บทที่ 142 ข้าเตรียมกวานหงส์และแถบคล้องคอไว้แล้ว

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

“…”

กู้ชูหน่วนเข้าใจสักที

ไม่ว่าจะบ่ายเบี่ยงอย่างไร

เขาก็จะอยากได้โจ๊กยาบำรุงชามนั้น

ถุย!

โจ๊กยาบำรุงชามหนึ่งมีค่าควรเมือง เขาก็กล้าออกปากขอ

เสียทีที่นางให้โจ๊กเละที่เดิมจะให้สุนัขกับเขา

กู้ชูหน่วนกัดฟันกรอด “ได้ ท่านอยากกิน ข้าก็จะลงมือต้มให้ท่านก็แล้วกัน”

ได้มาโดยไม่เปลืองแรงก็คิดอยากกินโจ๊กของนาง ไม่กลัวกินท้องแตกตายหรือไง?

ครั้นเห็นสีหน้าของนาง พวกเย่จิ่งหานก็พากันระแวดระวัง

นังเด็กนี่ ร้ายจริงๆ คงไม่ได้คิดแผนอะไรอยู่กระมัง?

“ท่านอ๋อง ท่านก็กินโจ๊กหมดแล้ว เวลาก็ดึกมากแล้ว ควรกลับไปพักผ่อนสักทีกระมัง?”

กู้ชูหน่วนออกคำสั่งไล่แขก แต่เย่จิ่งหานกลับไม่รู้สึกรู้สา ทั้งยังกล่าววาจาที่หมายความว่าไม่เข้าใจ

“เจ้าถอนพิษให้ข้าครึ่งเดียว” ความหมายแฝงก็คือ ถอนพิษให้ครึ่งเดียวก็จะไป หรือว่าเจ้ามิต้องรับผิดชอบ?

กู้ชูหน่วนประคองหน้าผาก “พี่ชาย ไม่ใช่บอกว่าแช่น้ำยาหนึ่งเดือนก่อนหรือ? เวลานี้ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเลย”

“หาวิธีอย่าให้เจ้าพวกนั้นมากัดข้าอีก” เย่จิ่งหานเค้นคำพูดออกจากร่องฟัน

เชี่ย!

เจ้าชายปากไม่ตรงกับใจ จุดประสงค์หลักที่มาที่นี่ เพราะอยากให้นางทำให้แมลงพิษเหล่านั้นกัดเขากระมัง?

เชี่ย!

ไม่พูดมาตรงๆ เลยล่ะ?

ไยต้องพูดอ้อมโลกแกล้งนางอย่างนั้นด้วย?

“ท่านเป็นเด็กดี พวกมันก็จะไม่กัดท่าน พิษในตัวท่านหาช่องทางออกได้อย่างไร? อีกอย่าง แม้พวกมันจะกัดท่านทีหนึ่ง แต่ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตมิใช่หรือ? ท่านก็ทนเจ็บเอาหน่อย อย่างมากข้าก็ให้ลูกอมท่านสักสองสามเม็ด ให้หวานปาก”

ใบหน้าเย่จิ่งหานขมึงตึงทันที

เห็นเขาเป็นเด็กสามขวบหรือ?

ให้ลูกอมก็จัดการได้?

“ไม่เห็นด้วยหรือ? เช่นนั้นก็ได้ ท่านก็ถอดเสื้อผ้าให้หมด ข้าจะฝังเข็มครอบแก้วให้แล้วกัน”

“กู้ชูหน่วน เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?” เย่จิ่งหานแผ่อายเย็นชาออกมา ดวงตาฮ่อเลือดราวกับจะกลืนกินมนุษย์ทั้งเป็น

“ตาท่านข้างไหนเห็นว่าข้าล้อท่านเล่น? หรือว่าท่านไม่รู้สึกว่าระยะนี้ตัวท่านเบาสบายขึ้นมาก? ไอเย็นก็ไม่มากขนาดนั้นแล้ว?”

“เย่เฟิงต้องสงสัยว่าจะสังหารอาจารย์ใหญ่และอาจารย์หรง เจี่ยงเสวีย! กุมตัวเย่เฟิงไว้!”

กู้ชูหน่วนเข้าขวางอยู่หน้าเจี่ยงเสวีย เอ่ยอย่างโทสะ “เย่จิ่งหาน! เจ้าอย่าทำเกินไปนักนะ!”

“เจ้าวาดรู้ต้องห้ามของข้ากับซ่างกวนฉู่ ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ ใครกันแน่ที่ทำเกินไป?”

