บทที่ 287 ก่อกวนงานแต่ง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 287 ก่อกวนงานแต่ง

เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่เชินนี้ เฉินเฉียงก็ยิ่งรู้สึกปลื้มในตัวชายผู้นี้ยิ่งกว่าเดิม

“นายท่านหลี่ผู้นี้คงไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ยินข่าวที่ว่ากัปตันของพวกเราเป็นมนุษย์กลายพันธุ์หรอกนา”

“มนุษย์กลายพันธุ์รึ ถุ่ย” หลี่เชินถึงกับถ่มถุยออกมาในทันทีเมื่อได้ยิน ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “หากพี่ชายเฉินเฉียงนั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงล่ะก็ เขานั้นจะสร้างผลงานที่มากล้ำให้กับเผ่าพันธุ์ของเราทำซากอะไรกัน”

“และหากไม่ได้พี่เฉินเฉียงในวันนั้น น้องชายผู้นี้คงตกตายไปโดยไอ้ตัวพลังจิตนั่นไปนานแล้ว”

“อย่าได้ไปฟังคำไร้สาระของผู้คนไปเลยน่า ข้าการันตีเลยว่าพี่ชายเฉินเฉียงนั้นเป็นสุดยอดนักรบแห่งเผ่าพันธุ์ของเราอย่างไม่ต้องสงสัย”

ก่อนหน้านี้เฉินเฉียงนั้นไม่คิดมาก่อนว่ายังมีคนที่เชื่อว่าตัวเขานั้นยังเป็นคนของเผ่าพันธุ์อยู่อีก

นั่นก็เพราะการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์นั้นมีมานานหลายปี และด้วยการที่พวกเขานั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนด้อยที่สุดและแตกต่างที่สุด เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงได้ใช้วิธีการกระจายถิ่นที่อยู่ของตนไปตั้งอาณานิคมขึ้นในสถานที่ต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ แน่นอนว่ารวมถึงจุดที่อยู่ใกล้กับกองกำลังที่แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์อย่างตึกจอมพลเขตกันหนัน ตึกจอมพลเป่ยเชิน และตึกจอมพลภาคกลาง

แต่ในกระบวนการนี้นั้นได้เปิดช่องทางให้ผู้ทรงอำนาจหลายๆคนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว

ยกตัวอย่างเช่นจ้าวลี่ ฮั่นจุย และคนอื่นๆที่มีนิสัยเช่นนี้

พวกเขานั้นไม่ได้แยแสเลยสักนิดว่าชีวิตอันสุขสบายของตนนั้นต้องแลกมาด้วยชีวิตของนักรบในเผ่าพันธุ์ไปมากมายขนาดไหน

หรือจะให้บอกอีกอย่างก็คือ สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสงบสุขในตอนนี้เป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้สร้างเอาไว้

และนี่จึงทำให้หลายๆคนที่มีนิสัยเฉกเช่นเดียวกับฮั่นจุย เริ่มเลียนแบบและแสวงประโยชน์จากช่องทางนี้ ยกตัวอย่างเช่นเว่ยหยวนตี้เป็นต้น

ถึงแม้ว่าในเผ่าพันธุ์นั้นยังมีผู้คนที่มีจิตใจสูงล้ำอย่างหลี่เชินหรือหลินเฟิงอยู่ แต่ด้วยจำนวนคนและอำนาจที่ไม่สูงนัก ต่อให้เป็นคนที่ใจหาญกล้าก็ไม่อาจจะทัดทานความอยุติธรรมได้แต่อย่างใด

เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่หาญกล้าและทรงพลังนั้นมักจะไปยืนอยู่แถวหน้าเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์จากการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์

คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องการให้เผ่าพันธุ์ของตนเข้มแข็งอย่างแท้จริง เป็นธรรมดาที่พวกเขานั้นต้องการผู้นำที่แข็งแกร่งและห้าวหาญ

และนี่เองจึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ว่าหลี่เชินไม่ได้ใส่ใจกับข่าวลือมากนัก แถมมันยังกลับทำให้คนเหล่านี้กล้าเผชิญหน้ากับคนเช่นฮั่นจุยมากขึ้น

