ตอนที่ 107 ผู้พิทักษ์

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“หากว่าเจ้าต้องการจะท้าประลองกับฉินอวี้โม่ เจ้าก็ต้องเอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน”

แม้ว่าเสียงของคนผู้มาใหม่จะไม่ดังและไม่ได้ทรงพลังมากมายนัก ทว่ากลับทำให้ผู้คนทั่วทั้งสนามประลองเงียบเสียงลงในทันที

“สวรรค์ เขาคือผู้พิทักษ์ของรุ่นน้องฉินอวี้โม่ จริงๆ อย่างนั้นหรือ ?”

เมื่อเห็นการปรากฏตัวของผู้เป็นเจ้าของเสียง ผู้ชมทั้งหลายก็อุทานอย่างตื่นตะลึง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้พิทักษ์ของฉินอวี้โม่ไปได้

“สวรรค์ ข้าต้องกำลังฝันอยู่แน่ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เห็นบุคคลในตำนานของที่นี่ตัวเป็น ๆ ด้วยตาตัวเองแบบนี้”

บุรุษผู้หนึ่งกล่าวอย่างพร่ำเพ้อ คนอื่น ๆ ที่ได้เห็นใบหน้าของผู้มาใหม่คนนี้ต่างก็เอามือขยี้ตาอย่างอดไม่ได้เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดกำลังคิดว่าตาของตัวเองอาจจะฝาดจนมองผิดไป

ทว่าเมื่อคนผู้นั้นเริ่มก้าวเดิน ฝูงชนที่ยืนชิดเกาะติดขอบสนามประลองอย่างหนาแน่นก็รีบหลบหลีกเพื่อแหวกเปิดทางให้เขาได้เดินผ่านเข้าไปอย่างช้า ๆ

ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นแต่งแต้มรอยยิ้มบาง กลิ่นอายและสภาวะพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาหนักแน่นและน่ายำเกรงจนไม่มีผู้ใดกล้าเฉียดกรายเข้าใกล้ รูปลักษณ์ของเขาดูสมบูรณ์แบบ ร่างกายกำยำสูงสง่า แผ่นหลังตั้งตรง บุคคลผู้น่าเกรงขามนั้นสวมใส่ชุดสีขาวสว่างดุจแสงจันทร์ องค์ประกอบทุกอย่างทำให้ ‘เหล่าบุรุษล้วนอับอายและสตรีทั้งหลายต่างลุ่มหลง’

“ราชินีผู้งดงามของข้า ต้องขออภัยที่ผู้พิทักษ์ของท่านมาสาย”

แม้เขาจะเอื้อนเอ่ยประโยคอันแสนสั้น แต่ใจความนั้นกลับทำให้ผู้คนทั้งหมดแตกตื่น

“โอ้สวรรค์ หากมีใครมาพูดกับข้าเช่นนั้นบ้าง ข้าคงจะสำลักความสุขจนตายไปเลยแน่ ๆ !”

หญิงสาวผู้หนึ่งอดรำพึงรำพันออกมาไม่ได้ ขณะเดียวกันนางก็มองดูฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอิจฉา

“ข้าก็เหมือนกัน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องจะได้เขามาเป็นผู้พิทักษ์ แค่คนอย่างเขาสนใจมองข้าสักครู่ ข้าก็มีความสุขมากแล้ว”

หญิงสาวคนอื่น ๆ ก็มองไปยังบุรุษที่กำลังยืนอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ด้วยสายตาหลงใหลไม่ต่างกัน

“แต่เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าคนผู้นั้นนักนะ ?”

จนถึงตอนนี้มีบางคนที่ยังไม่ทราบถึงตัวตนของคนที่ยืนอยู่เคียงข้างฉินอวี้โม่ อย่างไรก็ตามเขากลับรู้สึกคุ้นหน้า คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จักจึงถามออกไปด้วยความสงสัย

“ใช่ ใช่ เหมือนกับว่าข้าจะเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน”

ใครอีกคนกล่าวเสริม เขากำลังนิ่วหน้าพลางครุ่นคิดทบทวนว่าเคยพบเจอคนผู้นั้น ณ ที่ใด

“ข้านึกออกแล้ว มีรูปปั้นของเขาอยู่ในคลังสมบัติของโรงเรียน”

ทันใดนั้น บุรุษคนหนึ่งในกลุ่มผู้ชมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้

“ใช่แล้ว เหมือนกันมาก ไม่มีผิดเพี้ยนเลย เขาต้องเป็นต้นแบบของรูปปั้นในคลังสมบัติไม่ผิดแน่”

ผู้ที่เคยไปยังคลังสมบัติของโรงเรียนและเคยได้เห็นรูปปั้นนั้นมาแล้วต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

“เช่นนี้ งั้นคนผู้นี้ก็คือ เขาก็คือ…”

เมื่อนึกถึงตัวตนของคนที่ยืนอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่แล้วทุกผู้คนในสนามประลองก็ล้วนกล่าวสิ่งใดไม่ออก

“ตำนานแห่งโรงเรียนราชสำนัก คนที่จบการศึกษาไปเมื่อสามปีก่อน บุรุษผู้มีความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่มีผู้ใดหยั่งถึงได้ ….รุ่นพี่หานโม่ฉือ !

