ตอนที่ 13 ซินเดอเรลล่า

Perfect Superstar

ตอนที่ 13 ซินเดอเรลล่า

“ตกหลุมรักเธอได้อย่างไร?

ฉันยังคอยถามตัวเอง

ฉันยอมทิ้งทุกอย่าง

ในเมื่อวันนี้ยากที่จะจากไป

เธอไม่ใช่คนสวย

แต่เธอน่ารักที่สุด!

โอ้ ซินเดอเรลล่า

ซินเดอเรลล่าของฉัน

…”

เสียงกีตาร์เคล้าคลอ ตัวโน้ตเรียบง่าย เสียงของลู่เฉินทุ้มต่ำ เจือปนความคะนึงหาและความเศร้า

ในโลกแห่งความฝันของลู่เฉิน เพลงนี้แต่งโดยนักร้องแนวร็อคแอนด์โรลที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง เพื่อมอบให้แฟนสาวผู้เป็นรักแรกของเขา ในบทเพลงแฝงไปด้วยเรื่องราวที่น่าประทับใจ

แม้ตอนจบของเรื่องราวจะไม่ได้สวยงาม แต่เพลงนี้มีเสน่ห์อย่างไม่ต้องสงสัย มันเคยเป็นที่ติดตาตรึงใจของใครหลายคน และถูกนำไปร้องหลายต่อหลายครั้ง กลายเป็นผลงานคลาสสิคเพลงเก่าที่ถูกนำมาถ่ายทอดใหม่อยู่เสมอ

ในด้านอารมณ์ของเพลง เพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันมีความคล้ายกันหลายอย่าง มีรสชาติของชีวิตแฝงอยู่ แต่เพลงนี้มีความรักความจริงใจมากกว่า แสดงถึงการโทษตัวเองและไขว่คว้าตามหาความรัก

เมื่อเพลงนี้ถูกลู่เฉินนำมาร้องเป็นครั้งแรกในโลกนี้ ก็ยังสามารถสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่ได้ฟัง

โดยเฉพาะบรรดาคู่รักในสถานที่นี้ ยิ่งซาบซึ้งดื่มด่ำกับบทเพลงมากกว่าใคร

ชายหนุ่มกุมมือของหญิงสาวคนรักแน่นขึ้น เพราะกลัวว่าเธอจะจ้องแต่ลู่เฉินที่อยู่บนเวทีไม่วางตา

เพราะเธอคือซินเดอเรลล่าของฉัน!

“…

ฉันมักทำให้เธอเสียใจ

ฉันชอบใจร้ายกับเธอ

ฉันบอกให้เธออย่าคิดจริงจัง

เพราะฉันไม่กล้าเชื่อว่ามันเป็นจริง

เธอสวยขนาดนี้

แล้วก็น่ารักที่สุด

โอ้ ซินเดอเรลล่า

ซินเดอเรลล่าของฉัน

…”

ราวกับทั้งโลกเงียบสงบ ทุกคนเงียบฟังเสียงเพลงของลู่เฉิน นัยน์ตาของเด็กสาวหลายคนรื้นม่านน้ำตา ความเงียบปกคลุม แม้แต่เสียงลมหายใจยังหยุดชะงัก

“…

ถ้านี่เป็นความฝัน

ฉันขอหลับใหลไม่ยอมตื่น

ฉันเคยอดทนอดกลั้น

ฉันรอมานานขนาดนี้

อาจจะรอการมาถึงของเธอ

อาจจะรอการมาถึงของเธอ

อาจจะรอการมาถึงของเธอ

…”

จนการแสดงสิ้นสุดลง ก็ยังไม่มีเสียงใครพูดออกมา

“เพลงซินเดอเรลล่า…”

ลู่เฉินเอ่ยออกมาเบาๆ “ร้องเพลงนี้ครั้งแรก หวังว่าทุกท่านจะชื่นชอบครับ”

จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้น

จากเสียงปรบมือเปาะแปะเหมือนลมฝนโหมกระหน่ำในคืนหน้าร้อน แต่แล้วก็ดังขึ้นเต็มที่อย่างรวดเร็ว ลูกค้าหลายคนถึงกับยืนขึ้นเพื่อปรบมือให้ลู่เฉิน ไม่มีเสียงตะโกน ไม่มีเสียงโห่ร้อง มีแต่เสียงปรบมือชื่นชม!