“เออ…เรื่องนี้ข้าก็ถูกซ่างกวนฉู่ลงโทษแล้วมิใช่หรือ?” กู้ชูหน่วนเอามือปิดตา ไม่กล้ามองหน้าเคร่งขรึมของเขา

ผ่านไปตั้งกี่ร้อยศตวรรษแล้ว ยังจะพูดถึงเรื่องนั้นทำไมกัน?

กู้ชูหน่วนล้วงขวดกระปุกจากอกออกมาเป็นกอง จากนั้นก็เลือกขวดเล็กขวดหนึ่งโยนให้เย่จิ่งหาน

“ในขวดมียาสิบเม็ด ทุกคืนตอนที่เจ้าแช่น้ำยา แค่กรีดแผลเล็กๆ บนตัวสักแผล แล้วเทยาออกมาเม็ดหนึ่งไว้ในน้ำยา แมลงพิษพวกนั้นก็จะไม่กัดเจ้า”

กู้ชูหน่วนไม่พูดยังพอทน แต่เมื่อพูดแล้ว เย่จิ่งหานก็มีเกล็ดน้ำค้างแข็งแห่งความตายปกคลุมทั้งตัวชั้นหนึ่ง

กลิ่นอายทรงพลังข่มจนอยากลงไปเลื้อย

มือเขาบีบขวดจนเป็นเสียงแกรกๆ เค้นคำพูดออกมาจากร่องฟัน “เจ้ายังมีวิธีขจัดพิษอื่นให้ข้าจริงๆ”

นังสารเลว!

เขาถูกแมลงพิษพวกนั้นกัดตั้งหลายวัน

นางผู้หญิงคนนี้กลับกล้าแกล้งเขา

ขณะที่เย่จิ่งหานใกล้ถึงจุดเดือด

กู้ชูหน่วนก็รีบอธิบาย

“ข้าเปล่านะ นี่เป็นการปรักปรำอย่างหนักเลย หลายวันก่อนที่ข้าคิดได้ก็มีแต่วิธีนั้นที่ขจัดพิษของเจ้าได้ แต่ยานี้ เป็นยาที่ข้าคิดแบบหัวร้างข้างแตกในหลายวันนี้ต่างหาก เจ้าดูสิ เพื่อศึกษาทำยาแก้พิษในการขจัดพิษ ขอบตาข้าดำขนาดนี้แล้ว”

ว่าแล้วกู้ชูหน่วนก็เปิดหนังตาของตน ให้ขอบตาดำปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา

หน้าอกเย่จิ่งหานกระเพื่อม

ขอบตาดำมิใช่เป็นเพราะนางเอาแต่รนหาที่ตายหรือ?

หากวันนี้เขาไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา นางคนนี้คงไม่ยอมให้ยาสิบเม็ดนี้กับเขาแน่

“กู้ชูหน่วน…”

“ข้าอยู่นี่! หูข้าไม่ได้หนวก! ท่านไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ก็ได้ ท่านอ๋อง ท่านคิดดูนะ หากข้ากล้าหลอกท่านจริง แล้วจะมอบยาสิบเม็ดนี้ออกมาแต่โดยดีได้อย่างไร? ข้าก็ต้องซ่อนเอาไว้ อย่างไรก็ไม่ยอมให้ ให้ท่านถูกแมลงพิษกัดจนตัวพรุนแล้วใช่ไหม?”

เย่จิ่งหานยิ้มเย็น “เช่นนั้น หรือข้ายังต้องขอบใจเจ้า?”

“ไม่ต้องๆ เราต่างเป็นคนกันเอง ท่านแค่อย่าหาเรื่องข้าทั้งวันก็พอ”

“ปัง…”

ไม่รู้ว่าเจี่ยงเสวียหอบชุดแต่งงานสีแดงสดชุดหนึ่งมาจากไหน วางไว้ตรงหน้ากู้ชูหน่วน

ไม่ว่าจะเป็นฝีมือหรือว่าเนื้อผ้าก็ล้วนแต่เป็นหนึ่ง หงส์ที่ปักบนชุดแต่งงานยิ่งให้ดูมีชีวิต อย่างกับจะสยายปีกโบยบิน ครั้นลูบ สัมผัสเนื้อผ้าอ่อนนุ่ม ละมุน ขอเพียงเป็นอิสตรีย่อมพิศมัยจนวางไม่ลง

แต่กู้ชูหน่วนกลับตะลึงตาค้าง

ชี้ชุดแต่งงาน “นี่อะไร?”