“ท่านรองหลี่อย่าได้กังวล เมื่อใดก็ตามที่ข้าได้ข่าวของกัปตัน ข้าจะรีบแจ้งให้ท่านทราบในทันที”

หลังจากเฉินเฉียงได้เห็นคนจากสภาสูงมาต้อนรับ เขาก็ได้เผยมือออกในทันที “รองผู้การ เชิญ…”

ในงานตอนนี้มีผู้คนนับร้อยที่มางานแต่งระหว่างฮั่นจุยกับเว่ยฉิงเชิน และคนที่มานี้ล้วนแล้วแต่เป็นแขกที่ได้รับเชิญ

และด้วยการนี้แล้ว มีหรือที่ฮั่นจุยจะเพียงจัดงานแต่งในสวนหลังบ้านของตน เขาได้ยืมสวนของสภาสูงโดยอ้างว่าเพื่อให้สมเกียรติกับแขกที่เชิญมา

เมื่อมองไปรอบๆ เฉินเฉียงก็ได้พบผู้คนที่มากหน้าหลายตาโดยที่เขาไม่รู้จักมาก่อน หลี่เชินที่เดินเคียงข้างเขานั้นเมื่อพบกับคนบางคนที่คุ้นเคยก็ได้ขอตัวไปพบปะพูดคุยกับคนพวกนั้น

ที่ด้านข้างในตอนนี้มีคนจากตึกจอมพลกันหนัน ผู้การสูงแห่งกันหนันที่มีชื่อว่าฟางคง และผู้การร่วมคนใหม่แห่งกันหนันนั้นล้วนแล้วมาอย่างครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตึกจอมพลเหมันต์จันทรานั้น หลินเฟิงได้ส่งตัวแทนเป็นผู้คุมจ้าวมาส่งของขวัญจากเขาเพียงเท่านั้น

เฉินเฉียงเองก็เข้าใจได้ในเรื่องนี้

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม หลินเฟิงนั้นก็เคยได้หมายมั่นปั้นมือไล่จีบเว่ยฉิงเชินมาก่อนจนสามารถได้รับการเห็นควรจากเว่ยหยวนตี้มาแล้ว แต่ในเมื่อสุดท้ายดันถูกบังคับให้ปล่อยมือไปให้ฮั่นจุย นี่ทำให้เขาทำได้เพียงยอมแพ้ไปเท่านั้น

นี่ยังไม่รวมถึงที่ว่าเขาได้ออกหน้าให้กับกองกำลังเทียนเว่ยจนมีเรื่องกับเว่ยหยวนตี้และฮั่นจุยอย่างหนักหน่วง ต่อให้เขากล้ามาก็คงไม่มีใครคิดไว้หน้าเขาแต่อย่างใด

นี่จึงทำให้หลินเฟิงนั้นไม่คิดเข้ามาร่วมงานแต่อย่างใด ต่อให้เขามาจริง เขาก็จะต้องตกในสภาพหน้าร้อนผ่าวแต่ก้นเย็นเฉียบอย่างแน่นอน (นั่งเฉยๆไม่มีใครสุงสิงไม่มีตัวตนในงาน)

เมื่อเฉินเฉียงหันไปมองผู้คุมจ้าว ผู้คุมจ้าวเองก็ย่อมเห็นเฉินเฉียง

ถึงแม้เขานั้นแทบจะได้รับการกราบกรานให้มาร่วมงานนี้แทนหลินเฟิงโดยหลินเฟิงเองก็ตาม แต่กับเขาแล้ว งานนี้กับทำให้เขาสนุกสนานได้พอสมควรเพราะได้พบเจอคนคุ้นเคยอยู่บ้าง และนี่จึงทำให้เขาเพียงแค่พยักหน้าให้เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์จางหยวนเพียงทีหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีก

แต่ไม่นาน เฉินเฉียงก็ได้พบเจอคนคุ้นเคยของตนเหมือนกัน คนคนนี้หลบอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน เขาคือ เฉียนฝู