โดยเฉพาะเด็กสาวพวกนั้น ที่ปรบมือจนมือแดงไปหมด

เพลงซินเดอเรลล่าไม่ได้มีทำนองยากซับซ้อน และไม่มีการเปลี่ยนแปลงของโทนเสียงมากนัก ทำนองไม่ได้ฮึกเหิมจนคนฟังเลือดร้อนตาม แต่กลับเข้าไปกินใจส่วนลึกของผู้ฟัง ทำให้พวกเขาถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์รุนแรงที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเพลง

สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาเป็นผู้ฟังคนแรก

หากมีวันหนึ่งเพลงซินเดอเรลล่า กลายเป็นเพลงโด่งดังคุ้นหูของทุกคน พวกเขาจะได้ภูมิใจว่า…ฉันเป็นผู้มีเกียรติได้ฟังเพลงนี้เป็นกลุ่มแรก ฉันเป็นพยานในการแจ้งเกิดของมัน!

แล้วเพลงซินเดอเรลล่าจะได้กลายเป็นเพลงอมตะไหม?

คำตอบอาจมีหลากหลาย แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นเพลงที่ดีจริงๆ

เพลงเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ความรัก ยิ่งกว่านั้นคือจิตวิญญาณ!

เสียงปรบมือดำเนินไปตลอดหลายนาที ภาพแบบนี้ไม่เคยปรากฏในบาร์เดย์ลิลลี่มาก่อน แม้แต่วงเฮสิเทชั่นกับพี่น่ายังไม่เคยได้รับ

มีคนตะโกนขึ้นมาว่า

“ร้องอีกรอบสิ!”

คำร้องขอนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นด้วย การเรียกร้องให้ลู่เฉินร้องเพลงอีกรอบรุนแรงขึ้น

ลู่เฉินยิ้มแล้วส่ายหัว เขาพูดใส่ไมโครโฟนว่า

“ขอบคุณทุกท่านที่ชื่นชอบนะครับ แต่คืนนี้เพลงนี้ร้องได้แค่รอบเดียว เพราะผมเห็นน้องสาวคนหนึ่งร้องไห้แล้ว…”

เขาใช้ข้อศอกกดกีตาร์ไว้กับหน้าตัก มือทั้งสองประสานขึ้นแสดงความขอโทษไปทางด้านขวาของเวที

ทางที่ลู่เฉินหันไปคือตำแหน่งของโต๊ะ 035 ซึ่งเป็นโต๊ะของเสี่ยวหมี่และเพื่อนสาวทั้งสาม

สุภาพสตรีสี่คน มีสองคนที่ตาแดงรื้น

เมื่อเห็นว่าความสนใจของทุกคนในร้านถูกลู่เฉินทำให้พุ่งเป้ามาที่พวกเธอ พวกเธอรู้สึกเก้อเขินจนหน้าแดง สองคนในนั้นรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตา

นักศึกษาสาว โรแมนติก อ่อนไหวง่าย มักหวั่นไหวไปกับเพลงเศร้ากินใจ

ลู่เฉินพูดต่อว่า

“คุณแม่ของผมเคยบอกว่า น้ำตาของผู้หญิงเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด คุณแม่บอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามทำผู้หญิงร้องไห้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นถือว่าทำผิดร้ายแรง”

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น

หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ ลู่เฉินถอนใจ

“ผมคิดว่าผมได้ทำผิดไปแล้ว เพราะฉะนั้นร้องอีกรอบไม่ได้แล้วครับ”

เสียงหัวเราะเบาๆ กลายเป็นเสียงหัวเราะทั้งบาร์ บรรยากาศเศร้าสร้อยในบาร์สลายไปทันที

พี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สามของเสี่ยวหมี่กลั้นขำไม่อยู่ ดวงตายังมีน้ำตารื้นอยู่ หัวเราะออกมาด้วยความสุข

เสี่ยวหมี่อยากหัวเราะแต่หัวเราะไม่ออก ในใจยังแอบบ่น “ทุเรศ!”

ลู่เฉินไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองถูกหญิงสาวคนหนึ่งบ่นว่า ‘ทุเรศ’ เขาไม่ร้องเพลงซินเดอเรลล่ารอบที่สองไม่ใช่เพราะหยิ่งยโสหรืออยากจะล่อลวงคนอื่น แต่การร้องเพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะขอฉันสองรอบ แล้วต่อด้วยเพลงซินเดอเรลล่า ก็ทำให้เป็นที่น่าพอใจมากแล้ว

นี่ถึงเรียกว่าทำแต่พอดี ไม่มากเกินหรือน้อยเกินไป ซึ่งเป็นวิถีของราชา

เขาอาศัยจังหวะลงจากเวทีแล้วให้พิธีกรขึ้นมาดำเนินรายการ ตอนประมาณสามทุ่มยังต้องขึ้นมาร้องเพลงอีกสองเพลง

นักร้องหลักจะมีเวลาขึ้นเวทีที่แน่นอน และต้องรักษากติกาด้วย

เงินรายได้หลักนั้นมาจากส่วนแบ่งจากรางวัล คืนนี้ลู่เฉินทำได้ไม่น้อยกว่าเมื่อคืนเลย!

