ลมหนาวพัดหวีดหวิว ในหุบเขาเย็นยะเยือกเป็นยิ่งนัก มาตรว่าศิษย์หนุ่มสาวเหล่านี้จะเป็นผู้บำเพ็ญพรต แต่พวกเขาก็ค่อนข้างลำบากเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างต้องไปยืนหลบอยู่หลังก้อนหินหรือภายในถ้ำ เสียงพูดคุยของพวกเขาเองก็ถูกลมหนาวหั่นสะบั้น ประเดี๋ยวดังประเดี๋ยวหาย
“เหตุใดยังต้องรออีกหนึ่งวัน? เขาได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตไปแล้ว แต่พวกเรายังขาดอีกตั้งเยอะ ต้องรีบทำเวลานะ”
“พวกเจ้าน่ะยังดี แค่วันเดียวเอง พวกข้านี่สิ เพื่อที่จะมาเจอกับพวกเจ้าที่นี่แล้ว เสียเวลาไปสี่วันแล้วเนี่ย”
“บ้าจริงๆ เลย ทำไมเขาบอกไม่ไป เราก็ต้องไม่ไปด้วย?”
ทุกคนต่างรู้ว่านี่เป็นความคิดของจิ๋งจิ่ว
หากจิ๋งจิ่วมิได้มาจากชิงซาน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสถานะสูงส่ง อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากไป๋เจ่า เกรงว่าทุกคนคงจะโวยวายขึ้นมานานแล้ว
กระทั่งศิษย์ชิงซานเหล่านั้นก็ยังรู้สึกกลุ้มใจ เพียงแต่มิกล้ากล่าวกระไร
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เจ้าคิดว่าด้านหน้าจะเกิดเรื่องใหญ่ เลยจะรวบรวมคนเอาไว้เยอะๆ ใช่หรือเปล่า?”
ไป๋เจ่ามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวถามเสียงเบาๆ
จริงอยู่ที่แคว้นเสวี่ยน่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ด้านหน้าอาจจะมีอันตรายที่ร้ายแรงอย่างมากรออยู่
แต่จิ๋งจิ่วมิได้คิดจะรวบรวมกำลังทั้งหมดที่สามารถรวบรวมได้เพื่อจะต่อกรกับอันตรายที่ยังไม่ทราบเหล่านั้น
“รออีกสองวัน” เขากล่าวกับไป๋เจ่า
หลังผ่านการเดินทางในช่วงหลายวันมานี้ ไป๋เจ่าคาดเดาจุดประสงค์ของเขาได้แล้ว
จิ๋งจิ่วทราบเส้นทางและความเร็วในการเดินทางของแต่ละกลุ่ม เส้นทางที่เขาเลือกสามารถนำไปพบกับกลุ่มย่อยเหล่านี้ได้ในเวลาที่สั้นที่สุด
ไป๋เจ่าคำนวณดูแล้ว หากรออยู่ในหุบเขาแห่งนี้อีกครึ่งวัน นางก็จะได้เจอกับกลุ่มย่อยอีกสองกลุ่ม
สถานการณ์เหมือนกับก่อนหน้านี้ทุกอย่าง ในสองกลุ่มนี้ล้วนแต่มีลูกศิษย์ของชิงซานอยู่กลุ่มละคน
พระอาทิตย์เลยกึ่งกลางท้องฟ้าไปแล้ว ลมหนาวค่อยๆ รุนแรงขึ้น อุณหภูมิยิ่งลดต่ำลง
เสียงพูดคุยของเหล่าศิษย์หนุ่มสาวค่อยๆ เงียบลง พวกเขาเริ่มทำสมาธิ ต่อสู้กับอากาศอันหนาวเหน็บ ฟื้นฟูปราณก่อกำเนิด
แต่บรรยากาศภายในหุบเขากลับมิได้สงบลงเพราะความเงียบ หากแต่ยิ่งรู้สึกกดดันขึ้น ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย แม้แต่ลมหนาวก็มิอาจพัดพาบรรยากาศเหล่านี้ให้สลายไปได้