ในฐานะที่เขานั้นเป็นหนึ่งในสี่ผอ.สำนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์ ตำแหน่งของเขานั้นไม่ได้ต่างไปจากรองผอ.ของตึกจอมพลแต่อย่างใด แต่ให้พูดกันตามตรงแล้ว ตำแหน่งของเขานั้นแม้แต่ผู้การร่วมก็ยังต้องให้ความเคารพ

แต่ที่ทำให้เฉินเฉียงประหลาดใจที่สุดนั้นก็คือ เฉียนฝูนั้นไม่เพียงจะปลีกวิเวกอยู่ที่มุมหนึ่งของงานเพียงเท่านั้น เขายังตกอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าไปพูดคุยกับเขา เขาก็จะไม่แยแสและรีบไล่คนพวกนั้นออกมา ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม

หลังจากเฉินเฉียงออกจากสำนักเต่าดำเพื่อฝึกฝนนั้น เรียกได้ว่าเขาได้ฟันฝ่าอุปสรรคและฝึกฝนด้วยตัวเองมาโดยตลอด แถมในครั้งสุดท้ายที่ได้พบเจอกัน เขายังผิดใจกับเฉียนฝูอีก นี่จึงทำให้ถึงแม้เขาจะได้พบเจอผอ.สำนักศึกษาของตนก็ไม่มีใจที่คิดจะเข้าไปทักทายแต่อย่างใด

แต่ก่อนที่เขาจะได้หันไปทางอื่น เขาก็ได้เห็นผอ.สำนักมังกรอาชูร่าหรือก็คือซุนไคได้เข้าไปดูอาการของเฉียนฝู

“ไอ้เฒ่าเฉียน นี่เจ้าทำไมมาหลบมุมปลีกวิเวกอยู่อย่างนี้ล่ะ ไปนั่งร่วมโต๊ะพูดคุยกับพวกข้าดีกว่า”

นึกไม่ถึงว่า เฉียนฝูนั้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วกลับทำเพียงยิ้มเยาะแล้วพูดออกมา “ขยะเอ๊ย ข้าไม่สนใจพูดคุยกับพวกเจ้าหรอก”

“ไอ้ฉิบหาย ทำไมเจ้าถึงได้ปากหมาขนาดนี้ได้อยู่อีก เพราะไอ้ปากอย่างนี้ของแกเนี่ยแหละถึงไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนต่อไหน” หลังจากด่าทอกลับไปแล้ว ซุนไคก็เดินจากไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

หลังจากซุนไคออกไปแล้วก็ไม่มีใครคิดที่จะเข้าหาเขาอีก และนี่ทำให้เฉียนฝูยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจและปิดตาตัวเองลงได้อย่างสนิทในที่สุด

หลังจากละสายตาจากเฉินเฉียงไปแล้ว ในตอนนี้ ตรงกลางลานพิธีก็ได้บังเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมา

เป็นเว่ยหยวนตี้ที่เดินมาจากด้านข้างงานพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า เขาได้อยู่ในชุดคลุมที่ประดับประดาดูหรูหรา และนี่ทำให้แขกในงานต่างก็เปิดทางให้เขาโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย

“ผู้การเว่ย ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ”

“ท่านผู้การเว่ย ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”

“ท่านเว่ย หากว่าท่านได้ผู้อาวุโสฮั่นเป็นลูกเขยล่ะก็ ยามที่ท่านได้เข้าไปในสภาสูงก็อย่าได้หลงลืมน้องชายผู้นี้ซะล่ะ….”

ตลอดทาง ด้วยการที่ผู้คนมากมายกล่าวอวยพรให้เว่ยหยวนตี้ทำให้เขานั้นยิ้มไม่หุบกันเลยทีเดียว จะมีบ้างกับบางคนที่เขาจะหยุดคุยเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นกับเฉพาะคนใหญ่คนโตเพียงเท่านั้น

กับฉากในวันนี้แล้วนั้นมันราวกับว่าเว่ยหยวนตี้นั้นเป็นดาวเด่นของงานเลยทีเดียว

นั่นก็เพราะลูกเขยของเว่ยหยวนตี้นั้นคือผู้ที่ทรงพลังคนหนึ่งแห่งสภาสูงภาคกลางนั่นเอง

