ตอนที่ 242 ไต้ซือเล่าเรื่อง

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งงุนงง ไม่นึกเลยว่าถานจวี่กั๋วจะให้เกียรติเขาขนาดนี้ พระธรรมเขาลึกล้ำ? ฟางเจิ้งไม่คิดแบบนั้น มากสุดเขาเพียงตรึกตรองจากมุมมองที่ดีเท่านั้น ทว่าเขาก็ยังเอียงตัวหลีกทางให้ “อมิตาพุทธ อาตมาอ่านคัมภีร์มาไม่กี่ม้วน ไม่มีพระธรรมลึกล้ำอะไร เชิญประสกด้านใน ถ้ามีข้อสงสัยอาตมาจะตอบให้อย่างเต็มที่แล้วกัน”

สื่อต้าจู้พยักหน้าแล้วตามฟางเจิ้งเข้าไปในวัด

เขานั่งลงบนหินใหญ่ที่ทำเป็นม้านั่งใต้ต้นโพธิ์สบายๆ ฟางเจิ้งหยิบชามน้ำออกมาสองชาม สื่อต้าจู้รับไว้ เอ่ยขอบคุณแต่กลับไม่ดื่ม เพียงพูดด้วยความร้อนใจ “เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ผมมีลูกชายคนหนึ่ง เด็กคนนี้ฉลาดมาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่คิดหาความก้าวหน้า ทุกครั้งที่ให้เขาออกไปเผชิญโลก เป็นตายยังไงก็จะไม่ไป เอาแต่เพาะปลูกอยู่ที่บ้าน ท่านว่าสมัยนี้เพาะปลูกจะมีอนาคตอะไร? ผมบอกเขาหลายครั้งแล้ว แต่เขาไม่ฟังเลย แถมยังทะเลาะกับผมอีก โกรธจนหนีออกจากบ้านไปหลายวันถึงกลับมา เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านว่าผมผิดเหรอ? ผมอยากให้เขาได้ดี เขาอายุยังน้อย ออกไปเผชิญโลกบ้างดีกว่าหดหัวอยู่แต่ในหมู่บ้านไหม? เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านว่ามีวิธีให้เขาออกไปไหม?”

ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ดื่มน้ำบริสุทธิ์หนึ่งอึกแล้วถึงตอบเนิบๆ “ประสก อาตมาจะเล่าเรื่องให้ฟังดีไหม?”

“หา?” สื่อต้าจู้อึ้งไป เขามาขอให้ช่วยแก้ปัญหา ทำไมกลายเป็นฟังเรื่องราว? แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างมีมารยาท สื่อว่ายอมฟัง

ฟางเจิ้งถึงเอ่ย “ในสมัยโบราณมีแคว้นหนึ่ง ในแคว้นมีราชครูคนหนึ่ง ราชครูมีฐานะสูงมากในแคว้น แต่อายุมากแล้วอยากจะหาคนมาสืบมรดกต่อ ข้างกายเขาไม่มีใคร มีเพียงคนรับใช้ คนรับใช้ซื่อสัตย์ เคารพราชครูมาก รับใช้อย่างดีทุกคืนวัน ราชครูจึงอยากให้คนรับใช้สืบทอดมรดกต่อจากเขา ดังนั้นคืนหนึ่ง เขาพลันตะโกนเรียกคนรับใช้ว่า ‘พระพุทธองค์?’”

สื่อต้าจู้พูด “ตะโกนเรียกคนรับใช้ว่าพระพุทธองค์? นี่…ใครจะกล้าขานรับล่ะเนี่ย”

ฟางเจิ้งพยักหน้า “ใช่ คนรับใช้ก็คิดแบบนั้น จึกรีบคุกเข่าลง ส่ายหน้าว่า ‘ข้าเป็นข้ารับใช้ ไม่ใช่พระพุทธองค์ ท่านราชครูเรียกผิดแล้วขอรับ’

ในคืนวันที่สอง ราชครูตะโกนเรียกคนรับใช้อีก ‘พระพุทธองค์?’