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม กลุ่มผู้บำเพ็ญพรตกลุ่มหนึ่งมาถึงหุบเขา พวกเขาถูกรั้งตัวเอาไว้
ในตอนที่แสงอาทิตย์ห่างจากช่องแคบของหุบเขาอีกเพียงฝ่ามือเดียว กลุ่มผู้บำเพ็ญพรตกลุ่มสุดท้ายก็เดินทางมาถึงที่นี่
ในตอนที่มาถึงที่นี่ ภายในหุบเขามีกลุ่มผู้บำเพ็ญพรตทั้งหมดสิบกลุ่ม มีผู้บำเพ็ญพรตทั้งหมดสี่สิบห้าคน
ไป๋เจ่ามองดูจิ๋งจิ่ว
“ถ้าคนมาครบแล้ว เช่นนั้นก็พูดมาเถอะ อาศัยเพียงความอาวุโสของเจ้า คะแนนการประลอง ชื่อเสียง และชื่อเสียงของข้า ไม่มีทางที่จะทำให้พวกเขาหยุดรอต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ได้”
แล้วก็เป็นดั่งว่า การรอคอยอันยาวนานได้ทำให้ความอดทนของคนหนุ่มสาวเหล่านี้หมดลง บรรยากาศภายในหุบเขาเริ่มวุ่นวายขึ้นมา
ไม่รู้ว่าศิษย์สำนักไหนตะโกนขึ้นมา “พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว ทำไมถึงยังไม่เดินทางอีก?”
จิ๋งจิ่วมิได้มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยและความโกรธเคืองของคนหนุ่มสาวหลายสิบคนนั้น
เขากล่าวกับไป๋เจ่าว่า “แจ้งไปยังเรือนซีซาน ข้าขอให้ยุติการประลองวิถีพรต รีบเรียกศิษย์ทุกคนกลับทันที”
……
……
ณ จุดสูงสุดของเรือนซีซาน เมฆหมอกยังคงลอยวน เพียงแต่ท้องฟ้ายามเย็นได้มาถึงแล้ว ทั่วทั้งยอดเขาคล้ายกำลังลุกไหม้ เจ้าสำนักของแต่ละสำนักยังคงถกเถียงกันว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วจึงสั่งให้ศิษย์หนุ่มสาวหลายสิบคนหยุดเดินทาง ขณะที่กำลังตกลงกันว่าจะถ่ายทอดคำสั่งเร่งให้พวกเขาออกเดินทางหรือว่าใช้การลงโทษดีหรือไม่ ทันใดนั้นพลันได้รับแจ้งข่าวที่ส่งมาจากที่ราบหิมะ
การประลองวิถีพรตเจอกับการท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อน
ไม่ใช่ว่าเหล่าลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองเจอกับการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินอย่างฉับพลัน หากแต่เป็นเพราะเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
กระทั่งคิดก็ยังไม่เคยมีคนคิดมาก่อน
“จิ๋งจิ่วขอให้ยุติการประลองทันที แล้วเรียกศิษย์ทุกคนกลับมา”
สีหน้าเหอกั๋วกงค่อนข้างแย่
ใบหน้าของเจ้าสำนักคุนหลุนคล้ายน้ำค้างแข็ง เขากล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้านี่มันบ้าไปแล้วหรือเปล่า?”
