ตอนที่80 สนองตามที่คุณต้องการ
จางหยางทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ที่เห็นฟางนี่ออดอ้อนร้องขอไม่อยากให้จ้าวเฉียนลาออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าพนักงานในออฟฟิศทุกคน เขายิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ จึงตะคอกใส่ฟางนี่ว่า
“ฟางนี่ ทำไมเธอต้องกลัวเจ้านั่นออกขนาดนั้น? ลูกค้ามองหาบริษัทไม่ใช่ตัวพนักงาน เธอไม่เห็นจำเป็นต้องเสียดายคนอย่างมัน! พวกเรายังมีเงินลงทุนของหวานฮันซูอีก เขาพร้อมจ่ายให้พวกเราทันที แล้วยังมีอะไรต้องกลัวอีก ขาดมันไปสักคน บางทีบริษัทของเราจะเจริญขึ้นด้วยซ้ำ!”
ฟางนี่รีบอธิบายโดยเร็วว่า
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…ฉันแค่ไม่อยากให้พนักงานเก่งๆต้องออกจากบริษัทของเราไป เขามีส่วนช่วยเหลือบริษัทของฉันเป็นอย่างมาก และฉันไม่มีวันปล่อยเขาไปเด็ดขาด”
จางหยางที่ได้ยินแบบนั้นยิ่งเดือดดาลหนักเข้าไปใหญ่
“ขาดมันแค่คนเดียว บริษัทเราไม่มีอะไรต้องเสียดาย! อีกอย่างไม่ใช่ว่าพวกเราเป็นคนไล่มันออกสักหน่อย มันต่างหากที่อยากออกเอง! หัวรั้นไม่เชื่อฟังฉัน บอกให้เปลี่ยนตำแหน่งงาน มันก็ไม่ยอมเปลี่ยน! เสี่ยวนี่ ถ้าเธอยังเห็นฉันเป็นสามีอยู่บ้างล่ะก็ ควรหัดเชื่อใจผมบ้าง จ้าวเฉียนคนนี้คือตัวถ่วงความเจริญของบริษัทเรา! ครึ่งปีหลังจากที่ผมเข้ามาบริหารเต็มตัว บริษัทของเราจะต้องพัฒนาไปอีกขั้น! ถ้าถึงตอนนั้นแล้วยังย่ำอยู่ที่เดิม คุณจะไล่ผมออกไปก็ได้!”
ฟางนี่หยุดการกระทำของตัวเองลงในทันที เธอไม่อยากเสียสามีที่รอคอยมาอย่างเนินนานคนนี้ไป ถ้าต้องให้เธอเลือกระหว่างจ้าวเฉียนกับจางหยาง เธอจะต้องเลือกจางหยางแน่นอน ตอนนี้จางหยางก็เหมือนเด็กนอกจบใหม่ เขามาพร้อมกับไฟการทำงานอันแรงกล้า และไม่มีใครสามารถขัดความคิดของเขาได้ ความมั่นใจในตัวเองสูงล้ำเฉียดฟ้า และเพียงแค่พนักงานตัวเล็กๆอย่างจ้าวเฉียน มันไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย
จ้าวเฉียนยิ้มและกล่าวเสริมให้ว่า
“ผมคิดว่าประธานฟางควรทำตามที่ผู้จัดการจางบอกนะครับ เขาเป็นถึงเด็กนอกเรียนจบจากอเมริกา ความทะเยอทะยานของเขาจะต้องช่วยทำให้บริษัทของคุณพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด ผมก็แค่พนักงานกินเงินเดือนคนหนึ่ง ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น”
พอได้รับการยืนยันจากปากจ้าวเฉียนดังนี้แล้ว จางหยวงก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป เขาแสยะยิ้มกว้างอย่างมีชัย และกล่าวเย้ยขึ้นว่า
“ก็รู้ตัวเองดีหนิ แต่ไม่ใช่ว่าทำปากเก่ง ออกไปได้ไม่นาน ก็สิ้นท่าคลานกลับมาขอร้องฉันให้รับกลับเข้าไปทำงานใหม่หรอกนะ?”
จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคัก ตอบกลับน้ำเสียงเรียบไปว่า
“โลกใบนี้ไม่มีอะไรคาดเดาได้หรอกครับ บางทีคนที่จะคลานมาอาจไม่ใช่ผมก็ได้ ดังนั้นอย่าเพิ่งออกตัวแรงจะดีกว่าครับ”
เจวียงหยวนระเบิดหัวเราะเยาะลั่นและเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่นายกำลังเพ้ออะไรอยู่? อย่าเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับผู้จัดการจางหน่อยเลย น่ารังเกียจวะ!”
จ้าวเฉียนส่ายหัวและตอบกลับไปว่า
“ไม่หรอก ตอนนี้พวกนายอาจจะมองกันแบบนั้น แต่ในอนาคต พอบริษัทไม่มีฉันอยู่แล้ว พวกนายอาจจะร้องวิงวอนขอให้ฉันกลับมาก็ได้ ตอนนั้นฉันคงมีสถานะอยู่เหนือหัวพวกนายทุกคนแล้ว”
ทันทีที่จ้าวเฉียนกล่าวออกไปแบบนี้ ทั้งจางหยางและคนอื่นๆต่างระเบิดหัวเราะเยาะเสียงดังสนั่น
หวังเฉียงหัวเราะไม่หยุดหย่อนราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลกมา เขาเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่…ไม่จ้าวเฉียน นายไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหร? แค่ดิลโปรเจคกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้นิดหน่อย ก็ประเมินค่าตัวเองสูงปานนั้น? จะบอกว่าบริษัทแห่งนี้อยู่ไม่ได้แน่นอนโดยไม่มีนายว่างั้น? รู้ตัวไหมว่ากำลังพล่ามอะไรอยู่?”
เจวียงหยางกล่าวต่อขึ้นว่า
“ตั้งแต่แกถูกล็อตเตอรี่ แกก็ทำตัวหยิ่งขึ้นมาก คิดว่าตัวเองกลายมาเป็นคุณชายจ้าวจริงๆงั้นเหรอ? ถ้าไม่มีบริษัทแห่งนี้เปิดรับนายเข้าทำงาน คิดเหรอว่าจะมีกินมีใช้อย่างทุกวันนี้ได้? นายหายไปสักคนจากบริษัท ฉันว่าทุกอย่างก็ยังปกติสุขเหมือนเดิม”
จางหยางพยายามกลั้นยิ้มและแสร้งปั้นสีหน้าจริงจัง กล่าวขึ้นว่า
“เลิกพูดแบบนั้นได้แล้ว ไหนๆเพื่อนร่วมงานจะออกไปทั้งทีพวกเราควรอวยพรให้ชีวิตต่อจากนี้มีแต่ความสุขและสมหวังมากกว่านะ”
ทันทีที่จางหยางกล่าวจบ หวังเฉียงและคนอื่นๆต่างก็เอ่ยปากอวยพรให้จ้าวเฉียนพร้อมท่าทีแสนเจ้าเล่ห์ คำพูดที่เอ่ยออกไปมีแต่สิ่งดีๆก็จริง แต่แววตาที่จับจ้องกันกลับตรงกันข้ามกันเลย จ้าวเฉียนไม่เอ่ยตอบใดๆทั้งสิ้น เพียงยิ้มและเก็บข้าวของพร้อมเดินจากไป
ในที่สุดทุกอย่างก็สมความปรารถนาของจางหยางแล้ว พอขับไล่จ้าวเฉียนเสร็จสรรพ เขาก็ประกาศแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ในทันที
“ตอนนี้แผนกวางแผนขาดหัวหน้า ฉันจึงตัดสินใจให้เจวียงหยวนเข้ามารับช่วงต่อ เจวียงหยวน นายมีความรู้ความสามารถและสามารถพาทุกคนในแผนกสู่จุดสูงสุดได้ นายยอมรับตำแหน่งนี้หรือไม่?”
เจวียงหยวนตื่นอกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งพอได้ยินแบบนั้น ในที่สุดวันที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยก็มาถึง! เขารีบโค้งคำนับให้จางหยางและตอบไปว่า
“ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจของผู้จัดการจาง ต่อไปนี้ผมจะตั้งใจทำงานให้หนักและจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง!”