และก็คงจะเป็นไปตามที่แขกบางคนได้กล่าวออกมา เว่ยหยวนตี้นั้นราวกับได้เปิดทางสู่บั้นปลายที่สงบสุขแล้วจริงๆ ถึงแม้ในตอนนี้เขายังเป็นเพียงผู้การร่วมของตึกจอมพลภาคกลาง แต่กระนั้น แม้แต่ปันเหรินที่เป็นผู้การสูงแห่งที่นั่น ก็ยังหวังที่จะพึ่งพาเว่ยหยวนตี้ในอนาคต

ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตราบใดที่งานพิธีในวันนี้เสร็จสิ้น เขาจะได้รับเม็ดยาโลกาหวนคืนกับมือของฮั่นจุย และนั่นจะทำให้ระดับการบ่มเพาะของเขานั้นฟื้นคืนในทันที

เมื่อเว่ยหยวนตี้ที่ยิ้มกริ่มนี้ได้เดินมาที่หน้าเฉินเฉียงที่ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์ของจางหยวน แม้รอยยิ้มของเขาจะแข็งค้างไปบ้าง แต่ไม่นานเขาก็กลับมาตั้งตัวได้

“จางหยวน แล้วพวกของเจ้าไปอยู่ไหนกันล่ะ จะดีกว่าไหมถ้าเรียกทุกคนมากันทั้งหมดน่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินเฉียงนั้นก็ถึงกับใบหน้ากระตุกจนเห็นได้ชัด เขาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “ท่านเว่ย หากข้าจำไม่ผิด ท่านได้ลั่นปากกับกัปตันของข้าไว้ว่าจะให้เวลาเขาหนึ่งปีไม่ใช่รึ แล้วทำไมถึงได้บังคับฉิงเชินให้รีบแต่งนักล่ะ”

เสียงของเฉินเฉียงนี้แม้จะไม่ดังมาก แต่ก็ดังพอที่คนรอบข้างจะได้ยินชัด และนี่ก็ทำให้เว่ยหยวนตี้นั้นแทบจะแสดงออกมาด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งในทันที

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เว่ยหยวนตี้อยู่ในตำแหน่งที่สูงมานาน ทำให้เขานั้นเป็นหนังหน้าไฟคอยจัดการเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง เขาจึงได้ตอบโต้โดยการส่ายหัวไปมาแล้วหัวเราะลั่น “จางหยวน ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นยังไม่หลงลืมไอ้ขยะเฉินเฉียงนั่น แต่มันผู้นั้นยังไงซะก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ ศัตรูของพวกเรา ข้าว่าเจ้านั้นควรจะเอาเวลาที่มาสงสัยเรื่องนี้ไปคอยค้ำชูกองกำลังน้อยๆของเจ้าไม่ให้โดนยุบจะดีกว่านะ”

“ส่วนการแต่งงานนี้นั้นเป็นความยินยอมของทั้งสองฝ่าย พวกเขาเองก็ดูรักใคร่กันดีนะถึงได้ตกลงปลงใจที่จะแต่งงานกัน แล้วข้าจะไปทัดทานอะไรได้ล่ะ”

“เมื่อมันลงเอยได้ดีพวกเขาเลยคิดที่จะรีบเร่งแต่งงานกันยังไงล่ะ”

“เจ้าก็น่าจะรู้นิสัยของฉิงเชิงดีนี่นาว่าคนอย่างนางนั้นจะมีใครที่บังคับขู่เข็ญได้กัน แม้แต่ข้าก็ยังทำไม่ได้เลย”

เมื่อพูดจบ เว่ยหยวนตี้ก็ได้เดินต่อไปพร้อมกับออกไปต้อนรับแขกเหรื่อต่อ

“หน้าด้าน”

หยานเสวี่ยได้กัดฟันของตนก่อนจะสบถออกมาสองคำ พร้อมท่าทางที่เย็นชา

ท่าทางของเฉินเฉียงในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากหยานเสวี่ยสักเท่าไหร่นัก เขาได้มองไล่หลังเว่ยหยวนตี้จนกระทั่งเขาไปนั่งบนเก้าอีกของคนใหญ่คนโตที่ถูกจัดเอาไว้

