ซ่งชูอีนอนหลับอย่างสบายใจ จนกระทั่งหนิงยามาปลุกนางจึงลืมตาขึ้นมาอยู่ในความมืดมิดครู่หนึ่ง
ทุกครั้งนางมักจะลืมว่าดวงตาของตนได้กลายเป็นเครื่องประดับไปแล้ว สิ่งแรกที่ทำเมื่อตื่นนอนก็คือการลืมตา ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นแล้วก็พบว่ามันยังมืดอยู่
ใช่ว่านางอาลัยอาวรณ์ดวงตาคู่นี้ เพียงแต่ทุกครั้งก็จะรู้สึกหดหู่เล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หนิงยาปรนนิบัตินางใส่เสื้อผ้า ใช้ผ้าสีดำปิดคาดดวงตาไว้ เดินไปยังห้องหนังสืออย่างเชื่องช้า
“ท่าน!” น้ำเสียงยินดีเจือปนความประหลาดใจของเจินจวิ้นดังขึ้น
ซ่งชูอีเอ่ยยิ้มน้อยๆ “นั่งเถิด”
“ดวงตาของท่านมัน…” เจินจวิ้นข่มความปิติเอาไว้
“ไม่มีอะไร ข้าได้ยินหนิงยาบอกว่าช่วงนี้ที่จวนเจ้าไม่ค่อยดีหรือ?” ซ่งชูอียกชาที่หนิงยาส่งมาให้ถึงมือขึ้นจรดปากจิบคำหนึ่ง
เจินจวิ้นเห็นว่าซ่งชูอีไม่เต็มใจที่จะคุยเรื่องโรคทางสายตานัก จึงมิได้ถามให้มากความอีก เพียงแต่ตอบคำถามของซ่งชูอี “ก็แค่พวกต่ำต้อยไม่รู้ประสาที่ก่อเรื่อง บัดนี้ถูกข้าไล่ออกจากสกุลเจินแล้ว”
“อืม” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง เอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ “จะว่าไป เป็นเพราะข้าจากไปเงียบๆ จึงทำให้พวกที่มีแผนร้ายในใจสงสัยเจ้า ทว่างานนี้ใหญ่หลวงนักจะแพร่งพรายมิได้เป็นอันขาด และหวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษ อีกทั้งเจ้าต้องเชื่อว่าความสูญเสียทั้งหมดที่สกุลเจินประสบในครานี้ วันหน้าหวยจินจะต้องชดเชยให้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า”
เจินจวิ้นไม่ใช่คนโง่ เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าซ่งชูอีจะยืมมือของเขาและบังคับสกุลเจินในการล้างความบริสุทธิ์ ทว่าครั้นนึกถึง “การใหญ่” ที่ซ่งชูอีทำแล้ว บัดนี้รัฐฉินกำลังโจมตีรัฐสู่ มันชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่าซงชูอีมีบทบาทอย่างไร ดังนั้น “การชดเชย” ที่นางกล่าวจึงไม่ใช่เพียงวาทศิลป์อย่างแน่นอน
เรื่องนี้ถูกวางแผนไว้แล้วและจะไม่เกิดขึ้นอีก…ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากคืนความบริสุทธิ์และได้รับการสนับสนุนจากขุนนางผู้ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่แห่งรัฐฉินแล้ว มีแต่จะเป็นวาสนาต่อเขามิใช่เคราะห์ร้าย
เจินจวิ้นถอนหายใจอย่างลับๆ ในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกโกรธเคืองกับการเป็นตัวหมากในแผนของผู้อื่น
ครั้นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว เจินจวิ้นก็ยิ้มเอ่ย “ท่านพูดอะไรกัน ผู้อาวุโสเหล่านั้นมักจะหาเรื่องข้าอยู่เสมอ บัดนี้แยกกันอยู่แล้วกลับเป็นเรื่องดีสำหรับข้าเสียอีก อีกอย่างการที่ตระกูลของข้าสวามิภักดิ์ต่อท่านก็เป็นการตัดสินใจของข้าเอง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่กล้าโยนความผิดใส่ท่านอย่างแน่นอน”
“เจ้าคิดได้เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย
เจินจวิ้นเงยหน้าขึ้นมาซ่งชูอี เห็นดวงตาของนางถูกปกคลุมไปด้วยแถบผ้าสีดำ ไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าซีดเซียว
เจินจวิ้นเดาอารมณ์ของซ่งชูอีไม่ออก แต่ก็ยังตัดสินใจเอ่ยเรื่องสำคัญ “ท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย เดิมทีข้าต้องการจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับท่าน ทว่าการค้าขายที่รัฐฉีมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเนื่องจากการแยกครอบครัว รากฐานของสกุลเจินทางนั้น…”
“ไปเถิด ข้าเร่งเดินทางติดต่อกันหลายวันก็เหนื่อยเหลือเกิน ไม่มีแรงที่จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอะไรทั้งสิ้น หากเจ้ามีใจก็ปรุงเนื้อกวางเฝิงเจ๋อสักยี่สิบชั่งให้ไป๋เริ่นเถิด มันแบกข้ามาตลอดทาง ลำบากมากแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ยเรียบๆ
เดิมทีเจินจวิ้นตั้งใจจะให้น้องสาวของเขาเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยง คิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีจะปฏิเสธทันที รีบเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ที่บ้านข้ายังมีลูกกวางที่มาจากเฝิงเจ๋อสองสามตัว”
เขาลังเลครู่หนึ่ง มือที่วางอยู่บนหน้าตักกำแน่นเล็กน้อย เอ่ยขึ้น “ท่าน ที่จริงยังมีอีกเรื่องที่อยากจะขอร้อง”
“อ๋อ?” ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย เอียงหูเหมือนตั้งใจฟัง
“ข้าไปครั้งนี้ก็สามถึงห้าเดือนเป็นอย่างต่ำ น้องสาวคนเล็กอยู่บ้านคนเดียวข้าไม่วางใจ ไม่ทราบว่านางจะอาศัยอยู่ที่นี่และรบกวนให้ท่านช่วยดูแลสักหน่อยได้หรือไม่” เจินจวิ้นวางแผนนี้ไว้นานแล้วว่าจะให้น้องสาวบ้านตนแต่งเข้าเป็นฮูหยินก่อนที่ซ่งชูอีจะมีอำนาจ หากไม่รีบเอ่ยเรื่องนี้ รอจนกองทัพตีปาสู่สำเร็จกลับมาและตบรางวัลแล้ว ถึงตอนนั้นสถานะของน้องสาวเขาก็ไม่คู่ควรกับเขาอีก ภายภาคหน้าหากมีโอกาสก็จะเป็นได้เพียงภรรยาน้อยเท่านั้น เจินจวิ้นจึงลองเสี่ยงกับการถูกมองทะลุแผนการนี้ หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา
“น้องสาวของเจ้าอายุเท่าใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถามพลางลอบคิดในใจ น้องสาวของเจินจวิ้นผู้นี้คงมิได้มีชื่อว่าเจินเหม่ย[1]กระมัง?
เจินจวิ้นไม่เห็นสีหน้าของนาง ได้แต่ตอบอย่างนอบน้อม “เดือนหน้าก็ครบวัยจี๋จี[2]แล้ว”
“หึ เช่นนั้นพี่ใหญ่เช่นเจ้าก็ไม่ได้เรื่องจริงๆ” ซ่งชูอีเย้าแหย่เล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เจ้าไปรัฐฉีให้สบายใจเถิด น้องสาวแท้ๆ ของเจ้าก็เหมือนน้องสาวแท้ๆ ของข้า ไว้นางครบสิบห้าก็จะมีพี่ใหญ่ต่ำต้อยอย่างข้าดูแลให้เอง”
เจินจวิ้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ผิดหวังเหลือล้นทว่าก็ยังมีความหวังอันริบหรี่ ไม่แน่ว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปอาจก่อเกิดเป็นความรักก็ได้? แม้ว่าจะไม่ก่อเกิดความรักระหว่างหนุ่มสาว การปลูกความรักระหว่างพี่น้องไปก่อนก็ไม่เลว
ครุ่นคิดดูแล้วเจินจวิ้นก็หัวเราะเสียงดัง ประสานมือคำนับกับซ่งชูอี “เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว”
