บทที่ 463 ความกังวล + บทที่ 464 บุรุษก็ออดอ้อนเป็น

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 463 ความกังวล

เฉียวเทียนช่างพยักหน้า ก่อนเดินจากไปพร้อมหนิงเมิ่งเหยา พวกเขาแวะไปทั่วหมู่บ้านเพื่อเอาของฝากให้กับตระกูลที่คุ้นเคย เมื่อให้หมดแล้ว พวกเขาจึงตรงกลับไปที่บ้านของหยางจู้

ตอนที่ทั้งสองมาถึง หยางจื้อกลับมาจากสถานศึกษาแล้ว ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยา “พี่เมิ่งเหยา ท่านกลับมาแล้ว ข้าคิดถึงท่านมากเลย”

“พี่ก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน เจ้าเป็นเด็กดีเชื่อฟังท่านอาจารย์หรือเปล่า” หนิงเมิ่งเหยายิ้มออกมาแล้วถามขึ้นในทันที นางชอบเด็กผู้ชายแก่นแก้วเช่นนี้ยิ่งนัก

จื้อเอ๋อร์รีบพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว ท่านอาจารย์ชอบข้ามาก ท่านพี่ ข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง…”

บทสนทนาระหว่างจื้อเอ๋อร์และหนิงเมิ่งเหยาได้ยินไปทั่วทั้งสวน คนอื่นๆ ยืนฟังทั้งสองคุยกันอยู่ด้านข้าง โดยเฉพาะเฉียวเทียนช่าง

แต่พอฟังได้ครู่หนึ่ง เขาก็มีความคิดหนึ่งที่แล่นเข้ามา พอโตขึ้นลูกของเขาจะน่ารักขนาดนี้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น เขาคงจะมีความสุขเอามากๆ

หนิงเมิ่งเหยาเห็นสายตาของเฉียวเทียนช่างวูบไหว ดูเหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงหันหน้าไปถามเบาๆ “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ”

“ข้ากำลังสงสัยว่าลูกของพวกเราจะฉลาดเท่าจื้อเอ๋อร์หรือไม่”

“ต้องฉลาดอยู่แล้วสิ” แน่นอนว่าพวกเขาต้องสอนลูกของตัวเองอย่างดีอยู่แล้ว

เฉียวเทียนช่างพยักหน้า เขาวางมือลงบนหน้าท้องของหนิงเมิ่งเหยา ลูกในท้องขยับตัวทันทีที่มือของเขาวางลงตรงนั้น ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้เฉียวเทียนช่างมีความสุขอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกิน

การแสดงความรักโดยไม่สนใจสายตาจากคนรอบข้างเช่นนี้ทำเอาหนิงเมิ่งเหยาถึงกับเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย นางลูบจมูกตัวเองอย่างประหม่า ดวงตาของนางไหววูบ

“ความสัมพันธ์ของพวกเจ้ายังดีเหมือนเคย” นางหยางหัวเราะ ก่อนจะกล่าวขึ้นขณะมองทั้งสองคน

แล้วนางก็นึกถึงบุตรสาวของตนขึ้นมา หยางเล่อเล่อ เฮ้อ ในไม่ช้าเด็กคนนั้นจะอายุสิบแปดปีแล้ว แต่พอพูดเรื่องการแต่งงานขึ้นมาทีไร นางก็เอาแต่บอกให้พักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเสียทุกครั้ง ตอนนี้เด็กคนนั้นกลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวแล้ว ทุกคนในหมู่บ้านล้วนแต่ชี้นิ้วมาที่ตระกูลของพวกนางและบอกว่าบุตรสาวของนางยังไม่ได้ตบแต่งเสียที คงเพราะไม่มีใครนึกสนใจนางเป็นแน่

พวกเขาอยากบอกให้บุตรสาวเลิกออกไปทำงานข้างนอกเสียที แต่เมื่อเห็นว่านางมีความสุขมากถึงเพียงนั้น พวกเขาก็พูดอะไรไม่ออก

“ป้าหยาง เกิดอะไรขึ้น ท่านหนักใจเรื่องอะไรอยู่หรือ” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกสงสัยเมื่อนางเห็นท่าทางหนักใจของนางหยาง