ที่ข้างๆตรงนั้นมีคนสี่คนได้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

คนทั้งสี่นี้ดูๆไปแล้วก็มีความแข็งแกร่งพอๆกับฮั่นจุย แน่นอนว่าพวกเขาคือผู้อาวุโสสูงแห่งสภาสูงภาคกลาง เฉินเฉียงนั้นเคยเจอสองคนในนี้มาแล้วนั่นคือผู้อาวุโสตี้(เหล็ก)และผู้อาวุโสตง(ทองแดง)(*ขออนุญาตแก้เดี๋ยวจะไม่เข้ากับเนื้อหา *เดิมใช้ เทีย ถง)ในตอนที่เขาเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ ส่วนอีกสองคนนี้สมควรจะเป็นผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์แห่งสภาสูง

และด้วยการที่สภาสูงนั้นได้ส่งทั้งสี่คนนี้มาเข้าร่วมงานแต่งนี้ นี่ก็เพียงพอที่จะเป็นสิ่งยืนยันแล้วว่าฮั่นจุยนั้นเป็นที่ยอมรับของสภาสูงมากมายขนาดไหน

หลังจากรอแขกเหรื่อมาได้ประมาณหนึ่ง เว่ยหยวนตี้ก็ได้ลุกขึ้นมาจากที่นั่งของตน ก่อนที่จะทำการคารวะผู้อาวุโสทั้งสี่ด้วยการโค้งคำนับ ก่อนที่จะไปนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งของครอบครัวฝั่งเจ้าสาว เพื่อรอให้คู่บ่าวสาวได้มาเคารพตามธรรมเนียม

ไม่นาน เสียงเพลงมงคลก็ได้ดังขึ้นอย่างครื้นเครง ส่งผลให้บรรยากาศในงานมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างที่สุด

ภายใต้สายตาอันแสนอิจฉาของบรรดาแขกเหรื่อ ฮั่นจุยได้เดินทอดน่องออกมาจากข้างพื้นที่จัดงาน พลางพยุงมือของเว่ยฉิงเชินผู้ซึ่งอยู่ภายใต้ชุดสีแดงสดและผ้าคลุมหน้าสีแดงบนหัวของเธอ พลางหยุดรับคำอวยพรจากแขกเหรื่อไปพลาง

ทั้งสองได้เดินอย่างช้าๆบนพรมสีแดงสด เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้กำหมัดของตนอย่างแน่นขนัด สายตาของเขาจับจ้องไปที่ฮั่นจุยไปอย่างไม่วางตา

ในมุมมองของเฉินเฉียงนั้น หากไม่ใช่เพราะเม็ดยาโลกาหวนคืนล่ะก็ เว่ยฉิงเชินย่อมไม่มีทางตกลงแต่งงานกับคนแก่ที่อายุมากกว่าเธอถึงหนึ่งช่วงชีวิตเท่าที่เธอเกิดมาแบบนี้

ในตอนนี้เขาแทบอยากจะกราบกรานฟ้าดินให้คนใต้ผ้าคลุมนี้ไม่ใช่เว่ยฉิงเชิน

แต่จากสภาพท่าทางการเดินหรือแม้แต่ทรวดทรง เขาบอกได้เลยว่ายังไงซะ คนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนี้เป็นเว่ยฉิงเชินอย่างแน่นอน

และเมื่อเขาได้เห็นท่าทางยิ้มกริ่มของเว่ยหยวนตี้ในตอนนี้แล้วยิ่งทำให้เฉินเฉียงรู้สึกรำคาญหัวใจอย่างที่สุด

ต้องเป็นคนที่โหดร้ายขนาดไหนกันถึงยอมสละความสุขของลูกสาวเพียงเพื่อให้ตัวเองเสวยสุขได้

และก็มีใครบางคนที่ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างไปจากเฉินเฉียงนัก

นั่นก็คือฮั่นเซียง ลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวของฮั่นจุย

ก่อนหน้านี้ เกือบทุกคนนั้นต่างก็คิดว่าเว่ยฉิงเชินจะกลายเป็นลูกสะใภ้ที่ดีและกลายเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจของฮั่นเซียง