ในที่สุดก็มีคนตั้งสติได้และเอ่ยชื่อหานโม่ฉือออกมา อย่างไรก็ตามน้ำเสียงของคนผู้นั้นก็เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง

คนทั้งหมดในโรงเรียนต่างก็เคยได้ยินและรู้จักนามนี้ดี

กล่าวกันว่าโรงเรียนราชสำนักมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์สองคนที่พวกเขาฟูมฟักมาจนกลายเป็นตำนานของโรงเรียน อัจฉริยะคนแรกจบการศึกษาไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน นางเป็นสตรีผู้มีนามว่าอวิ๋นซื่อเทียน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นอัจฉริยะรุ่นปัจจุบัน เขาเพิ่งจะสำเร็จการศึกษาไปเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งก็คือหานโม่ฉือบุรุษผู้มีพรสวรรค์เป็นเลิศแห่งตระกูลหาน

ว่ากันว่าบุคคลทั้งสองจบจากโรงเรียนไปขณะที่มีอายุไม่ถึงสิบแปดปี และในตอนที่จบการศึกษานั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็อยู่เหนือกว่าขอบเขตมายาบรรพชนเก้าดาราอีกด้วย  เพราะเป็นนักเรียนอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่ง ทางโรงเรียนจึงสร้างรูปเหมือนของพวกเขาขึ้นเพื่อเก็บเป็นเกียรติประวัติยกย่องเชิดชูความสามารถโดยตั้งแสดงไว้ในคลังสมบัติของโรงเรียน

เมื่อได้เห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหานโม่ฉือบุคคลในตำนาน นักเรียนทั้งหลายจึงอดตื่นเต้นกันไม่ได้ เพราะไม่เพียงแต่เป็นตำนานแต่รุ่นพี่ผู้นี้ยังเป็นที่เทิดทูนของทุกคน

“สวรรค์ เขาคือหานโม่ฉือจริง ๆ รุ่นพี่หานโม่ฉือในตำนาน !”

หญิงสาวบางคนกรีดร้องออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินชื่อของหานโม่ฉือ แม้จะเย็นชาเหนือคำบรรยาย แม้จะไม่เคยชายตาแลสตรีคนไหน แต่เขาก็ดูดีมีเสน่ห์และกระชากใจพวกนางอย่างเหลือล้น บุคคลผู้เก่งกาจอาจหาญ บุรุษที่หล่อเหลาคมเข้ม บุรุษผู้ไร้ซึ่งข้อตำหนิทุกประการ บุรุษผู้เป็นที่หมายปองของสตรีมากมายในโรงเรียนราชสำนัก จู่ ๆ คนผู้นี้ก็ปรากฏตัวในโรงเรียนต่อหน้าต่อตา พวกนางกำลังรู้สึกราวกับว่าตนจะเป็นลมล้มพับไปได้ทุกเมื่อ

“เช่นนี้แล้วก็หมายความว่ารุ่นพี่หานโม่ฉือคือผู้พิทักษ์ของรุ่นน้องฉินอวี้โม่อย่างนั้นรึ ?”

นักเรียนผู้หนึ่งที่ได้สติกลับคืนจากอาการตื่นตะลึงและนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เขาจ้องมองหานโม่ฉือที่ยืนอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่พลางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

คำถามนั้นเรียกสติของทุกคนเช่นกัน และทำให้ทุกสายตาหันไปมองดูฉินอวี้โม่สลับกับหานโม่ฉืออย่างอดไม่ได้ พวกเขาทั้งหมดก็อยากรู้ว่าสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินนั้นเป็นความจริงหรือไม่

“อวี้โม่ ข้าคิดถึงเจ้ามาก”

เมื่อเดินเข้ามาถึง หานโม่ฉือก็สำรวจดูทั่วร่างกายของสตรีอันเป็นที่รัก ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าจับมือบางที่แสนคิดถึงขึ้นมากุมเอาไว้ จากนั้นก็ดึงร่างแน่งน้อยเข้ามาในอ้อมแขนอย่างโหยหา

ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่ได้สติกลับมา บนใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความประหลาดใจทว่าในใจกลับมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

“โม่ฉือ ข้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน”

ฉินอวี้โม่ตอบด้วยเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะสามารถคิดถึงคนคนหนึ่งมากถึงเพียงนี้ได้

“ไม่อยากจะเชื่อ รุ่นพี่หานโม่ฉือกำลังโอบประคองร่างของฉินอวี้โม่ ข้ากำลังมองผิดไปใช่หรือไม่ ?!”