นางหยางถอนหายใจออกมา “ก็เรื่องเล่อเล่อน่ะสิ นางอายุเกือบจะสิบแปดแล้ว ถึงตระกูลเราจะร่ำรวยขึ้น แต่คนในหมู่บ้านต่างก็บอกว่าเล่อเล่อกำลังจะเป็นสาวเทื้อ”

หนิงเมิงเหยาพลันรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อนางได้ยินดังนั้น “ป้าหยาง ท่านสบายใจเถอะ ปีนี้เล่อเล่อจะต้องได้แต่งงานแน่”

“เจ้าว่าอะไรนะ” นางหยางเริ่มมีชีวิตชีวาเมื่อนางได้ยินคำพูดนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรที่พวกเขายังไม่รู้อยู่อีก

หนิงเมิ่งเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและบอกนางหยางเรื่องที่เหลยอันมาขอกับตน นางยังบอกนางหยางด้วยว่าตอนนี้เหลยอันอยู่ในสนามรบ และเมื่อเขากลับมา เขาต้องตรงมาทำการสู่ขอแน่

เหลยอันและหยางเล่อเล่อนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาได้สักพักหนึ่งแล้ว หยางเล่อเล่อยังเคยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับนางให้หนิงเมิ่งเหยาฟัง นางรู้สึกว่าทั้งสองคนน่าจะได้แต่งงานกันในไม่ช้า

เมื่อได้ยินว่าคนผู้น้ันคือเหลยอัน นางหยางพลันรู้สึกโล่งอกขึ้นมา “เหลยอันน่ะหรือ หากเป็นเด็กคนนั้นข้าก็โล่งใจแล้วล่ะ แต่ทำไมเขาถึงไปอยู่ในสนามรบได้เล่า เจ้าก็รู้ว่าหอกดาบในสมรภูมินั้นไม่เคยปรานีผู้ใด”

“เขาน่าจะกลับมาในไม่ช้านี้แล้วล่ะ ป้าหยาง ท่านอย่ากังวลใจไปเลย”

“อืม เช่นนั้นข้าก็เบาใจ” นางหยางคิดในใจ เหลยอันคงเป็นขุนนางจริงๆ แต่เขากลับดูไม่เหมือนขุนนางเอาเสียเลย ในอนาคตคนพวกนั้นจะต้องนึกอิจฉานางแน่ที่มีลูกเขยเป็นถึงขุนนาง นางจะรอดูว่าจะมีใครกล้าหัวเราะเยาะเล่อเล่ออีกหรือเปล่า

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกขำเมื่อเห็นนางหยางแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าจนหมด นางไม่อาจกลั้นยิ้มเอาไว้ได้ นางหยางในเวลานี้นั้นช่างน่ารักยิ่งนัก

“ข้าจะไปทำกับข้าวล่ะ” นางหยางรู้สึกเขินขึ้นมาเมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยายิ้มขณะมองหน้านาง นางผุดลุกขึ้นและเดินเข้าไปในครัว

ท่าทางลนลานรีบหนีของนางหยางทำเอาหยางจู้และคนที่เหลือหัวเราะออกมา

หยางจู้เองก็กังวลเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวเช่นกัน แต่ในเมื่อบัดนี้เขารู้แล้วว่าเหลยอันมีความคิดเช่นนั้นอยู่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมให้นางหยางออกไปหาว่าที่ลูกเขยคนอื่นมาแน่ หากเทียบกับคนที่พวกเขาไม่รู้จัก คนคุ้นเคยอย่างเหลยอันนั้นนับว่าเชื่อใจได้มากกว่า

ตกเย็นหยางอี้และภรรยาของเขาจึงมาพบกับหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่าง พวกเขาคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง

หนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างพากันกลับไปหลังฟ้ามืด

“พี่เมิ่งเหยา หลังจากนี้พวกท่านจะจากไปไหนอีกหรือไม่” ก่อนที่ทั้งสองจะกลับ หยางจื้อก็รั้งพวกเขาเอาไว้และเอ่ยถามด้วยท่าทางน่าสงสาร