แต่แม้แต่ฮั่นเซียงเองก็ยังนึกไม่ถึงว่าเรื่องจะมาลงเอยแบบนี้

คงจะไม่มีใครเคยคิดถึงเรื่องนี้นอกจากพ่อของฮั่นเซียงกระมัง

และด้วยความจริงที่ขัดกับความคิดอย่างที่สุดแบบนี้แล้ว เมื่อเขาได้เห็นพ่อของตน เดินจับมือถือแขนเว่ยฉิงเชินผู้ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนี้ เขานั้นอยากจะหาหลุมเพื่อหลบซ่อนจากความอับอายในครั้งนี้เลยจริงๆ

แต่ยังไงซะ เขาก็เป็นลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวของฮั่นจุย เขานั้นจึงทำได้เพียงมาร่วมงานด้วยสภาพนี้เท่านี้

ด้วยการที่ฮั่นจุยนั้นกำลังรู้สึกยินดีเปรมปรีดากับงานในครั้งนี้จึงไม่ได้สนใจเฉินเฉียงแต่อย่างใด แม้แต่ใบหน้าอันบูดบึ้งของลูกชายของตนก็ยังไม่อยู่ในสายตาของเขา เขาได้พยุงมือของเว่ยฉิงเชิน ก่อนที่จะพอขึ้นเวทีและโค้งคำนับให้กับเว่ยหยวนตี้ที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้าสาว “ท่านพ่อตา โปรดรับการคารวะจากลูกเขยผู้นี้ด้วย”

คำพูดที่เอื้อนเอ่ยออกมาโดยฮั่นจุยนี้ได้ทำให้เว่ยหยวนตี้ยิ้มกริ่มยิ่งกว่าเดิม แต่กับแขกเหรื่อภายในงานนั้นกลับมีความรู้สึกที่ตรงกันข้าม

ชายแก่ที่อายุเกือบจะห้าสิบผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งแก่กว่าพ่อเจ้าสาวอย่างเว่ยหยวนตี้ซะอีก กลับต้องมาคุกเข่าคำนับในฐานะพ่อตาแบบนี้ ไม่ว่ามองยังไงก็ยังรู้สึกขัดลูกตาอยู่ดี

แต่ถึงแม้ในใจของทุกคนจะคิดใบนี้ แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ทำได้เพียงยิ้มออกมาได้เพียงเท่านั้น ถึงแม้จะมีใครบางคนที่ได้ยินแล้วอยากจะสำลักออกมา แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ให้ถึงที่สุด

ไม่มีใครสักคนในที่นี้ที่กล้าจะโต้แย้งกับฉากตรงหน้า

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

เสียงหัวเราะที่แสนเย้ยหยันได้ดังลั่นขึ้นมาในหมู่ผู้คน

ในตอนแรกทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นหนึ่งในตัวแทนผู้อาวุโสทั้งสี่ที่หัวเราะออกมา เพราะไม่ว่ายังไงซะ พวกเขาเองก็คงจะมีความคิดนึกขบขันในการกระทำของฮั่นจุยอยู่บ้าง แต่เมื่อนึกถึงว่าไม่ว่ายังไงซะ ทั้งสี่ก็เป็นตัวแทนของสภาสูง พวกเขาก็ไม่น่าที่จะหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันแบบนี้

และนี่ทำให้ผู้นำกลุ่มอย่างผู้อาวุโสจิน(จินซี่,ทองคำ)ถึงกับขมวดคิ้วและตะคอกออกมา “มันผู้ใดที่กล้ามาขัดงานพิธีแบบนี้”

ความจริงผู้อาวุโสจินนั้นรู้อยู่แล้วว่าใครกันที่กล้าหัวเราะออกมาอย่างนี้ เพียงแค่เหตุผลที่เขาต้องตะคอกออกมาอย่างดังลั่นนั้นเป็นเพราะต้องการแสดงบารมีออกมาเพียงเท่านั้น

อย่าว่าแต่สี่ผู้อาวุโสโลหะศักดิ์สิทธิ์สี่คนนี้เลย ทุกคนในงานที่อยู่ในระดับราชาขุนพลเป็นอย่างน้อยนี้ ต่างก็รับรู้กันทั่วว่าใครคือเจ้าของเสียงหัวเราะ

