ภาคที่ 2 บทที่ 262 กำลังจะ

มู่หนานจือ

แม้จะกังวลอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกคนก็ยังคงสนุกกันอย่างเต็มที่ตลอดทั้งวัน

วันรุ่งขึ้นหลังจากจินย่วนไปคารวะที่กองบัญชาการต้าถง ก็ตามคนที่มาส่งของขวัญวันเกิดให้ฮูหยินเฒ่าหวงของตระกูลจินกลับไท่หยวน

จินเฉิงอดที่จะกังวลเล็กน้อยไม่ได้ จึงถามจินเซียวว่า “ไม่ไปอวยพรวันเกิดฮูหยินเฒ่าหวง เช่นนี้ได้หรือขอรับ?”

“ทำไมจะไม่ได้?” จินเซียวยืนมองประตูเมืองต้าถงที่อยู่ไกลๆ อยู่ข้างลูกกรงหน้าต่างชั้นสองของ ‘หอแรก’ มองรถม้าของจินย่วนค่อยๆ แล่นห่างออกไป “อาย่วนกลับไท่หยวนตามคำสั่งของท่านพ่อ ข้าก็ช่วยแม่ทัพหลี่รับตัวเจ้าสาวที่นี่ตามคำสั่งของท่านพ่อเช่นกัน ถึงอย่างไรตระกูลหวงก็เป็นเพียงบ้านของตากับยายของข้า จะไม่ให้ข้าทำตามคำสั่งของท่านพ่อได้อย่างไร?”

คำสั่งของบิดาใหญ่กว่าคำสั่งของมารดา ยิ่งกว่านั้นแม่แท้ๆ ของจินเซียวก็เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว

จินเฉิงไม่พูดอะไรอีก และเอ่ยถึงเรื่องที่หลี่เชียนมอบหมายเมื่อคืน “ท่านพี่ เดี๋ยวข้าก็จะออกเดินทางตามอวิ๋นหลินไปแล้ว แม่ทัพหลี่บอกว่า…องครักษ์ของฐานที่มั่นแต่ละแห่งเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น องครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาถึงจะเป็นองครักษ์ที่แท้จริง พวกเราไปกันหมดแล้ว หากพวกเขาเจอเรื่องที่ร้อนใจจนตาแดงจริงๆ ก็ไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคนของทางการหรือไม่ด้วยซ้ำ ต้องการเงินไม่ต้องการชีวิต หากดักปล้นท่านหญิงเข้าจะทำอย่างไร?”

เมื่อคืนส่งพวกเฉาเซวียนกลับไปแล้ว จู่ๆ อวิ๋นหลินที่อยู่ข้างกายหลี่เชียนก็เรียกเขาไป และให้เขาเตรียมตัวทันที วันนี้ยามอู่จะออกเดินทางไปอวี๋หลิน

เขาตกใจมาก และอยากไปบอกจินเซียว แต่จินเซียวยังคุยกับหลี่เชียนอยู่ในห้องหนังสือ เขาจึงจำเป็นต้องกลับไปพักผ่อนก่อน เช้าวันนี้อ้างว่าจะมาดูว่าโรงเตี๊ยมเตรียมการไปถึงไหนแล้วเป็นเพื่อนจินเซียว ถึงจะมีโอกาสบอกเรื่องนี้กับจินเซียว

“ในเมื่อหลี่เชียนให้เจ้าไป เจ้าก็ไป การแต่งงานกับท่านหญิงเป็นเรื่องใหญ่ เขาไม่มีทางที่จะแยกแม้แต่ลำดับความสำคัญและความด่วนไม่ออก” จินเซียวเอ่ยโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ “เจ้าไปแล้ว ต้องเชื่อฟังอวิ๋นหลินนะ”