หญิงสาวผู้หนึ่งส่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจ ทว่าน้ำเสียงของนางกลับไม่มีความอิจฉาแฝงอยู่แม้แต่น้อย

ภาพที่หานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ยืนเคียงคู่กันอย่างสนิทสนมนั้นดูงดงามราวภาพวาดที่บรรจงสรรค์สร้าง พวกเขาทั้งคู่ดูเหมาะสมราวกับมังกรคู่ชายหญิง แม้ว่าหานโม่ฉือจะเป็นเสมือนเทพบุตรมาจุติและเป็นคนที่ไม่ว่าสตรีคนใดก็ล้วนหมายปองอยากครองคู่ ทว่าภาพที่ได้เห็นตรงหน้านี้กลับไม่ได้ทำให้พวกนางรู้สึกริษยาเลย ตรงกันข้ามพวกนางต่างก็รู้สึกว่าทั้งคู่เหมาะสมกันเหลือเกิน

“ที่แท้รุ่นน้องฉินอวี้โม่ก็มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับรุ่นพี่หานโม่ฉือนี่เอง หึ ตอนนี้ข้าอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าจีหย่งจะหยิ่งยโสต่ออีกหรือไม่ !”

ในตอนนี้เริ่มมีคนหันกลับไปให้ความสนใจบุรุษสองพี่น้องแซ่จีแล้ว

ทันทีที่ได้เห็นการปรากฏตัวของหานโม่ฉือ ใบหน้าของจีหย่งก็น่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก มันบิดเบี้ยวราวกับบิดาเพิ่งเสียไปอย่างกะทันหันอย่างไรอย่างนั้น

ทว่าทางด้านจีชางกลับมีสีหน้าและแววตาที่หวาดหวั่น เขาได้แต่เบิกตากว้างจ้องมองหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ อันธพาลผู้ไร้เหตุผลกำลังกล่าวสิ่งใดไม่ออก

“ที่แท้รุ่นพี่หานโม่ฉือก็จับตาดูอยู่ตลอด หากว่าข้ารู้ ข้าคงไม่เข้ามาแย่งหน้าที่นี้แต่แรก”

เมื่อเห็นหานโม่ฉือปรากฏตัว แม้แต่เพ่ยหลงที่อยู่ฝ่ายสนับสนุนฉินอวี้โม่ก็ยังรู้สึกกดดันและกังวล หานโม่ฉือเก่งกาจจนไม่อาจหยั่ง คนผู้นี้น่าสะพรึงกลัวดั่งยักษ์มารเลยก็มิปาน ไม่ต้องกล่าวถึงจีหย่งเลย ต่อให้เป็นผู้ที่อยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบนภาหรือต่อให้เป็นเหล่าอาจารย์ นับแต่นี้ไปก็คงไม่มีผู้ใดกล้ารังแกฉินอวี้โม่อีกแล้ว

“ขอบคุณรุ่นพี่ที่ช่วยเหลือ”

เมื่อได้ยินวาจาของเพ่ยหลง ฉินอวี้โมก็ผละตัวออกจากอ้อมแขนของหานโม่ฉือก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มขอบคุณ นางไม่รู้ว่าหานโม่ฉือจะปรากฏตัว หากนางรู้แต่แรกก็คงไม่ต้องให้เพ่ยหลงลำบากออกหน้าช่วยเหลือถึงเพียงนี้

“ฮ่า ๆ ๆ ด้วยความยินดี พวกเราเป็นสหายกันมิใช่หรือ ?”

เพ่ยหลงยิ้มและถอนตัวกลับเข้าไปในฝูงชน นางคิดว่าในตอนนี้ถอยออกนั่งรอชมเรื่องสนุก ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้จะดีกว่า กล้ามารังแกฉินอวี้โม่ต่อหน้ารุ่นพี่หานโม่ฉือ เห็นทีว่าจีหย่งคงจะมีจุดจบที่ไม่สวยหรูเสียแล้ว

“จีหย่ง ข้าได้ยินว่าเจ้าต้องการจะรังแกโม่เอ๋อร์ของข้าและยังต้องการให้นางออกจากโรงเรียนราชสำนักด้วยใช่หรือไม่ ?”