คนรับใช้ยังคงคุกเข่า ส่ายหน้าบอกว่าตนไม่ใช่ เป็นอย่างนี้ไปสามวัน ราชครูเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจด้วยความจนปัญญา ‘ศิลาไร้รูต้องมีคนรับหน้าที่ เดือดร้อนไปถึงลูกหลาน ปรารถนาจะให้เป็นหน้าเป็นตาและที่เอ่ยถึงวงศ์ตระกูล จักต้องเดินเท้าเปล่าบนภูเขาดาบ’ ไม่นานราชครูสิ้นชีพลง คนรับใช้ก็ยังเป็นคนรับใช้ ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร”

“หมายความว่ายังไง?” สื่อต้าจู้ไม่เข้าใจ

ฟางเจิ้งมองต้นโพธิ์เหนือหัว “ถึงราชครูจะมีพระธรรมลึกล้ำ แต่อายุมากจิตใจเปล่าเปลี่ยว ใช้วิธีกดหัววัวกินหญ้ากับคนรับใช้ อยากจะให้เขาตรัสรู้ แต่คนรับใช้เป็นเพียงคนรับใช้ ไม่ใช่พระพุทธองค์ จะตรัสรู้ได้อย่างไร?”

สื่อต้าจู้เข้าใจแจ่มแจ้ง “เจ้าอาวาสฟางเจิ้งหมายความว่าผมใช้วิธีผิดเหรอ? ถ้าอย่างนั้นผมควรทำยังไง?”

ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ราดน้ำในชามที่ถืออยู่ลงบนพื้น

สื่อต้าจู้มองพลางถามด้วยความฉงน “หมายความว่าไงครับ?”

ฟางเจิ้งตอบ “ประสกดูน้ำนี่ ประสกไม่สนใจมัน มันสนแค่ไหลลงลึก แต่ว่า…” ขณะพูดอยู่นี้ ฟางเจิ้งใช้นิ้ววาดร่องสายหนึ่งข้างๆ น้ำ น้ำจึงไหลไป

สื่อต้าจู้ตบเข้าหน้าผาก ร้องเสียงดัง “ผมเข้าใจแล้ว! เพราะอำนาจและผลประโยชน์ชี้นำใช่ไหมครับ? ขอบคุณมากครับไต้ซือ ผมเข้าใจแล้ว!”

ฟางเจิ้งยิ้ม “อมิตาพุทธ อาตมาฟางเจิ้ง ไม่คู่ควรกับคำว่าไต้ซือหรอก”

“ไต้ซือเกรงใจไปแล้ว คู่ควรสิ! คู่ควรที่สุด!” สื่อต้าจู้ขอบคุณรัวๆ จากนั้นยกชามน้ำดื่ม “ไต้ซือฟางเจิ้ง ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ…หืม? น้ำนี่…ทำไมอร่อยแบบนี้?”

ฟางเจิ้งเอ่ย “จิตใจดี ทุกอย่างล้วนดี”

สื่อต้าจู้ไม่ได้คิดอะไรมาก เอ่ยลาไปแล้วรีบวิ่งลงเขาไป

ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังสื่อต้าจู้พลางน้อยใจนิดๆ ลูกที่มีบุพการีโชคดีจริงๆ

“ระบบ อาตมาทำภารกิจมีชื่อเสียงเล็กน้อยสำเร็จแล้ว ไม่มีภารกิจต่อไปเหรอ?” ฟางเจิ้งถามด้วยความแปลกใจ

“นายทำภารกิจมือใหม่ทั้งหมดเสร็จแล้ว ตอนนี้วัดเอกดรรชนีมีชื่อเสียงเล็กน้อย อีกทั้งคาดการณ์ว่าจะมั่นคงต่อไปด้วย ดังนั้นระบบจะเปลี่ยนวิธีการประกาศภารกิจ ภารกิจจากนี้ไปจะตัดสินตามญาติโยมที่มาวัดเอกดรรชนี ตอนนี้ยังไม่มีญาติโยมที่ตรงตามภารกิจ เลยไม่มีภารกิจชั่วคราว”

