ยังไม่มีใครซ่อมแซมได้’
หลินสวินใจสั่นสะท้าน ที่แท้เหตุการณ์เหล่านี้ก็มีที่มาที่ไปเช่นนี้
ได้ยินเสิ่นทั่วพูดต่อ ‘อย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ รวมถึงปรมาจารย์สลักวิญญาณที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรส่วนหนึ่ง ล้วนถูกราชวงศ์เชื้อเชิญมาซ่อมกระบี่เบิกฟ้า แต่ถึงตอนนี้กลับไม่มีใครทำสำเร็จเลยสักคน อีกทั้งหลายคนยังเห็นว่า กระบี่เบิกฟ้านี้เดิมทีก็ไม่มีทางซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิมได้อีกแล้ว!’
หลินสวินลอบสูดหายใจเย็นเยียบ วิธีการร้ายกาจยิ่งของฉู่ซานเหอผู้นี้ ถึงกับหมายจะใช้ปัญหาที่รับมือยากนี้มาโจมตีตน!
ถ้าตนทำไม่ได้ เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมไม่ต้องคาดคิด
เสียงสื่อจิตของเสิ่นทั่วนั้นปิดบังซ่อนเร้นยิ่ง ทั้งไม่ดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น ขณะที่หลินสวินเตรียมจะพูดอะไรออกมา ก็เห็นว่าฉู่ซานเหอเอ่ยปากเสียงขรึมขึ้นแล้วว่า “ทุกท่านไม่ต้องลังเลแล้ว เรื่องนี้ข้าได้ไหว้วานให้คนไปที่พระราชวัง กราบทูลว่าอาจารย์เสี่ยวหลินจะลงมือช่วยแก้ไขปัญหานี้ หากพวกท่านขัดขวาง จะเป็นการฝ่าฝืนเสียเปล่าๆ!”
เฮือก!
เสียงสูดลมหายใจเย็นเยียบระลอกหนึ่งดังขึ้นทั่ว ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เหล่านั้นหรือว่าศิษย์ ล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน เผยให้เห็นความหวั่นกลัว
ในที่สุดพวกเขาก็แน่ใจว่าฉู่ซานเหอจงใจเพ่งเล็งหลินสวิน ต้องการอาศัยเรื่องนี้โจมตีเขา!
นี่เป็นปัญหาที่ขนาดปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์กลุ่มหนึ่งยังไม่มีทางแก้ไขได้ แต่ฉู่ซานเหอผู้นี้กลับนำเผือกร้อนหัวนี้โยนให้หลินสวิน ทั้งยังลอบส่งคนไปรายงานราชวงศ์ด้วย!
นี่เห็นชัดว่าเดิมทีก็ไม่คิดให้หลินสวินถอยหลังกลับแล้ว
น่ากลัว
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
จนถึงเวลานี้ผู้เก่งกาจมากมายถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่า ก่อนฉู่ซานเหอมาหอหลอมวิญญาณ ต้องวางแผนทุกอย่างนี้ไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว!
ที่พาให้ทุกคนใจสั่นระรัวที่สุดก็คือ อุบายที่ฉู่ซานเหอใช้ ใหญ่โตเปิดเผย ไม่อาจให้ผู้ใดตำหนิอะไรได้เลย
วิธีนี้ต่างหากที่เรียกว่าโหดเหี้ยมร้ายกาจ
หลินสวินยังจะปฏิเสธได้หรือ
แน่นอนว่าไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาได้รับปากฉู่ซานเหอไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ก็ถูกฉู่ซานเหอส่งคนไปรายงานราชวงศ์แล้ว ถ้าหลินสวินปฏิเสธ เช่นนั้นผู้ที่เขาล่วงเกินจะไม่ใช่แค่ฉู่ซานเหอ แต่ยังมีราชวงศ์แห่งจักรวรรดิด้วย!
นี่ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด!
ชั่วขณะหนึ่งทั่วทั้งโถงเงียบเชียบไร้เสียง ล้วนสะเทือนขวัญด้วยวิธีการที่ฉู่ซานเหอเผยออกมา
ขนาดหลินสวินยังคิดไม่ถึงว่า เพื่อพุ่งเป้ามาที่ตน ฉู่ซานเหอจะถึงกับวางแผนรอบคอบรัดกุมเช่นนี้
เดิมทีหลินสวินนึกว่า เมื่อตนมาถึงสำนักศึกษามฤคมรกต สิ่งที่ควรหวั่นกลัวที่สุดก็คือการแก้แค้นจากตระกูลจั่วและฉิน สองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาละเลยตระกูลฉู่ ทั้งประเมินความแน่วแน่ร้ายกาจที่ตระกูลฉู่หมายจะแก้แค้นตนต่ำเกินไป!
“หลินสวิน เจ้าคงไม่หาว่าข้าทำเกินหน้าที่ที่ช่วยเจ้าตอบรับเรื่องนี้ใช่ไหม”
ฉู่ซานเหอเอ่ยพลางหัวเราะลั่น
หลินสวินหรี่ตาลง เกลียดจนอยากทุบใบหน้าจอมปลอมนี้ของฉู่ซานเหอให้แหลกละเอียด
แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “รองหัวหน้าสาขาฉู่ ท่านเคยได้ยินเรื่องตอนที่ข้าได้รับรองให้เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณกระมัง”
ฉู่ซานเหอนิ่งชะงัก ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็น ราวกับเดาได้ว่าหลินสวินจะพูดอะไร
กลับเห็นหลินสวินพูดพลางยิ้มว่า “ตอนนั้นมีคนผู้หนึ่งนามว่าฉู่ไห่ตง ปากพ่นคำพูดเพ้อเจ้อ จะใช้การรับรองของเก้าศิลาประตูมังกรมาพิสูจน์ว่าระหว่างข้ากับเขา ใครกันแน่ที่โง่เง่าไม่รู้ความ และใครกันแน่ที่เป็น…ไอ้โง่”
สีหน้าของฉู่ซานเหอถมึงทึงนัก ส่วนคนอื่นในที่นั้นต่างขวัญสะท้าน คิดไม่ถึงว่าในเวลาแบบนี้หลินสวินจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
สำหรับฉู่ซานเหอ หรือแม้กระทั่งตระกูลฉู่ทั้งตระกูลแล้ว นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวและเป็นรอยแผลเป็นที่น่าอับอายหาใดเปรียบ!
หลินสวินดูราวไม่รับรู้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป รอยยิ้มยิ่งอบอุ่นสดใสมากขึ้น เอ่ยช้าๆ ว่า “ผลลัพธ์สุดท้ายคิดว่าท่านย่อมรู้ดี ดังนั้นตอนนี้รองหัวหน้าสาขาฉู่ต้องการจะใช้วิธีเช่นนี้ทำให้ข้า…แสดงฝีมือจริงหรือขอรับ”
——