จางหยางพยักหน้าตอบอย่างพึงพอใจ และกล่าวให้กำลังใจไปว่า
“ฉันเชื่อมั่นใจวิสัยทัศน์ของนาย แผนกวางแผนต่อจากนี้จะต้องดีขึ้นแน่นอน เอาล่ะ เรามาทำงานต่อกันเถอะ!”
ทุกคนแยกย้ายกลับไปที่โต๊ะทำงานของพวกตน ฟางนี่เรียกจางหยางไปที่ห้องทำงาน
จางหยางรู้สึกเศร้าใจไม่หาย ทันทีที่ปิดประตูห้องสนิทก๋เอ่ยถามเธอขึ้นทันทีว่า
“เสี่ยวนี่ ที่เธอทำแบบนั้นไปมันหมายความว่ายังไง? อ้อดอ้อนขอร้องมันต่อหน้าต่อตาทุกคน นี่อยากให้ผมเสียหน้านักเหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้ยังมีใครจะเชื่อฟังผมอีกในอนาคต?”
“ที่รัก ฉันคิดว่าการกระทำครั้งนี้คุณประมาทเกินไป จ้าวเฉียนจับมือกับบริษัทซิงหยวน และร่วมโปรเจคพัฒนาเกมด้วยกันมากมาย หากเขาโกรธจึงไปฟ้องทางซิงหยวนว่าเราทำอะไรกับเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าทางนั้นจะยกเลิกแผนการพัฒนาเกมในอนาคตไปด้วยเหรอ? แล้วถ้าบริษัทเราไม่มีโปรเจคเข้ามา ก็เท่ากับว่าเราไม่มีเงิน!”
จางหยางยิ้มตอบไปว่า
“เสี่ยวนี่ ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ทำไมเราต้องพึ่งพาแต่ซิงหยวน ทำไมในอนาคตเราจะเป็นแบบซิงหยวนไม่ได้ ออกแบบเกมและพัฒนามันขึ้นมาเอง?”
ฟางนี่อธิบายตอบไปว่า
“ฉันรู้ว่าคุณกำลังหมายความว่ายังไง แต่ตอนนี้อุตสาหกรรมเกมมีแรงแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงมาก ถ้าต้องรับผิดชอบตามลำพังโดยไม่ได้ร่วมทุนกับใคร ถ้าเกมที่พัฒนาออกมารุ่งก็ดีไป แต่ถ้าไม่ ต้นทุนเกมเพียงเกมเดียวอาจถึงขั้นทำให้บริษัทของเราล้มละลายได้เลย ต้นทุนเกมในปัจจุบันขั้นต่ำก็หลายสิบล้านถึงหลายร้อยล้าน”
จางหยางสวมกอดฟางนี่ไว้ในอ้อมแขนและกล่าวขึ้นว่า
“คุณไม่ต้องกังวลนะที่รีก สำหรับเรื่อเงินทุนเรายังมีหวานฮันซูไง เขามีหน้าที่บริหารจัดสรรเงินให้แก่พวกเรา ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปว่าจะไม่มีทุนสำรอง อย่างน้อยที่สุด บัญชีในรอบปีสองปีมานี้บริษัทเราก็ยังอยู่รอดไปได้ไม่ใช่เหรอ แถมในช่วงหลังจากมีแนวโน้มดีขึ้นด้วย แต่เพียงก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หวานฮันซูเชื่อใจและกล้าลงทุน อีกอย่างถ้าอนาคตถึงทางตันจริงๆ เราก็ยังขายบริษัทนี้แลกเปลี่ยนเป็นเงินได้อีกหลายร้อยล้าน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเราอยู่กินไปได้ทั้งชาติ”
ฟางนี่เหลือบมองจางหยางด้วยความประหลาดใจ นี่เขายังมีความซื่อสัตย์ต่อเธออยู่เหรอ? กล้ากล่าวคำพูดที่ไร้ยางอายแบบนี้ออกมาได้ยังไง?
