“ไปเถอะ?” แม่ทัพเว่ยก้มหน้ามองคุณหนูเหยาที่กำลังขุ่นเคืองใจ หางตาและแววตาเคล้าด้วยรอยยิ้ม
เหยาเยี่ยนอวี่พึมพำอย่างโกรธเคือง “ไปไหน ข้าจะฝึกขี่ม้า”
เว่ยจางหันหน้ามาแล้วเชยคางมองป่าต้นฮว่า “ไปฝั่งโน้นแล้วหาพื้นที่หญ้าอ่อน เช่นนั้นตอนล้มลงมาจะได้ไม่เจ็บตัว เจ้าต้องฝึกขึ้นม้าลงม้าก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน”
ล้มโต๊ะ[1]! เจ้าดูถูกคนอื่นเกินไปหรือเปล่า ข้าไม่ตกจากม้าตั้งนานแล้ว! คุณหนูเหยาถลึงตามองเขาอย่างโหดเหี้ยม
ฉังเหมาที่หลบอยู่ในพงหญ้าลูบท้ายทอยพลางหัวเราะ จากนั้นก็แอบหลบอยู่ในพุ่มไม้แล้วหาที่นอนสบาย ช่วงนี้เขามัวแต่ยุ่งวุ่นวายจนรู้สึกเหนื่อยเกินไป ไม่เช่นนั้นก็ถือโอกาสดีงีบหลับแถวนี้ดีกว่า
ทว่ายังไม่ทันได้หลับฝันหวานก็ได้ยินเสียงกรีดร้องส่งมาจากที่ไกลๆ “อ๊า…”
ฉังเหมาสะดุ้งตกใจจนต้องรีบลุกขึ้นจากพื้นแล้วมองตามทิศทางที่เสียงส่งมา
แม่ทัพของเขากวาดสายตามองมาด้วยแววตาเลือดเย็น พ่อบ้านเอกฉังเหมาจึงรีบขดตัวอย่างว่องไว โอ้สวรรค์! ดูจากท่าทางนั้นแล้ว แม่ทัพต้องรอให้ฮูหยินใกล้จะล้มลงบนพื้นถึงจะยื่นมือไปช่วย? ท่านแม่ทัพอย่าทำให้เอวของฮูหยินพวกบ่าวได้รับบาดเจ็บเลย!
“เจ้ามันสารเลว!” เหยาเยี่ยนอวี่ยังไม่หายจากอาการขวัญเสีย แม้กระทั่งขายังยืนไม่นิ่งก็เริ่มสบถหยาบ “จู่ๆ เจ้าตีเจ้าเฮยหลางไปไยกัน! เจ้าอยากให้ข้าตกม้าตายก็พูดมาตรงๆ เลยสิ!”
เว่ยจางกลับทำหน้าบึ้งตึงแล้วสั่งสอนว่าที่ฮูหยินของเขาด้วยความเคร่งขรึม “ตอนเจ้าลงม้า ม้าขยับก็เป็นเรื่องธรรมดา นั่นมันม้าเป็น ไม่ใช่รูปปั้นหิน เจ้ายังจะคาดหวังว่ามันจะไม่ขยับแล้วรอให้เจ้าลงมากระนั้นหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ควรบอกข้าก่อนสิ!” เหยาเยี่ยนอวี่เครียดสุดขีด ไอ้สารเลวนี่ต่างอะไรจากมือสังหารที่ทำร้ายคนอย่างไร
แม่ทัพเว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วรู้สึกคุณหนูเหยาช่างน่าขันจึงถามสวน “หากม้าขยับมันจะบอกเจ้าหรือ”
“เจ้า! เจ้า…” เหยาเยี่ยนอวี่หายใจหอบแล้วอยากกระทืบเจ้าหมอนี่จวนใจจะขาด
“มีข้าอยู่เจ้ากลัวอะไร หรือว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าตกจริงๆ” แม่ทัพเว่ยเห็นว่าที่ภรรยาโมโหแล้วจริงๆ จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วยกมือทัดผมของคุณหนูเหยาไปไว้หลังหูแล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “จะฝึกหรือไม่ฝึก”