เฉินเฉียงเองก็ไม่คิดที่จะหลบซ่อนแต่อย่างใด เขาได้ยืนขึ้นมา และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาว่าไม่แยแสต่อสิ่งใด “มันผู้นั้นคือข้าเอง”

เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนที่ยืนขึ้นมา เว่ยหยวนตี้เป็นคนแรกที่ยืนขึ้นแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ “จางหยวน วันนี้คือวันแต่งงานของลูกสาวข้า แล้วไอ้การที่เจ้าหัวเราะออกมาแบบนี้แล้วมันหมายความว่ายังไงกัน เจ้ามาที่นี่เพียงคนเดียวแล้วยังกล้าที่จะก่อเรื่องอีกรึ”

“แต่เดิม ด้วยสถานะของเจ้านั้นไม่สมควรที่จะมาเข้างานได้ด้วยซ้ำ หากไม่ใช่ว่าลูกสาวของข้านั้นเป็นคนดีมีเมตตาเลยคิดที่จะเชิญชวนกองกำลังของเจ้ามาเข้าร่วมเพราะเห็นแก่สัมพันธ์เก่าๆล่ะก็ อย่าว่าแต่เจ้าจะได้เข้ามาในงานเลย เจ้าถูกจับตั้งแต่พบหน้าแล้วด้วยซ้ำ”

“เจ้าอย่าได้หลงลืมไปว่ากองกำลังของเจ้านั้นถูกหมายหัวอยู่ หากเจ้ายังก่อเรื่องอยู่อีก เจ้าก็อย่าโทษข้าที่ไม่ไว้หน้าจับเจ้าในตอนนี้เลยแล้วกัน”

ในทันทีที่เว่ยหยวนตี้พูดจบ ฉิงเชินที่ยืนอยู่ข้างฮั่นจุยก็ได้เปิดผ้าคลุมหน้าของตนเพื่อมองเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของจางหยวน

แต่เมื่อเธอพบว่าข้างกายของเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของจางหยวนนั้นมีเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้า เมื่อเธอไม่พบคนที่เธอคิดไว้ก็ทำให้เธออดที่จะแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาเสียมิได้

ฮั่นจุยที่รู้ความสัมพันธุ์ของเฉินเฉียงและเว่ยฉิงเชินอยู่แล้วนั้น เมื่อเห็นท่าทางของเธอในตอนนี้ เขาก็อดที่จะอิจฉาเสียมิได้

“เฮ้ย ใครก็ได้รีบๆมาจับจางหยวน อาชญากรของเผ่าพันธุ์หน่อยสิเว้ย”

ด้วยการที่ฮั่นจุยนั้นเปรียบได้ดั่งความทรงพลังของสภาอาวุโสภาคกลาง ต่อให้เขาจะนั่งอยู่เฉยๆ สี่โลหะศักดิ์สิทธิ์แห่งสภาสูงก็ย่อมไม่ปล่อยให้พวกตนเสียหน้าอย่างแน่นอน

แต่ในเมื่อฮั่นจุยนั้นได้ออกคำสั่งออกไปแล้ว นี่จึงทำให้ผู้อาวุโสทั้งสี่เงียบปากของตนเองลง พร้อมกับลอบยอมรับในการตัดสินใจของฮั่นจุย

และเพียงฮั่นจุยได้พูดจบ คนแปดคนก็ได้พุ่งตัวออกมาจากพื้นที่รอบงานแต่ง โดยทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับราชาขุนพลขั้นต้น

“หยุดก่อน”

เฉินเฉียงได้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลังไม่แพ้ฮั่นจุยนี้ทำให้คนทั้งแปดต้องหยุดมือในทันที เฉินเฉียงสบถออกมาทีหนึ่งก่อนที่จะหันไปมองฮั่นจุยและพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น ข้าละสงสัยจริงๆว่าข้า จางหยวนผู้นี้ ได้ก่ออาชญากรรมใดไว้กัน ท่านถึงได้คิดจะจับกุมข้า”