บทที่ 464 บุรุษก็ออดอ้อนเป็น

“จากนี้ไปข้าจะอยู่ที่นี่ แต่ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข้าก็ยังต้องไปจัดการอยู่” เดิมทีหนิงเมิ่งเหยาคิดว่าพวกเขาจะไม่จากไปไหนอย่างแน่นอน แต่หลังจากคิดดูอีกที ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องจัดการ นางจึงกล่าวเสริม

หยางจื้อพอใจเมื่อได้ยินดังนั้น “เช่นนั้นข้าก็ดีใจ” ท่าทางอันมีความสุขของเขาทำให้นางหยางต้องเอ่ยปากว่า หลังจากที่มีพี่สาว เด็กคนนี้คงไม่ต้องการแม่ตัวเองอีกต่อไปแล้วกระมัง

จากนั้นนางก็ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “เจ้าหลานคนนี้”

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาได้ยินดังนั้น นางก็หัวเราะออกมาทันที นางเรียกหยางอี้และภรรยาของเขาว่าพี่ชายและพี่สะใภ้ แต่ลูกของพวกเขากลับเรียกนางว่าพี่สาว ไม่ฟังดูแก่แดดไปหน่อยหรือ

“จื้อเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าต้องเรียกนางว่าท่านอานะ” นางหยางมองหลานชาย ของตนอย่างเอ็นดู

หยางจื้อพึมพำเบาๆ ว่า “แต่ข้าชอบเรียกนางว่าพี่เมิ่งเหยานี่”

นางยื่นมือไปลูบศีรษะหลานชาย แล้วจึงอธิบายด้วยท่าทางอันอ่อนโยนว่า “เมิ่งเหยาอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อและแม่ของเจ้า หากเจ้าเรียกนางว่าพี่ ลำดับรุ่นจะสับสนกันไปหมดนะ”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น หยางจื้อจึงเรียกนางอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่า “ท่านอา”

“เชื่อฟังดีจริงๆ ไม่ว่าเจ้าจะเรียกข้าว่าท่านอาหรือพี่สาว แต่ข้าก็ยังเป็นข้าอยู่ดี ถูกหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยายิ้มแล้วกล่าวเสริมเมื่อเห็นอารมณ์ที่แปรปรวนของหยางจื้อ

หยางจื้อรู้สึกว่าเป็นจริงอย่างที่นางว่า ไม่ว่าเขาจะเรียกนางอย่างไร นางก็ยังเป็นคนเดิม และปฏิบัติกับเขาอย่างดีเหมือนเดิม

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว “ท่านอา ข้าเข้าใจแล้ว”

“เก่งมาก พี่หยาง พี่สะใภ้ พวกข้าขอตัวกลับก่อนล่ะ”

“เช่นนั้นก็รีบกลับเสีย ท้องเจ้าใหญ่ขนาดนี้ ต้องเหนื่อยมากแล้วแน่ ๆ” นางหยางรีบบอกให้พวกเขากลับบ้าน

ทั้งสองเดินเคียงคู่กันบนถนนอันเงียบสงบ หนิงเมิ่งเหยาเงี่ยหูฟังสรรพเสียงด้านข้างที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของนางโค้งขึ้น นางเหมาะกับที่แห่งนี้มากกว่าจริงๆ

เฉียวเทียนช่างยืนมองหนิงเมิ่งเหยาจากทางด้านหลัง ในดวงตาของเขามีความอ่อนโยนและรักใคร่อยู่ภายใน

เมื่อทั้งสองมาถึงบ้าน ท่านยายฉินนั้นเตรียมอาหารเอาไว้รออยู่แล้ว หนิงเมิ่งเหยารู้สึกจนใจเมื่อเห็นเช่นนั้น “ท่านยาย เหตุใดจึงต้องเตรียมอาหารไว้ให้ข้ามากมายถึงเพียงนี้ด้วย”

“เมื่อคุณหนูออกไปข้างนอก ข้าก็คิดว่าคุณหนูคงจะกลับมาทานมื้อเย็นอย่างแน่นอนแต่ใครจะคิดว่าพวกท่านทั้งสองจะกลับมาหลังจากทานอาหารข้างนอกแล้วล่ะเจ้าคะ” มันดึกมากขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาต้องกลับมาหลังจากกินข้าวที่บ้านใครสักคนอยู่แล้ว