แต่ลู่เฉินรู้ดีว่าจังหวะการหาเงินแบบนี้ไม่คงทนถาวร อาศัยลำพังเพียงเพลงที่เขาแต่งเองนำมาร้อง แม้ว่าจะมีเพลงที่ดีกว่าแต่หากอยู่แต่เพียงในบาร์นั้นย่อมไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดี

เพลง ‘เธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน’ และ ‘ซินเดอเรลล่า’ เพียงพอแล้วที่จะกลายเป็นเพลงของที่นี่

เวทีของบาร์เดย์ลิลลี่เล็กเกินไป ไม่ใหญ่พอสำหรับจิตใจที่ทะเยอทะยานของลู่เฉิน

เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่คิดจะจากไปไหน

พอกลับไปหลังเวทีแล้ว พี่น่าก็กอดลู่เฉินยกใหญ่!

เธอหัวเราะแล้วพูดว่า

“เสี่ยวลู่ นายทำให้ฉันตกใจแล้วก็เซอร์ไพรส์มาก ร้องดีมาก ดีจริงๆ!”

พี่น่าอยู่ในวงการมาหลายสิบปี แม้จะไม่ได้โด่งดัง แต่เธอก็ชื่นชมในเสียงดนตรีมากกว่าเหล่าลูกค้าทั่วไป ยิ่งกว่านั้นเธอยังวิเคราะห์ได้ว่าผลงานเพลงชิ้นไหนจะโด่งดัง

ทั้งเพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉัน และเพลงซินเดอเรลล่า ต่างทำให้เธอต้องมองลู่เฉินใหม่

หากเปรียบเทียบกับความจริงใจของพี่น่าแล้ว รอยยิ้มของหลี่หงกับเยี่ยเจิ้นหยางดูจะฝืนใจกว่ามาก โดยเฉพาะเยี่ยเจิ้นหยาง แววตาที่มองลู่เฉินนั้นปิดบังความอิจฉาริษยาเอาไว้ไม่มิด

ผลงานเพลงถึงสองเพลงเป็นเพลงชั้นยอดที่มีโอกาสโด่งดังทั้งคู่ ทำไมลู่เฉินถึงโชคดีขนาดนี้?

เยี่ยเจิ้นหยางเข้าวงการก่อนลู่เฉินมานาน พวกเขาต่างก็เป็น ‘คนหลงกรุง’ เหมือนกัน เขาเองก็มีความฝันและความทะเยอทะยาน และเคยเขียนเพลงออกมาแล้วหลายเพลง

ในบรรดาเพลงดังสมัยใหม่ นักร้องบางคนอาศัยอารมณ์เพียงสุนทรียะชั่วครู่เขียนเพลงขึ้น และเพลงนั้นได้โด่งดัง จากนั้นก็อาศัยแต่เพลงนั้นหลอกหาเงินจากทุกสารทิศ ชีวิตเฟื่องฟูขึ้นอย่างล้นเหลือ

เยี่ยเจิ้นหยางอาศัยกำลังสมองทั้งหมดเค้นเนื้อเพลงออกมา เพลงที่เขาเขียนนั้นแม้จะไม่ถึงขั้นหยาบช้าน่าเกลียด แต่ได้เป็นแค่เพลงธรรมดาทั่วไปไม่มีสีสัน ยังไม่คุ้มกับค่าจดทะเบียนลิขสิทธิ์ 500 หยวนใน ‘เว็บไซต์ห้องสมุดดนตรีจีน’ เลย

สุดท้ายเขาก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก

ตอนนี้เห็นลู่เฉินแต่งผลงานเพลงใหม่ติดต่อกันสองเพลง ความริษยาในใจเหมือนอสรพิษร้ายกำลังกัดกินหัวใจของเขาอยู่ อย่าว่าแต่ให้แสดงความยินดีกับลู่เฉินเลย แค่ให้ฝืนยิ้มออกมายังยากจนทำไม่ได้

“ผมขอออกไปดูข้างนอกหน่อย…”

เยี่ยเจิ้นหยางหาเหตุผลปลีกตัวออกมา เขากลัวว่าถ้าตัวเองอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้จะถูกความอิจฉาร้อนรุ่มแผดเผาจนกลายเป็นผุยผง

เพิ่งดึงประตูเปิด เยี่ยเจิ้นหยางก็เห็นเฉินเจี้ยนหาวยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง

เขาตกใจ รีบเอ่ยทักทาย

“เถ้าแก่…”

เฉินเจี้ยนหาวพยักหน้า แล้วพุ่งเข้าไปในห้องกวักมือเรียกลู่เฉิน

“เสี่ยวลู่ มานี่กับฉันหน่อย มีคนอยากซื้อเพลงจากนาย”

ซื้อเพลง?