“…ฝึก!” คุณหนูเหยาแค่รู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้นางแทบจะไม่รู้จักแล้วว่าคำว่า ‘สติ’ คืออะไร นางกัดฟันกรอดแล้วหันหลังปีนขึ้นหลังม้า
หันหมิงชั่นและหันซังเย่ว์วิ่งบนเส้นทางที่ไกลที่สุดไปสองรอบ สุดท้ายหันซังเย่ว์พาน้องสาวกลับไปตรงจุดเริ่มต้นก่อน
“ไม่ได้สะใจเช่นนี้มานานแล้ว!” หันหมิงชั่นพลิกตัวอย่างสง่าแล้วกระโดดลงจากหลังม้าด้วยท่าทางกล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก
“เป็นเช่นนั้น! ฝีมือขี่ม้าของน้องสาวพัฒนาขึ้นมากเลยนะ” หันซังเย่ว์กระโดดลงจากม้าด้วยรอยยิ้มแล้วยื่นบังเหียนม้าให้องครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง
หันหมิงชั่นรับผ้าซับเหงื่อจากสาวใช้แล้วเอ่ยถาม “น้องเหยากลับมาหรือยัง บ่าวของจวนแม่ทัพเว่ยคนนั้นไว้วางใจได้หรือไม่”
ชุ่ยเวยวิ่งออกมาจากค่ายแล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “คุณหนูรองไม่ได้ไปหาคุณหนูของบ่าวหรือเจ้าคะ นี่ก็นานขนาดนี้แล้ว…นาง…”
“นางยังไม่กลับมา?” หันหมิงชั่นสะดุ้งตกใจ “สุนัขรับใช้คนนั้นของจวนเว่ยล่ะ”
“ก็ยังไม่ได้กลับมาเจ้าค่ะ!” ชุ่ยเวยกระวนกระวายใจจนกระทืบเท้า “แล้วจะทำอย่างไรดี! หากคุณหนูเป็นอะไรขึ้นมา…”
“ไม่เป็นอะไรหรอก” หันซังเย่ว์พูดจูงใจ “ม้าตัวนั้นของแม่ทัพเว่ยฉลาดปานนั้น อีกอย่างหากเกิดเรื่องอะไรพวกเราคงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งเช้านี้พวกเรากลับไม่ได้ยินเสียงม้าร้องอะไรเลย น่าจะไม่เป็นอะไรหรอก ด้านข้างมีลำธารหนึ่งสาย ทิวทัศน์ไม่เลว หรือว่าคุณหนูเหยาอาจจะไปชมทิวทัศน์ตรงนั้นก็ได้ พวกเราลองไปหานางดู”
“ดี!” หันหมิงชั่นเอาผ้าในมือคืนให้ซูหยิ่งแล้วจูงม้าก่อนกระโดดขึ้นไป
ชุ่ยเวยนิ่งงันแล้วรีบวิ่งตามไป “คุณหนู บ่าวก็ไปด้วยเจ้าค่ะ”
หันหมิงชั่นหันมามองนางเพียงพริบตาแล้วยื่นมืออย่างจนปัญหา “มา! ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
ชุ่ยเวยที่กำลังกระวนกระวายใจจึงยกเท้าเหยียบโกลนม้าแล้วถูกหันหมิงชั่นดึงขึ้นไปหลังม้า คุณหนูหันจึงเร่งม้าทำให้กีบม้าสี่ข้างพุ่งไปด้านหน้าทันที
“อ๊า!” ชุ่ยเวยตกใจจนหลับตา
“กลัวอะไร!” หันหมิงชั่นพูดขึ้นยิ้มๆ “ข้าจะทำเจ้าตกได้อย่างไร!”