ถ้าเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น หนานว่างคงจะกล่าวเหน็บแนมกลับไปเป็นแน่ แต่ในเวลานี้กระทั่งนางเองก็ยังรู้สึกตกใจที่จิ๋งจิ่วเสนอคำขอเช่นนี้ออกมา นางจึงมิได้กล่าวกระไร
เจ้าสำนักแต่ละสำนักต่างสบตากันมิกล่าวกระไร
ต่อให้จิ๋งจิ่วเป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่สำนักชิงซานเลี้ยงดูฟูมฟักขึ้นมา ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง แต่เจ้าเป็นเพียงศิษย์หนุ่มที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตคนหนึ่งเท่านั้น มีสิทธิ์และกล้าดีมาจากไหน ถึงมาเสนอคำขอที่น่าขันเช่นนี้
ผู้อาวุโสจากสำนักจงโจวผู้นั้นรู้สึกเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด จึงเหลือบมองไปทางหนานว่าง ก่อนกล่าวถามว่า “เหตุใดเขาจึงเสนอคำขอเช่นนี้?”
เหอกั๋วกงเลิกคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “เขาบอกว่ารู้สึกไม่ดี”
ผู้อาวุโสสำนักจงโจวสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย กล่าวว่า “แค่นี้หรือ?”
เหอกั๋วกงถอนใจ กล่าวว่า “ถูกต้อง ไม่มีเหตุผลอื่นอีก”
เจ้าสำนักคุนหลุนแค่นหัวเราะกล่าวว่า “แค่รู้สึกไม่ดีก็จะหยุดการประลอง? เขาคิดว่าเขาเป็นใคร?”
คลื่นอสูรจำนวนมหาศาลเมื่อสองร้อยปีก่อนครั้งนั้นคือการยุติการประลองวิถีพรตล่วงหน้าเพียงครั้งเดียวของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย แต่ปีนี้ได้มีการทำการยืนยันแล้วว่าไม่มีคลื่นอสูร
การประลองวิถีพรตได้ดำเนินมาครึ่งหนึ่งแล้ว ศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองได้เข้าไปยังที่ราบหิมะ บนท้องฟ้าทุกที่เต็มไปด้วยกระแสลมอันรุนแรงทั่วทุกที่ หากจะยุติการประลองและรับพวกเขากลับมาจริงๆ ก็จำเป็นต้องใช้ของวิเศษประจำสำนักของแต่ละสำนัก สิ่งสำคัญก็คือถึงแม้จะทำได้ แต่ทำไมโลกแห่งการบำเพ็ญพรตถึงต้องทำเรื่องนี้เพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของจิ๋งจิ่วด้วย?
เพราะหลายวันมานี้มีหมอกอันหนาวเย็นปรากฏขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราว หรือเป็นเพราะแมลงเส้นเหล็กที่มิได้ปรากฏขึ้นมาอีกตัวนั้น?
ต่อให้เป็นดั่งที่ไป๋เจ่าคาดการณ์เอาไว้จริง เป็นเพราะแคว้นเสวี่ยเกิดเรื่อง เหล่าสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ยที่หลบซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นน้ำแข็งจึงพากันถอยกลับไป แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการประลองวิถีพรตด้วย?
“ไม่ว่าเขาจะเลอะเลือนเพราะอะไร แต่การที่เขาฝ่าฝืนกฎอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องได้รับการลงโทษ”
เจ้าสำนักคุนหลุนกล่าวเสียงเย็นยะเยือก “ข้าขอให้ยกเลิกสิทธิ์ในการเข้าร่วมการประลองของจิ๋งจิ่ว”
สีหน้าหนานว่างเปลี่ยนเป็นดูแย่
……
……
การประลองวิถีพรตย่อมไม่มีทางหยุดลงเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของจิ๋งจิ่ว
ก็เหมือนอย่างที่เจ้าสำนักคุนหลุนกล่าวไว้ เขามิได้มีความสำคัญขนาดนั้น แล้วก็ไม่มีสิทธิ์นั้น