หนิงเมิ่งเหยาหน้าเจื่อน นางกับสามีลืมบอกยายฉินว่าจะไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน “เช่นนั้นขอข้าดื่มน้ำแกงสักถ้วยหน่อยได้หรือไม่”

น้ำแกงของท่านยายฉินรสชาติเยี่ยมยอดกว่าพ่อครัวในวังหลวงมากนัก ในเวลาปกติ หนิงเมิ่งเหยามักจะได้ดื่มมันเสมอ ที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นไม่มีอาหารจำพวกแกงเลยสักถ้วย ดังนั้นนางจึงรีบรับถ้วยน้ำแกงมาแล้วใช้ช้อนตักน้ำแกงร้อนๆ นั้นเข้าปากในทันที

“อร่อย”

หลังจากซดน้ำแกงในชามแล้ว หนิงเมิ่งเหยาก็ขึ้นไปชั้นบนเพื่อล้างตัวและเตรียมพักผ่อน

ความรู้สึกที่ไม่มีรายการโทรทัศน์ดูแก้เบื่อก่อนนอนนั้นช่างน่าเศร้ายิ่งนัก พอฟ้ามืด นางก็ไม่มีอะไรทำนอกจากต้องนอนสถานเดียว

“ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าไปปีนเขากัน เจ้าอยากไปปีนเขามาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ” พอนางรู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่ นางก็เอาแต่พูดเรื่องปีนเขาไม่หยุดหย่อน ตอนนี้นางมีโอกาสที่จะได้ไปปีนเขาสมใจอยากแล้ว

เมื่อได้ยินดังนั้น หนิงเมิ่งเหยาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันที

“จริงหรือ”

“ข้าเคยโกหกเจ้าต้ังแต่เมื่อไรกัน” เฉียวเทียนช่างรู้สึกขบขันเมื่อมองหนิงเมิ่งเหยา

หนิงเมิ่งเหยาส่ายศรีษะไปมา

“เช่นนั้นก็หลับตานอนเสีย หากเจ้าไม่อยากนอน ข้าช่วยเจ้าได้นะ” เฉียวเทียนช่างขบกัดใบหูของนางด้วยความรัก

ใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยาพลันขึ้นสี นางรู้สึกเขิน

“ข้า… ข้าจะนอนแล้ว”

เขามองดูหนิงเมิ่งเหยาที่รีบล้มตัวลงนอนด้วยความตกใจ ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ช่างงดงามยิ่งนัก

เขายื่นมือไปทาบบนหน้าท้องของหนิงเมิ่งเหยา “เฮ้อ เมื่อไหร่เด็กคนนี้จะคลอดเสียทีนะ” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความคับข้องใจและฟังดูน่าสงสารในที ราวกับว่าเขากำลังถูกกลั่นแกล้งอยู่ก็ไม่ปาน

หนิงเมิ่งเหยากลั้นขำเมื่อได้ยินเช่นนั้น “พอแล้ว”

เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตากระหาย “เหยาเอ๋อร์…” การลากเสียงยาวๆ ของเขาทำเอาหนิงเมิ่งเหยาสั่นสะท้าน นางกลอกตาใส่ชายผู้ไร้จรรยาตรงหน้าตน “พอแล้ว เจ้าเป็นผู้ชายตัวโตแล้วนะ”

“เป็นผู้ชายตัวโตแล้วอย่างไร ผู้ชายตัวโตแล้วทำตัวออดอ้อนภรรยาตัวเองไม่ได้หรือ” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยด้วยความมั่นใจ

แต่หนิงเมิ่งเหยากลับรู้สึกตกตะลึง “เจ้ายังกล้าพูดเรื่องนี้ออกมาอีกหรือ”

เฉียวเทียนช่างรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนักขณะมองท้องกลมโตของนาง เขากำลังคำนวณเวลาอยู่ในใจ ยังเหลืออีกสามเดือน

“นอนเถอะ” เฉียวเทียนช่างนอนลงบนเตียง เขากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดหากมองไม่เห็นมัน

ทั้งที่เห็นแต่กลับสัมผัสไม่ได้ มันช่างอึดอัดเหลือเกิน