จินเฉิงพยักหน้า และอดที่จะเอ่ยเสียงเบาไม่ได้ว่า “ความจริงแล้วข้าคิดว่าแม่ทัพหลี่เก่งมากทีเดียว ลงมือกับตระกูลเซ่าเวลานี้ อย่าว่าแต่ตระกูลเซ่าเลย คาดว่าคนที่รู้เพียงแค่ว่าเกิดเรื่องกับตระกูลเซ่าต่างก็ไม่มีทางที่จะสงสัยมาถึงแม่ทัพหลี่อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นแม่ทัพหลี่ไม่เพียงแต่กำจัดข้อสงสัยที่ไม่เป็นผลดีต่อตนเองได้อย่างสิ้นเชิง ทว่ายังทำให้ตระกูลเซ่าจับต้นชนปลายไม่ถูก และโจมตีตระกูลเซ่าอย่างไม่ทันตั้งตัวได้ด้วย…เขาช่างใจกล้าจริงๆ!”

“ไม่อย่างนั้นเขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร!” จินเซียวเอ่ยพลางถอนหายใจว่า “อย่างพวกเรานั้น กังวลนั่นกังวลนี่มากเกินไป จนกลายเป็นทำอะไรขี้ขลาด และสูญเสียโอกาสไปเปล่าๆ มากมาย”

จินเฉิงนึกถึงที่จินเซียวกังวลเรื่องแต่งงานของจินย่วนมาตลอดสองปีนี้ แต่กลับไม่สามารถหลุดพ้นจากตระกูลเซ่าได้อย่างแท้จริงสักที ก็เป็นเพราะกังวลมากเกินไปไม่ใช่หรือ

เขาพยักหน้าอย่างลึกๆ แล้วตนเองก็คิดว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน และตามจินเซียวไปตรวจดูอาหารต่างๆ ที่จะเลี้ยงแขกวันนี้ที่ห้องครัว

ทว่าทางเจียงเซี่ยนนั้นกำลังลองชุดแต่งงาน

ในที่สุดกองพระภูษาก็ตัดชุดแต่งงานทั้งชุดออกมาทันก่อนเจียงเซี่ยนจะแต่งงาน

ทอลายสีแดงเข้ม เส้นไหมทอด้วยไหมทองที่ทองอร่าม ทำให้ชุดแต่งงานทั้งชุดงดงามตระการตา

เจียงเซี่ยนชอบใจมาก และสวมชุดแต่งงานเดินไปเดินมาในห้อง

ชีกูรีบเข้าไปยกชายกระโปรงขึ้น

ฮูหยินฝางตวาดด่านางอย่างจนใจว่า “อย่าทำให้เสื้อผ้าสกปรกเลย ถึงเวลานั้นเจ้าจะใส่อะไรแต่งงาน!” แล้วก็สั่งชีกูว่า “ช่วยท่านหญิงถอดชุดแต่งงานและแขวนไว้ให้ดี ถึงวันที่ออกเรือนค่อยเปลี่ยนให้ท่านหญิง”

ชีกูขานรับว่า “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม ไม่กล้าขัดขืน

แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนก็ไม่อาจปัดความหวังดีของฮูหยินฝางได้เช่นกัน ฮูหยินฝางไล่คนรับใช้ในห้องออกไป แล้วหยิบภาพวาดการเสพสังวาสที่นำออกมาจากในวังมาเอ่ยพวกวิธีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของสามีภรรยาให้เจียงเซี่ยนฟังเสียงเบา

นางได้ยินก็เขินจนหน้าแดง

ชาติที่แล้วก่อนนางจะแต่งงานไทฮองไทเฮาก็พูดกับจ้าวอี้อย่างชัดเจนเช่นกันว่า หลังจากนางอายุครบสิบห้าปีเต็มแล้วทั้งสองคนถึงจะเข้าหอได้ จ้าวอี้ก็รับปากอย่างเต็มปากเต็มคำ ตอนนั้นนางกับไทฮองไทเฮาต่างก็ซาบซึ้งมาก ไทฮองไทเฮาอาจจะคิดไม่ถึงว่าตนเองจะจากไปเร็วขนาดนั้น จึงไม่มีใครเอ่ยเรื่องราวระหว่างสามีภรรยากับนางเช่นกัน