ครั้นเห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยของซ่งชูอี เจินจวิ้นก็ขอตัวบอกลา กลับบ้านไปช่วยน้องสาวเก็บสัมภาระ
ช่วงที่ร้อนที่สุดของช่วงเที่ยงได้ผ่านพ้นไป สายลมตอนใกล้พลบค่ำเย็นสบาย เจินจวิ้นเดินออกมาจากจวนของจู้ซย่าสื่อด้วยอารมณ์ดียิ่ง แม้แต่การก้าวเดินก็มีชีวิตชีวา
ครั้นกลับมาถึงในจวน เขาก็ร่างรายการทันทีและขอให้พ่อบ้านจัดเตรียมตามนั้น
“พี่ใหญ่! ท่านกลับมาแล้วหรือ!” เงาสีฟ้าเดินสาวเท้าถี่ๆ เข้ามาในก่อนที่คำพูดนั้นจะจบลง
ห้องนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหรูหราจางๆ ทันที เด็กสาวผู้นั้นที่ในชุดชวีจวีสีฟ้ามีร่างกายงดงาม ใบหน้าที่มีขนาดเพียงฝ่ามือเรียวเล็กอ่อนช้อยเหมือนกับกล้วยไม้ในหุบเขาที่ว่างเปล่า ไม่ได้ดูน่าทึ่งในแวบแรก ทว่าหากมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็จะรู้สึกน่าดึงดูดยิ่งขึ้น
“อวี๋เอ๋อร์” เจินจวิ้นมองนางด้วยความเอ็นดู “พี่ชายต้องออกจากนครก่อนฟ้ามืด ทุกเรื่องมีพ่อบ้านคอยจัดการแล้ว ข้าพลาดวันเกิดปีที่สิบห้าของเจ้า กลับมาข้าจะชดเชยโดยการจัดพิธีจี๋จีให้เจ้าและทำให้หญิงสูงศักดิ์ทั้งเสียนหยางต้องอิจฉา”
“พี่ใหญ่ไปให้สบายใจเถิด พี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวนี้ อวี๋เอ๋อร์จะกล่าวโทษได้เยี่ยงไร” เจินอวี๋กล่าวด้วยความอ่อนโยน
เจินจวิ้นยกมือขึ้นลูบศีรษะของนาง “ท่านพ่อฉลาดที่สุดที่ปล่อยให้อวี๋เอ๋อร์เข้าสู่ลัทธิขงจื๊อในวันนั้น อวี๋เอ๋อร์ของตระกูลเราไม่รู้ว่าเก่งกว่าหญิงสูงศักดิ์ที่ไม่รู้หนังสือพวกนั้นตั้งเท่าไร!”
“พี่ใหญ่!” อวี๋เอ๋อร์ปิดปากยิ้ม “มีพี่ใหญ่บ้านไหนที่ชมน้องสาวของตัวเองเช่นนี้กัน!”
“อวี๋เอ๋อร์ ข้าคุยกับท่านหวยจินเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เจ้าก็ไปอยู่ที่จวนของเขา…ท่านมีชื่อรองว่าหวยจิน เจ้าชื่อว่าอวี๋ พอดีคำว่าว่ออวี๋หวยจินเลยเชียว คิดดูแล้วนับว่ามีวาสนาต่อกัน หากสามารถแต่งงานกันได้ก็นับว่าดีมากๆ” เจินจวิ้นถอนหายใจเอ่ย
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจินอวี๋ค่อยๆ หายไป เอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “พี่ใหญ่ต้องการใช้ข้าเอาชนะท่าน?”
“เจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า ข้ายังไม่ทันจะตามใจเจ้าเลย จะคิดเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!” เจินจวิ้นเห็นว่าสีหน้าของนางดีขึ้นเล็กน้อยจึงเอ่ยต่อ “โลกใบนี้มีผู้ชายที่ทรงพลังมากมายและสามารถปกป้องเจ้าได้ ทว่าแม้ผู้ชายบางคนไม่แข็งแรงแต่ก็สามารถใช้สติปัญญาปกป้องเจ้าใต้ปีกของเขาได้ อีกทั้งยังสามารถแบกท้องฟ้าและท้องทะเลอันกว้างใหญ่ให้เจ้าได้ด้วย”
“พี่ใหญ่พูดจาไร้สาระ! ข้าไม่สนใจท่านแล้ว!” เจินอวี๋ใบหน้าแดงระเรื่อ เบือนหน้าหนีออกไปจากห้อง
เจินจวิ้นมองดูแผ่นหลังของเจินอวี๋ อดที่จะยิ้มไม่ได้ กล่าวพึมพำ “เด็กสาวที่เป็นศิษย์ของลัทธิขงจื้อช่างเข้าใจและมีเหตุมีผลดีจริงๆ เพียงแต่หน้าบางไปหน่อย”
ผู้หญิงส่วนใหญ่ในโลกนี้เป็นคนอบอุ่นและเปิดเผยโดยเฉพาะสาวชาวฉิน เจินอวี๋ขี้อายเช่นนี้ก็นับว่ามีรูปแบบที่พิเศษกระมัง!