“ไม่ ไม่เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยส่ายหน้าทันที ต่อให้คุณหนูหันทำนางตกนั่นก็ถือว่าเป็นเกียรติสำหรับนางแล้ว นางถึงกับได้ขี่ม้าตัวเดียวกับคุณหนูหัน! คุณหนูหันไม่รังเกียจนางที่เป็นสาวใช้ คุณหนูหันดียิ่งนัก
มีหันซังเย่ว์อยู่ การตามหาเหยาเยี่ยนอวี่จึงไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย เขาแค่ลงจากม้าตรงทางโค้งก็เห็นรอยกีบม้าที่เข้าไปในพุ่มไม้ ตรงนั้นก็คือที่ที่คุณหนูเหยาไป ดังนั้นเลยพาน้องสาวไปตามหาตามพุ่มไม้กลางป่าพงไพร
ฉังเหมาหาสำลีอุดหูไว้แล้วหลับอยู่ตรงพุ่มไม้ ด้วยเหตุที่ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า จู่ๆ ก็ทำให้เขาตกใจจนออกจากพุ่งไม้
“คุณชายรอง?” บนศีรษะของฉังเหมายังมีหญ้าติด หน้าตาของเขาเหมือนคนเพิ่งตื่น
“เจ้านอนอยู่ที่นี่หรือ คุณหนูเหยาล่ะ” หันหมิงชั่นอยากเอาแส้โบยบ่าวคนนี้มากแล้ว อยากจะลงโทษที่สุนัขรับใช้คนนี้ที่บกพร่องต่อหน้าที่
“อ้อ ฝั่งโน้นขอรับ” ฉังเหมายกมือชี้ไป หันหมิงชั่นมือไปตามทิศทางนิ้วมือของเขาบังเอิญเหยาเยี่ยนอวี่กำลังพลิกตัวลงจากหลังเฮยหลาง นางที่สวมใส่ชุดขี่ม้าสีม่วงอ่อนทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่งดงาม ความงดงามของนางแย่งความโดดเด่นของต้นไม้ต้นหญ้าเขียวขจีในคิมหันตฤดูนี้
ชุ่ยเวยปรบมือด้วยความน่าทึ่ง “คุณหนูของบ่าวช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
ฉังเหมามองชุ่ยเวยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแฉ่ง “แม่ทัพของพวกเราสอนดีมากต่างหาก”
“แม่ทัพเว่ย?” หันหมิงชั่นถึงจะสังเกตเห็นว่าข้างกายของเหยาเยี่ยนอวี่มีบุรุษผู้หนึ่งที่สวมใส่ชุดสีเทาแกมเงินกระโดดลงจากม้า กลับเป็นเว่ยจางที่ถูกรับสั่งให้ไปสถานตากอากาศ
หันซังเย่ว์คลี่ยิ้มจางๆ “แม่ทัพของเจ้าเดินทางว่องไวจริงๆ นี่ก็กลับมาจากสถานตากอากาศแล้วหรือ”
“เหอะๆ!” ฉังเหมาแอบหัวเราะ “แม่ทัพของพวกบ่าวกลับจากสถานตากอากาศเมื่อคืน บ่าวยังนึกว่าวันนี้คงไม่ได้มาที่นี่แน่ะ”
“ไอ้สุนัขรับใช้!” หันซังเย่ว์สบถหยาบด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปข้างกายเขา
“เจ้านี่จริงๆ เลย! มาก็ไม่โผล่หน้าให้เห็น แล้วมาแอบเป็นอาจารย์สอนคุณหนูเหยาที่นี่?”
เหยาเยี่ยนอวี่กระโดดลงจากหลังม้า หลังจากที่ฝึกฝนไปสักพัก นางก็คุมทิศทางม้าได้ ต่อให้ตอนที่ม้าเดินนางก็ลงจากหลังม้าได้โดยไม่หกล้ม ทว่า…ผมมวยอันเรียบร้อยในตอนแรก ตอนนี้กลับยุ่งเหยิง ทำให้นางตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งนัก
“คุณหนู…” ชุ่ยเวยพลันเดินหน้ามาแล้วใช้หวีเล็กๆ ในถุงบุหงาจัดทรงให้นาง
“ยุ่งยาก” เหยาเยี่ยนอวี่จึงดึงปิ่นบนศีรษะออกแล้วปล่อยผมลงมา
ชุ่ยเวยจนปัญญา ทำได้เพียงจับผมยาวสลวยของนางแล้วถักเปียหลวมๆ พร้อมใช้ผ้าถูกผมไว้
หันซังเย่ว์เห็นว่าพวกนางถักเปียเสร็จจึงเอ่ยถามเว่ยจาง “เวลาก็ล่วงเลยมากแล้ว ข้าสั่งให้คนเอาอาหารและสุรามาด้วย เสี่ยนจวินไปกินข้าวกับพวกเราเถอะ?”
[1] ล้มโต๊ะ คืออารมณ์โมโหสุดขีด