“ที่รัก อย่าบีบบริษัทของฉันให้มากเกินไป แม้ฉันจะมีเงินกินอยู่สบายไปตลอดชีวิต แต่ฉันก็ไม่อยากเสียบริษัทนี้เข้าใจไหม? หากถึงทางตันอย่างที่คุณว่า อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่ขายหุ้นไปครึ่งหนึ่ง เพื่อร่วมหุ้นครอบครองเท่านั้น และนี่คือมาตรการสุดท้ายในหัวฉัน”
จางหยวนพูดกับตัวเองในใจ พร้อมสบถด่าฟ่างนี่อย่างลับๆขึ้นว่า
‘ยัยบ้านนอกงี่เง่า ยึดติดกับค่านิยมเก่าๆ จนทำให้ตัวเองสูญเสียประโยชน์! ยังมีผู้มีอธิพลหลายคนที่มีเงินทุนและพร้อมกว้านซื้อบริษัทต่อจากเธอมากมาย ถ้าบริษัทเกมฟางนี่ไปต่อไปไม่ได้จริงๆก็แค่ขายออกไป แถมยังได้เงินก้อนมากินอีกหลายร้อยล้าน อาจจะขอหุ้นสัก5-10%มากินปันผลเล่น แค่นี้เขาก็สามารถใช้ชีวิตติดหรูได้ตลอดไป!’
จางหยางรู้สึกได้ว่า แนวคิดการทำธุรกิจขั้นสูงที่เขาไปศึกษามาจากอเมริกา จะไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับเท่าไหร่จากฟางนี่ สุดท้ายนี้เธอก็แค่คนจีนหัวโบราณ และโง่งมคนหนึ่งเท่านั้น หวังว่าอยู่ด้วยกันไปนานๆ เขาจะสามารถเปลี่ยนเธอได้ในอนาคต
คิดได้ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปว่า
“ผมรู้ดี บริษัทนี้คุณสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ผมเองก็ไม่เต็มใจยกให้คนอื่นเช่นกัน ดังนั้นเราจะต้องตั้งใจทำให้ออกมาดีที่สุด แต่ถ้าสุดท้ายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยเราก็ยังมีทางหนีทีไล่ แต่ตอนนี้ผมไม่ยอมมอบบริษัทของคุณให้ใครเป็นอันขาด!”
ฟางนี่รู้สึกดีใจอย่างมากพอได้ยินจางหยางพูดแบบนั้น เธอกระชับกอดเขาแน่นน
ขณะเดียวกัน จ้าวเฉียนที่กำลังขับรถอยู่นั้นเอง ก็บังเอิญเจอหวงหยิงเมิ่งเดินถือลากกระเป๋าอยู่ข้างทางพอดี
“บังเอิญจังเลยนะครับ กำลังจะไปสนามบินใช่ไหม?”
หวงหยิงเมิ่งพยักหน้าตอบกลับไปว่า
“ใช่ค่ะ ต้องรีบไปก่อนเดี๋ยวตกเครื่องค่ะ”
จ้าวเฉียนกดไฟฉุกเฉินและลงจากรถในทันที เขาตรงเข้ามาช่วยเธอยกกระเป๋าขึ้นหลังรถและบอกว่า เขาจะอาสาไปส่งเธอที่สนามบินเอง
ไม่นานหลังจากรถเริ่มเคลื่อนออกไป หยางหู่ก็โทรสายเข้าหาจ้าวเฉียน
เขารับโทรศัพท์และพูดขึ้นว่า
“ว่าไง?”
“คุณชายจ้าว หลิวเปามันไม่มาตามนัด! แถมยังส่งข้อความบอกอีกว่า มันต้องการเปิดศึกกับผม เจอกันที่โกดังในท่าเรือตงกัง เวลาเที่ยงคืนในอีกสามวันนับจากนี้”
“โอ๊ะ? เข้าใจแล้ว ฉันกำลังขับรถอยู่ เดี๋ยวฉันโทรกลับไปหาใหม่”
จ้าวเฉียงวางสายไป แววตาคู่นั้นของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารอันท้วมท้นยิ่งในขณะนี้ หลิวเปาคนนี้ไม่แน่ใจว่ารู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำดีแค่ไหน แต่อย่างไร ครั้งนี้จ้าวเฉียนไม่มีปราณีแล้วแน่นอน!