ฮั่นจุยได้สบถมาหนึ่งทีแล้วพูดออกมา “จางหยวน กองกำลังเทียนเว่ยของเจ้านั้น ในการศึกที่จิ้งชวนได้ละทิ้งหน้าที่ไประหว่างการสงคราม นั่นยังไม่พอ พวกเจ้ายังปกป้องกัปตันของเจ้า ไอ้เฉินเฉียงผู้นั้น ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

“โฮ่ เป็นเช่นนั้น” เฉินเฉียงในรูปลักษณ์จางหยวนได้พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะพูดออกมา “ให้พูดกันตรงๆเลยนะ ผู้อาวุโสฮั่นจุย หากมันเป็นอย่างที่ผู้อาวุโสพูดมาจริง ข้าผู้นี้ จางหยวน ก็คงจะไม่ใจกล้าหน้าด้านขัดขืนและยอมให้คนเหล่านี้จับแต่โดยดี”

“แต่ข้าขอบอกไว้ในที่นี้เลยว่าพวกเรา กองกำลังเทียนเว่ย ไม่ยอมรับข้อกล่าวหาที่ผู้อาวุโสผู้นี้พยายามที่จะยัดเยียดให้”

“ท่านบอกว่ากัปตันของพวกเรานั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แล้วไหนล่ะหลักฐาน”

“กองกำลังเทียนเว่ยของข้าต่อสู้กับศัตรูอย่างห้าวหาญจนทำให้เผ่าพันธุ์ของเรามีชัยในครั้งนั้น ถ้าจะให้พูดกันตรงๆแล้ว สิ่งที่พวกข้าได้ทำนั้นเป็นการนำพานายพลนับพันของเผ่าพันธุ์มีชัยเลยก็ว่าได้”

“แล้วผู้อาวุโสเช่นท่านกลับกล้าบอกออกมาว่าในการศึกครั้งนั้นพวกข้าละทิ้งจากหน้าที่ นี่มันเป็นการใส่ร้ายชัดๆ”

“นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ว่า การศึกที่จิ้งชวนนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในการรับผิดชอบของตึกจอมพลภาคกลางโดยตรง แต่ผู้อาวุโสได้รวมหัวกับจ้าวลี่กดดันตึกจอมพลกันหนันดึงตัวกองกำลังของข้าให้เข้าร่วมในสงครามที่ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่น้อย”

“ในตอนนั้น พวกข้า สมาชิกในกองกำลังเทียนเว่ยทั้งสิบสามคนนั้นต่างก็ไม่อยากจะเชื่อว่าในการศึกครั้งนั้น ตึกจอมพลภาคกลางที่แสนยิ่งใหญ่จะไม่มีปัญญาจัดการปัญหากับเพียงแค่การสงครามเล็กๆ จนต้องให้คนในกองกำลังเล็กๆเพียงสิบสามคนที่เป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นสูงเพียงไม่ถึงครึ่งดีต้องเข้าร่วมในการสงคราม”

“แต่พวกข้านั้นเห็นแก่เผ่าพันธุ์และคิดที่จะสร้างขวัญกำลังใจให้นักรบคนอื่น พวกเราถึงยอมเข้าร่วม ยังไม่รวมเรื่องที่ว่าพวกข้าได้แบกชื่อเสียงอันเปี่ยมล้นของเผ่าพันธุ์เอาไว้ นึกไม่ถึงว่าเมื่อถึงเวลา จ้าวลี่ผู้เลวทรามนั่นกลับส่งนักรบเพียงสิบกว่าคนเข้าไปประจันหน้ากับกองทัพโดยไม่ส่งใครเลยมาช่วยสักคนเดียว นี่มันเป็นการคิดจะกวาดล้างกองกำลังของพวกข้ากันชัดๆ”

“แค่นั้นยังไม่พอ ในครานั้น มีผู้อาวุโสแห่งสภาสูงผู้หนึ่งที่ได้รับรู้เรื่องนี้แล้วแต่กลับไม่คิดจะลงโทษจ้าวลี่ผู้เลวทรามผู้นี้เลยแม้แต่น้อย กลับกัน ผู้อาวุโสผู้นั้นยังหน้าหนาพอที่จะโยกย้ายผู้เลวทรามผู้นี้มาทำหน้าที่เป็นหมาเฝ้าประตูของเขาโชวหยางที่แสนจะสุขสบายนี่เสียอีก”