สถานการณ์ในตอนนี้ได้กลายเป็นกว่าควรจะมีการลงโทษจิ๋งจิ่วอย่างไร สำหรับเรื่องที่เขากระทำการโดยพลการ
หากวันนี้คนที่ขอให้ยุติการประลองเป็นศิษย์ธรรมดาของสำนักอื่น เขาคงจะต้องถูกยกเลิกสิทธิ์การเข้าร่วมประลอง จากนั้นถูกลงโทษอย่างหนักเป็นแน่นอน
ปัญหาอยู่ที่ว่าจิ๋งจิ่วคืออาจารย์อาเล็กของชิงซาน
ความอาวุโสของเขาอยู่ที่นี่
ยิ่งไปกว่านั้นเดิมเขาควรจะเป็นที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตของปีนี้ด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ทุกคนต่างรู้ว่าฉานจึดูจะเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษ
เหล่าอาจารย์และผู้อาวุโสของแต่ละสำนักในเรือนซีซานต่างไปยังวัดจิ้งเจวี๋ย
มีเพียงฉานจึเท่านั้นจึงจะตัดสินใจได้ว่าควรจะลงโทษจิ๋งจิ่วอย่างไร
ภายในเรือนที่อยู่ด้านในของวัดจิ้งเจวี๋ยได้จัดวางที่นั่งเอาไว้ บนโต๊ะมีน้ำชาตั้งอยู่
แต่ทุกคนยังไม่นั่งลง หากแต่มองไปทางหน้าต่างบานนั้น รอให้ฉานจึเอ่ยวาจา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงเสียงหนึ่งได้ดังออกมาจากด้านในหน้าต่าง
“จิ๋งจิ่วได้จำกัดความเคลื่อนไหวของผู้เข้าร่วมการประลองไหม? หรือว่าเขาได้ลงมือโจมตีอะไรไหม? หากไม่มี เช่นนั้นพวกเราจะลงโทษเขาด้วยเหตุผลอะไร?”
ครั้นได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าของเจ้าสำนักคุนหลุนพลันเปลี่ยนเป็นดูแย่ เขากล่าวว่า “หรือจะปล่อยให้เขาพูดจะเลอะเทอะเช่นนี้ต่อไป?”
“ในเมื่อรู้ว่าเป็นคำพูดเลอะเทอะ แล้วเหตุใดต้องไปสนใจด้วย”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ ด้านหลังหน้าต่างก็ไม่มีเสียงใดดังขึ้นมาอีก
เหอกั๋วกงเข้าใจความหมายของฉานจึ จึงยิ้มเจื่อนขึ้นมาพร้อมกล่าวกันทุกคนว่า “ช่างเถอะ ถือเสียว่าคนหนุ่มทำเรื่องไร้สาระแล้วกัน อย่างไรซะเขาก็ไม่มีทางทำให้การประลองวิถีพรตหยุดลงได้ ศิษย์หนุ่มสาวเหล่านั้นใครจะไปฟังเขา?”
……
……
ก็เหมือนที่เหอกั๋วกงว่ามา ไม่มีใครฟังจิ๋งจิ่ว
หลังทราบความต้องการของจิ๋งจิ่ว หุบเขาที่หนาวเย็นแห่งนั้นก็วุ่นวายขึ้นมาทันที
สายตาหลายสิบคู่มองไปทางจิ๋งจิ่ว ทั้งตกตะลึงและซับซ้อนยุ่งเหยิง
เดิมทีในสายตาของพวกเขามองว่า จิ๋งจิ่วที่ได้ที่หนึ่งในการประลองวิถีพรตคืออัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่ที่คู่ควรแก่การนับถือ แต่ตอนนี้พวกเขากลับมองจิ๋งจิ่วเหมือนคนบ้าคนหนึ่ง
“ทำไมถึงต้องหยุดการประลองด้วย?”
สมณะที่ดูสุขุมรูปหนึ่งจากสำนักฌานเป่าทงกล่าวถาม
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี ด้านหน้าคล้ายจะมีอันตราย”
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ กลุ่มคนยิ่งวุ่นวายขึ้นมา
เสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความโกรธเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นฉานจึหรือว่าฝ่าบาทเสินหวง หรือว่าเป็นเจ้าสำนักชิงซานของพวกเจ้า? เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
…………………………………………………………..