นางสับสนมึนงงตลอด

เวลานี้ได้ยินฮูหยินฝางอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียด นางถึงรู้ว่าสิ่งที่รู้ก่อนหน้านี้นั้นผิดแค่ไหน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างเขินอายจนหน้าแดงว่า “ตระกูลหลี่รับปากว่าจะรอจนข้าอายุครบสิบห้าปีเต็มไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ทำไมท่านป้าถึงรีบเอ่ยเรื่องพวกนี้กับข้าขนาดนี้…”

ฮูหยินฝางก็จิ้มหน้าผากของเจียงเซี่ยนอย่างโกรธและเสียดาย แล้วเอ่ยว่า “เจ้าน่ะ! ทำไมถึงโตแต่ตัวความคิดความอ่านไม่โต ถึงเวลานั้นพวกเราต่างไม่อยู่ข้างกายเจ้า ไม่ใช่ว่าคนของตระกูลหลี่พูดอะไรก็เป็นอย่างนั้นเสียหน่อย เวลานี้ไม่บอกเจ้าให้ชัดเจน แล้วจะปล่อยให้เจ้าถูกหลี่เชียนจัดการตามใจชอบอย่างนั้นหรือ?”

หลี่เชียนไม่ใช่คนแบบนั้น!

เจียงเซี่ยนอยากแก้ต่างให้เขาสักหน่อย ทว่าพอคิดอีกทีว่าหากนางดีกับหลี่เชียนเกินไป จะทำให้ท่านลุงใหญ่กับท่านป้าสะใภ้ใหญ่คิดว่านางออกเรือนแล้วเข้าข้างสามี และไม่ชอบหลี่เชียนจะทำอย่างไร?

นางจึงไม่พูดอะไรทั้งนั้น และแค่เม้มปากยิ้ม

ฮูหยินฝางยิ้มพลางส่ายหน้า และจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเอ่ยต่อไปไม่ค่อยได้แล้ว

ฮูหยินฝางเอ่ยเรื่องนี้กับเจียงเซี่ยนอย่างขาดหายเป็นช่วงๆ อยู่สองวัน วันแรกเอ่ยเรื่องในมุ้งของสามีภรรยา วันที่สองเอ่ยเรื่องวิธีการคลอดลูก

เวลานี้เองฉางเหริ่นตงก็มาถึงพร้อมกับเด็กรับใช้สองคน

ฮูหยินฝางรู้สึกดีใจเป็นพิเศษ และสั่งให้เจียงลวี่ต้อนรับฉางเหริ่นตงด้วยตนเอง

ฉางเหริ่นตงอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี รูปร่างผอมสูง ผิวขาวมาก สุภาพและมีมารยาท หน้าตาแบบฉบับบัณฑิตเจียงหนาน

ตระกูลเจียงปฏิบัติกับเขาอย่างมีมารยาทเช่นนี้ ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อยไปพักหนึ่ง แล้วก็นอบน้อมกับเจียงลวี่มากเช่นกัน หลังจากตามเจียงลวี่ไปคารวะฮูหยินฝางกับเจียงเซี่ยนแล้วก็จัดให้พักที่เรือนหลังเล็กหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเจียงเซี่ยนนัก

พอถึงวันรุ่งขึ้น ฉางเหริ่นตงก็ไปตรวจชีพจรปกติให้เจียงเซี่ยน ในเรือนของเจียงเซี่ยนกำลังวุ่นวาย สาวใช้กับหญิงรับใช้เดินกันขวักไขว่ เห็นหีบสัมภาระกับห่อผ้าสักหลาดอยู่ทั่วทุกที่ จนฉางเหริ่นตงไม่มีที่ยืนด้วยซ้ำ ไป่เจี๋ยเห็นฉางเหริ่นตงจึงรีบเข้าไปแจ้ง นางเชิญฉางเหริ่นตงไปดื่มชาในโถงบุปผาที่อยู่ข้างๆ และยิ้มพลางเอ่ยอย่างรู้สึกเสียใจว่า “ขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านหมอฉาง อีกสองวันท่านหญิงก็จะออกเรือนแล้ว พวกเรากำลังเก็บของให้นางอยู่ ท่านนั่งที่นี่ก่อน เดี๋ยวท่านหญิงก็น่าจะออกมาแล้วเจ้าค่ะ”