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เจินจวิ้นรีบพาผู้คุ้มกันออกไปจากนคร
วันรุ่งขึ้น
พ่อบ้านก็ลากเกวียนทองคำและผ้าไหมสองคัน คุ้มกันส่งเจินอวี๋ไปที่จวนของจู้ซย่าสื่อด้วยตัวเอง ทรัพย์สินที่นำไปทั้งหมดนั้นแทบจะเหมือนหญิงสูงศักดิ์ที่กำลังจะออกเรือน
เจินอวี๋เริ่มที่จะจินตนาการถึงรูปลักษณ์ของซ่งชูอี นางมีอิสระและได้รับการสอนจากอาจารย์ในลัทธิขงจื้อ จึงนับได้ว่ามีความรู้มากกว่าผู้หญิงทั่วไป เนื่องจากนางมักจะใส่ใจกับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่เสมอ จึงเคยได้ยินเกี่ยวกับการกระทำมากมายของซ่งชูอี รวมถึงการท่องไปยังรัฐต่างๆ การไปที่ลานประหารคนเดียวเพื่อช่วยชีวิตใครบางคน ทฤษฎีโค่นรัฐ…
นางจินตนาการถึงภาพต่างๆ มากมาย ทว่ากลับไม่เคยนึกภาพเช่นนี้มาก่อน ในลานร่มรื่น แสงอาทิตย์รำไร คนคนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าไหมสีขาวงาช้างแขนกว้างโดยยืนสอดมือไว้ในแขนเสื้ออยู่กลางลานบ้าน นางเห็นเพียงใบหน้าด้านข้าง ผมสีดำสนิทที่แซมหงอกขาวเล็กน้อยถูกมัดรวบด้วยแถบผ้าไหมอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาถูกคาดปิดด้วยแถบผ้าไหมสีดำซึ่งผูกปมไว้ด้านหลังศีรษะ หางของมันห้อยย้อยอยู่บนไหล่และอีกอันหนึ่งห้อยอยู่ด้านหลัง
ฉากนั้นธรรมดาสามัญ อย่างไรก็ดีเมื่อลมพัด เสื้อแขนกว้างก็ปลิวว่อน แถบผ้าพริ้วสะบัดและได้กลิ่นของดินเจือจาง
“หนิงยา? ดอกกล้วยไม้ในลานบานแล้วหรือ?” คนที่อยู่ใต้ต้นไม้เอ่ยถาม น้ำเสียงไม่หยาบกระด้างเหมือนกับผู้ชายทั่วไป
หนิงยากล่าวอย่างเขินอาย “ท่านเจ้าคะ บ่าวปลูกดอกไม้สูงศักดิ์เช่นนั้นไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ ที่บ่าวปลูกก็ร่วงโรยไปหมดแล้ว มีดอกไม้บานที่ไหนกัน…นั่นมันแม่นางเจินต่างหาก”
“อ่อ แขกผู้อ่อนโยนมาแล้ว หวยจินเสียมารยาทที่มิได้ออกไปต้อนรับ ได้โปรดให้อภัยด้วย” ซ่งชูอีหันไปยิ้มเอ่ยน้อยๆ
เจินอวี๋มองดูริมฝีปากที่ยกยิ้มของซ่งชูอีที่ดูเหมือนจะอ่อนโยน รีบเดินลงจากบันได “มิกล้ารบกวนท่าน…”
นางยังไม่ทันพูดจบก็เห็นเงาสีขาวพุ่งเข้ามา เมื่อรอดูใกล้ๆ มันก็กลายเป็นหมาป่าสีขาวตัวใหญ่ นางกรีดร้องทันใด ตาเหลือกและเป็นลมพับไป
“เจียวเจียว เจียวเจียว!” สาวใช้สองสามคนวิ่งไปหาเจินอวี๋ด้วยความตกใจ
“ไป๋เริ่น เจ้าซนอีกแล้ว” ซ่งชูอีได้ยินการเคลื่อนไหวก็รู้ว่าแม่นางเจินผู้นั้นถูกไป๋เริ่นทำให้ตกใจจนหมดสติไปแล้ว หันไปพูดกับหนิงยา “พาแม่นางเจินไปพักผ่อนที่ห้อง แล้วเชิญท่านหมอมาดูอาการ”