“โอเค” ฟางเจิ้งผิดหวังนิดๆ ถึงภารกิจแต่ละครั้งจะบ้าบอหน่อยๆ แต่รางวัลนั่นทำให้ฟางเจิ้งน้ำลายไหล อีกอย่างคำนวณดีๆ แล้ว ภารกิจเหล่านั้นใช่ว่าจะไม่มีทางสำเร็จ มิหนำซ้ำไม่ว่าจะมีระบบหรือไม่ มันก็ยังเป็นเรื่องที่เขาทำได้ ในเมื่อไม่ว่ายังไงก็ต้องทำแถมยังได้ผลประโยชน์อีก นั่นเท่ากับได้มาฟรีๆ ตอนนี้ไม่มีภารกิจย่อมหดหู่เล็กน้อย

สื่อต้าจู้ลงเขามาเห็นถานจวี่กั๋วนั่งสูบยาเส้นอยู่หน้าหมู่บ้าน พอสองคนเจอหน้ากัน ถานจวี่กั๋วด่ายิ้มๆ “ตาแก่ ไม่อยู่ใช้เงินสบายๆ ของแกไปล่ะ มาทำอะไร?”

“เหอะๆ ตาแก่นี่ รู้แล้วจะแสร้งถามทำไม? แต่ว่าเรื่องครั้งนี้ต้องขอบคุณแกจริงๆ นะ เจ้าอาวาสรูปนี้ได้มาตรฐาน ถึงจะเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่ถ้าคนอื่นพูดฉันไม่ฟังหรอก แต่เขาพูดนิดหน่อย เล่าเป็นเรื่องราว ฉันกลับฟัง มีเหตุมีผลในตัวมันอยู่แล้ว แต่กลับรื่นหู! ไม่เหมือนตาแก่อย่างแก แค่อ้าปากก็ด่าแม่กันแล้ว” สื่อต้าจู้พูดยิ้มๆ

“รื่นหู แกรีบกลับไปดูแลลูกแกเถอะ ไม่เคยเห็นใครไม่ได้เรื่องไปกว่าเขาแล้ว” ถานจวี่กั๋วว่า

“เอาเถอะ ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับแกเหมือนกัน รอฉันแก้ปัญญาเรื่องลูกได้ก่อนไว้จะมาคุยด้วยอีก” สื่อต้าจู้พูด

“คุยอะไร? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ความดีความชอบของฟางเจิ้งนู่น ถ้าแกอยากขอบคุณเขาจากใจจริง แกก็เห็นภูเขาโทรมๆ นั่นแล้วนี่ การซ่อมทางต้องใช้หิน แกคิดว่าไงล่ะ?” ถานจวี่กั๋วพูด

“ขอแค่จัดการลูกฉันได้ เรื่องหินฉันรับเหมาเอง!” สื่อต้าจู้หัวเราะ

“อย่างนั้นก็รีบไปเถอะ ไม่มีข้าวเย็นให้แกหรอกนะ” ถานจวี่กั๋วโบกถุงยาสูบ

สื่อต้าจู้หัวเราะแล้วออกจากหมู่บ้านไป ขึ้นรถเก๋งคันหนึ่งออกไป ตอนแรกเขาโกหกกับฟางเจิ้ง ถึงเขาจะเป็นเกษตรกร ทว่าไม่ใช่เกษตรกรธรรมดา แต่เป็นธุรกิจเกษตรกร มีภูเขาหินของตัวเอง สร้างรายได้ทุกปีไม่น้อย ทว่ากลับมีลูกชายที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่คนหนึ่ง วันๆ ไม่ทำงาน เอาแต่นั่งนอนในโรงงาน ไม่มีแม้แต่ความคึกคักของวัยรุ่น พอเห็นว่าเด็กๆ ในหมู่บ้านต่างทยอยกันออกไป ไม่ว่าทำอะไร ไม่ว่าหาเงินได้เท่าไร แต่ทุกคนพึ่งตัวเองด้วยความสามารถของตัวเอง กตัญญูบุพการี

สื่อต้าจู้ชื่นชมในจุดนี้มาก หันกลับมามองลูกชายตัวเอง แม้ชีวิตจะดีกว่าคนอื่นเขา แต่ในด้านจิตใจเป็นขยะ! สื่อต้าจู้ใช้แรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อเขา ตีก็ตีไม่น้อย ด่าก็ไม่น้อย แต่กลับไม่มีประโยชน์ เร็วๆ นี้สองคนทะเลาะกัน ก่อนจบความสัมพันธ์กันอย่างเด็ดขาด…

…………………….