“เฮอะ หรือว่าคุณหนูสามจะลืมแล้ว อีกเจ็ดวันก็จะเป็นวันมงคลของเรา ข้าเตรียมกวานหงส์(*เครื่องประดับศีรษะสำหรับเจ้าสาว)แถบคล้องคอ รวมไปถึง…ทุกอย่างที่ต้องใช้ในการ ‘เข้าหอ’ เรียบร้อยแล้ว ”

เขาเน้นหนักคำว่าเข้าหอ

เนื่องจากเขาสวมหน้ากากผี มองอารมณ์โดยละเอียดของเขาไม่ออก เห็นแต่นัยน์ตาลึกประหนึ่งแอ่งน้ำลึกเห็นก้นบึ้งคู่นั้น

กู้ชูหน่วนมึนไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้สติ

“ท่านอ๋อง ข้ารูปโฉมอัปลักษณ์ไร้ศีลธรรมแล้วยังหลายใจอีก”

“ข้าเคยพูด ว่าหญิงอัปลักษณ์คู่คนพิการ ข้าว่าเหมาะ ส่วนหลายใจ? ก็ไม่เป็นไร หากเจ้ากล้าหว่านเสน่ห์ คบชู้สู่ชาย ข้าก็จะควักหัวใจเจ้าออกมา ดูสิว่ามีหลายใจจริงหรือไม่?”

กู้ชูหน่วนหัวเราะเหอะๆ

ดูท่านางต้องรีบหาหญ้านรก ล้างมลทินให้เย่เฟิง แล้วออกจากแคว้นเย่ไปเสีย

ครั้นเห็นคนรับใช้ของเย่จิ่งหานเริ่มจัดเรือนอุ่น ย้ายแจกันของโบราณและของใช้ในชีวิตประจำวันจำนวนมากมาแล้ว

กู้ชูหน่วนก็รีบขวาง “เย่จิ่งหาน ท่านจะทำอะไร?”

“ในเมื่อชายาไม่กลับไปพักผ่อนที่จวนอ๋องหาน ข้าก็ได้แต่ยอมลำบากหน่อย ย้ายมาพักที่เรือนอุ่น”

กู้ชูหน่วนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เรือนอุ่นไม่มีที่สักการะท่านที่เป็นพระองค์ใหญ่องค์นี้!”

“เด็กๆ โยนเย่เฟิงไปที่ราชวิทยาลัย”

“จะหาเรื่องใช่ไหม?”

เย่จิ่งหานหมุนแหวนหยกขาวของเขาอย่างนึกสนุก ท่าทางเอื่อยเฉื่อย เพียงพอที่จะอธิบายทุกสิ่ง

กู้ชูหน่วนคลึงขมับที่ปวด ชี้ไปที่ห้องทางตะวันตก(*ที่พักของแขก) “ไปหาทางนั้นสักห้องเองเถอะ”

“บังอาจ! ด้วยฐานะของท่านอ๋อง จะไปพักที่ห้องทางตะวันตกได้อย่างไร?” ชิงเฟิงเอ่ย

“เพี๊ยะ…”

กู้ชูหน่วนยกมือสะบัดใส่ชิงเฟิงเต็มแรง เดินประชิด ใบหน้าปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำค้างแข็ง

“เจ้าสิบังอาจ เจ้าเป็นแค่อะไร ก็แค่สุนัขตัวหนึ่งของเย่จิ่งหาน แต่ข้าเป็นว่าที่พระชายาหาน หัวหน้างานชุมนุมแข่งขันบุ๋น แล้วยังเป็นธิดาแท้ๆ ขององค์หญิงจาวหลิงผู้ล่วงลับ เจ้ายังกล้าขึ้นเสียงกับข้าหรือ?”

ชิงเฟิงถูกตบจนมึน

เขาเป็นองครักษ์ข้างกายของนาย

ไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขา

แต่กู้ชูหน่วนกลับยกมือตบหน้าเขาฉาดต่อหน้าธารกำนัล

เจี่ยงเสวียเคืองโกรธ

ฉาดนี้ของกู้ชูหน่วน เป็นการตบนายท่านชัดๆ

ชิงเฟิงมองทางเย่จิ่งหานอย่างน้อยใจ

แต่เย่จิ่งหานกลับไร้อารมณ์ แค่ชี้หอสดับพิรุณที่อยู่เรือนกลาง

“ข้าจะพักห้องนั้น”

“ห้องนั้นเป็นห้องที่ข้าเลือก”

“เช่นนั้นก็ยิ่งดี แสดงว่าเรามีใจตรงกัน ต่อไปใช้เป็นห้องหอเราก็ไม่เลวเหมือนกัน”

“…”

เย่จิ่งหานโบกมือ เมื่อนั้นก็มีคนเข็นเขาเดินไปทางหอสดับพิรุณทันที