จากนั้นพ่อบ้านตระกูลเจินก็เข้ามา ครั้นเห็นสถานการณ์ในลานก็พอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีจัดการเรียบร้อยแล้วก็ไม่เข้ามายุ่มย่ามอีก ทำได้เพียงประสานมือเอ่ย “เมื่อครู่ข้าน้อยขนข้าวของอยู่ที่ลานด้านนอก จึงให้เจียวเจียวเข้ามาก่อน ไม่คิดว่าจะรบกวนท่าน ได้โปรดท่านให้อภัยด้วย”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ท่านพ่อบ้านเจินเกรงใจแล้ว แม่นางผู้นี้จะรบกวนอะไรข้าได้? เป็นไป๋เริ่นต่างหากที่ทำให้น้องสาวตกใจ”
พ่อบ้านเจินกล่าวคำเกรงใจไม่กี่คำ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจเขาถึงรู้สึกว่าซ่งชูอีไม่ใคร่ยินดีต้อนรับการมาของเจินอวี๋เท่าใดนัก ทว่านี่คือการจัดเตรียมของเจ้านาย เขาก็ไม่เคลือบแคลงใจ ยิ่งไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นก็ทำได้เพียงทำเป็นมองไม่เห็น สั่งคนย้ายของขวัญเข้ามา พูดคุยกับซ่งชูอีสองสามคำจากนั้นก็กลับไปแล้ว
ขณะที่จากไป พ่อบ้านก็รู้สึกว่าซ่งชูอีอาจเป็นคนที่เย็นชาอยู่แล้วและตัวเองคิดมากไป ความรู้สึกที่ซ่งชูอีมอบให้เขาคือผืนน้ำกว้างใหญ่ที่เงียบสงบไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก ทว่าก็ดูเหมือนจะก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ได้ทุกเมื่อ คนเช่นนี้ไม่น่าจะสนใจอะไรกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
หนิงยาวิ่งมาจากทางเดินเสียงดังตึงตึงตึง ถอนหายใจเบาๆ “ท่านเจ้าคะ แม่นางเจินผู้นี้สวยมาก บนตัวยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย หอมมากเจ้าค่ะ”
“หญิงสูงศักดิ์หลายคนกินยาลับที่ทำจากดอกไม้และพืชตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งนานวันบนตัวก็จะยิ่งมีกลิ่นหอม เช่นนั้นข้าก็ทำให้เจ้ากินด้วยดีหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ย
หนิงยากล่าวด้วยความหวัง “จริงหรือเจ้าคะ?”
ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง “อะไรก็กล้ากินส่งเดช ไม่กลัวว่าข้าจะวางยาเจ้ารึ!”
หนิงยาหัวเราะร่วน ในใจรู้สึกว่าท่านยิ่งมีความเป็นมิตรมากขึ้น
“ท่านหวยจิน” เสียงที่นอบน้อมของเจียนดังขึ้น “นักรบกู่สองท่านมาแล้วขอรับ”
แม้ว่าสกุลกู่จะมีมาก ทว่าก็มีเพียงกู่หานและกู่จิงที่มาแวะคารวะนาง
ซ่งชูอีเอ่ย “พาพวกเขาไปห้องหนังสือเถิด”
[1] “เจินจวิ้น” พ้องเสียงกับคำที่แปลว่า “หล่อจริงๆ” “เจินเหม่ย” พ้องเสียงกับคำที่แปลว่า “สวยจริงๆ”
[2] จี๋จี ถึงอายุแต่งงาน (วันเกิดปีที่สิบห้าของหญิงสาว)