มีคนอยากซื้อเพลงจากลู่เฉิน!

เยี่ยเจิ้นหยางตกตะลึง จนไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกจากห้องนั้นมาได้อย่างไร

ลู่เฉินก็อึ้งเหมือนกัน พี่น่ายิ้มแล้วตบบ่าเขาบอกว่า

“รีบไปสิ!”

เห็นได้ชัดว่าเธอไม่วางใจ จนต้องเอ่ยเตือนว่า

“จำไว้ว่าอย่าขายถูกเกินไปนะ!”

ลู่เฉินดึงสติกลับมา ยิ้มตอบไปว่า “ขอบคุณครับพี่น่า ผมขอตัวออกไปก่อน”

เขากับเฉินเจี้ยนหาวออกไปแล้ว ในห้องใหญ่เหลือเพียงพี่น่า หลี่หงและเสี่ยวไซว่สามคน สองคนหลังมองหน้ากันไปมา ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง

หลี่หงลังเลเล็กน้อยและพูดกับพี่น่าว่า

“พี่น่า พี่จะไม่ ไม่…”

เธอระมัดระวังคำพูด อ้ำอึ้งว่าจะเลือกใช้คำพูดว่าอย่างไรถึงจะเหมาะที่สุด

หลี่หงเป็นหญิงวัยเลย 30 แล้ว หน้าตาพื้นๆ ดังนั้นในบาร์เดย์ลิลลี่ความสัมพันธ์ของเธอกับพี่น่านั้นไม่เลว ทั้งสองมีสถานภาพที่เหมือนกันหลายอย่าง

ด้วยเหตุนี้ มีคำบางคำที่คนอื่นไม่กล้าถาม แต่เธอกล้า

พี่น่ายิ้มแล้วตอบว่า

“เธอจะบอกว่าฉันประเมินเสี่ยวลู่สูงเกินไปใช่ไหม?”

หลี่หงยิ้มเก้อ แต่เป็นการยอมรับ

พี่น่าพูดตอบเบาๆ ว่า

“เสี่ยวลู่เพิ่งเข้าวงการมาไม่นาน จากเดิมที่ไม่เก่งมาก แต่ด้วยพรสวรรค์ที่ซ่อนเร้นจนตอนนี้ได้เผยความสามารถที่แท้จริง ฉันจึงคิดว่าบาร์เดย์ลิลลี่เอาเขาไม่อยู่”

“สิ่งที่ฉันแน่ใจคือ เสี่ยวลู่ยังไม่ไปในทันทีหรอก ฉันเข้าใจความคิดของเสี่ยวลู่เป็นอย่างดี แต่ฉันรู้ว่าเสี่ยวลู่เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ และเคารพรุ่นพี่มาก ไม่ใช่หรือ?”

หลี่หงหยักหน้าเห็นด้วย

เธอรู้ว่าคำพูดของพี่น่าพวกนี้เป็นการเตือนตัวเอง แล้วก็เตือนเยี่ยเจิ้นหยางและหวังเสี่ยวไซว่ด้วย ความหมายของมันชัดเจนมาก

ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ การที่ลู่เฉินสามารถเขียนเพลงผลงานของตัวเองออกมาได้ ก็แปลว่าไม่ใช่นักร้องระดับเดียวกับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว อนาคตของลู่เฉินยังต้องก้าวหน้าอีกไกล

คนแบบนี้ การได้เป็นเพื่อนร่วมงานกันถือเป็นวาสนาและโอกาส ถ้าขี้อิจฉาริษยาอย่างเยี่ยเจิ้นหยางก็จะเสียโอกาสไป โดยไม่ได้ประโยชน์ใดเลย

แต่ลู่เฉินจะมีโอกาสทะยานขึ้นฟ้าได้หรือไม่?

หลี่หงไม่ค่อยกล้าเชื่อ หรือจะให้บอกตามตรงคือไม่อยากจะเชื่อ

อารมณ์บนใบหน้าของหลี่หงหนีไม่พ้นสายตาของพี่น่าไปได้ แต่พี่น่าก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

โอกาสต้องวิ่งเข้าใส่ด้วยตัวเอง เรื่องบางเรื่องต้องคิดได้ด้วยตัวเอง!

ส่วนคนอื่นจะเข้าใจหรือไม่ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนั้น

…………………………………………………………………………………………….

Ink Stone_Fantasy
ข้อความถึงนักอ่าน
Ink Stone_Fantasy
เพลง 灰姑娘 โดย 郑钧 https://www.youtube.com/watch?v=Ve1ISnX-eNg&ab_channel=%E6%9C%80%E7%88%B1%E5%88%80%E9%83%8E