ถึงอย่างไรเจียงเซี่ยนก็ยังไม่แต่งงาน จึงไม่สามารถเชิญหมอเข้าไปตรวจชีพจรในห้องเหมือนเหล่าชนชั้นสูงในวังได้

ฉางเหริ่นตงเห็นไป่เจี๋ยจิตใจดีและเป็นมิตร จึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าก็เคยเป็นหมอยาในวังเช่นกัน แม่นางไม่ต้องกังวล เรื่องพวกนี้ข้าเข้าใจ หากท่านมีงาน ก็ไปทำงานของท่านเถอะ ข้าจะรออยู่ที่นี่เหมือนกัน”

ถึงเจียงเซี่ยนจะเห็นแก่หมอหลวงเถียนก็ไม่อาจปล่อยให้ฉางเหริ่นตงรอได้เช่นกัน

ไม่นานนางก็ปรากฏตัวที่โถงบุปผา

ฉางเหริ่นตงตรวจชีพจรให้เจียงเซี่ยนผ่านผ้าเช็ดหน้าและแจ้งว่าปลอดภัย

ในเวลานี้ของชาติก่อนร่างกายของเจียงเซี่ยนค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว ชาตินี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน

เจียงเซี่ยนไม่ประหลาดใจกับผลแบบนี้นัก จึงยิ้มพลางขอบคุณ และตกรางวัล แล้วสั่งให้ไป่เจี๋ยส่งฉางเหริ่นตงออกไปด้วยตนเอง ส่วนนางกลับไปต่อสู้กับพวกของกระจุกกระจิกของนางต่อในห้อง “…เอากบพับกระดาษนั้นไปด้วย แล้วก็กังหันลมที่เสียบอยู่ในไหเกอเหยาสีเขียวอมฟ้านั้น…แล้วก็กล่องที่พิมพ์ลายไผ่กับนกขมิ้นนั้นก็ต้องเอาไปด้วยเช่นกัน…”

พวกฉิงเค่อขานว่า “เจ้าค่ะ” ทีละคน และเม้มปากยิ้ม

ของพวกนั้นล้วนเป็นของที่ใต้เท้าหลี่มอบให้ท่านหญิง ท่านหญิงไม่ทิ้งแม้แต่ชิ้นเดียว

และตอนนี้ก็จะเอาไปด้วยหมด

ทว่าเจียงเซี่ยนกลับไม่ได้คิดอะไรมาก นางเพียงแค่รู้สึกว่าหีบสัมภาระเยอะไปหน่อย…ตอนที่มานางมีหีบสัมภาระที่หลี่เชียนซื้อให้นางแค่ใบเดียว ตอนที่ไปนอกจากสินเดิมแล้ว ของที่ใช้ประจำก็ใส่ไปสิบหกหีบแล้ว และจะตกหล่นไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว

แต่หลี่เชียนเคยบอกว่า บ้านที่ไท่หยวนของตระกูลหลี่เล็กมาก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใส่ของเหล่านี้ได้หรือไม่

ทว่าสำหรับนางความคิดนี้ก็เพียงแค่ฉายวาบผ่านไปเช่นกัน

ใส่ของไม่ได้ ก็มีพวกหลี่เชียนกับฉิงเค่อคิดหาทางอยู่แล้ว สิ่งที่นางต้องกังวลในเวลานี้คือจะแต่งไปไท่หยวนได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

———————————-