หานโม่ฉือและจีหย่งรู้จักกันเป็นอย่างดี พวกเขาเข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักในเวลาไล่เลี่ยกัน หานโม่ฉือเข้าเรียนก่อนจีหย่งหนึ่งปี เมื่อแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่งแล้วอัจฉริยะตระกูลหานก็ขอจบการศึกษา ในขณะที่จีหย่งยังคงต้องศึกษาต่อ โรงเรียนราชสำนักไม่มีข้อจำกัด แม้ว่าจะบรรลุสองเงื่อนไขแล้วแต่หากว่านักเรียนยังต้องการศึกษาต่อก็สามารถทำได้ แต่หากว่าพอใจแล้วก็จะถือว่าจบการศึกษา

แน่นอนว่าในเวลานั้นหานโม่ฉืออยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบนภา ทว่าจีหย่งยังเป็นเพียงผู้ท้าชิงในอันดับมากกว่าห้าสิบ ความห่างชั้นของทั้งสองคนนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน

“หานโม่ฉือ เป็นเพราะฉินอวี้โม่มารังแกน้องชายของข้าก่อน ดังนั้นข้าจึงต้องมาทวงความเป็นธรรมให้เขา ข้าส่งคำท้าทายให้นาง นางจะรับหรือไม่รับก็สามารถทำได้”

แม้ว่าจะลังเล แต่จีหย่งก็ตัดสินใจข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้และกล่าวออกไปด้วยความยำเกรงอีกฝ่าย ที่เขาทำเช่นนี้เพราะเป็นห่วงอนาคตของน้องชาย ตัวเขาเองได้ศึกษาเล่าเรียนและใช้หอคอยวิญญาณจนพอใจแล้ว ต่อให้ต้องออกจากโรงเรียนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าจีชางยังมีโอกาสในการเรียนรู้และยังก้าวหน้าได้อีกมากเมื่ออยู่ที่นี่ ดังนั้นพี่ชายอย่างเขาจึงไม่อยากให้น้องชายต้องออกจากโรงเรียนในตอนนี้

เพื่อน้องชายแล้ว จีหย่งจึงไม่กล้าทำตัวโอหังต่อหน้าหานโม่ฉือ

“โอ้ จริงหรือ ?”

ใบหน้าของหานโม่ฉือเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า หากโม่เอ๋อร์ไม่รับคำท้าของเจ้า เจ้าจะฆ่านางทิ้งล่ะ ?”

วาจาของหานโม่ฉือเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นการถามพลางส่งคำเตือนให้อีกฝ่าย เมื่อครู่นี้ตอนที่เขายืนดูอยู่ เขารู้สึกได้ถึงจิตสังหารรุนแรงของจีหย่ง หากว่าฉินอวี้โม่ไม่รับคำท้าเมื่อครู่ คนไร้เหตุผลผู้นั้นก็เตรียมจะลงมือสังหารนาง

เมื่อได้ยินสิ่งที่หานโม่ฉือกล่าว สีหน้าของจีหย่งก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เขาไม่คิดเลยว่าหานโม่ฉือจะอ่านใจของเขาออกและยังกล่าวออกมาเช่นนี้ จีหย่งรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกในน้ำเสียงของหานโม่ฉือ และมันทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกจนต้องรีบส่ายศีรษะ “ไม่ ฉินอวี้โม่คือรุ่นน้องของข้า ข้าจะสังหารนางได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นก็ยังมีกฎของโรงเรียนอยู่ พวกเราไม่สามารถทำร้ายร่างกายใครได้ รุ่นพี่หานลืมไปแล้วหรือ ?”

“แน่นอนว่าข้าไม่ลืม เพียงแต่ข้าเกรงว่าคงมีคนที่เตรียมใจจะออกจากโรงเรียนไว้แล้วจึงคิดจะแหกกฎนั้น”

แม้จะเป็นประโยคที่หานโม่ฉือเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มันกลับเสียดแทงเข้าไปในใจของจีหย่งได้อย่างรุนแรง

“จีหย่งอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ คนที่เป็นฝ่ายหาเรื่องโม่เอ๋อร์ก่อนก็คือน้องชายของเจ้า”

หานโม่ฉือหันไปมองฉินอวี้โม่ ก่อนจะกล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้น ต่อให้โม่เอ๋อร์ของข้ารังแกเขาก่อน แล้วมันจะอย่างไร ? โม่เอ๋อร์คือราชินีของข้า นางอยากรังแกใครข้าก็จะสนับสนุนนางด้วยมือทั้งสองข้าง ข้าจะช่วยนางจัดการกับคนผู้นั้น จีหย่งเจ้าอยากจะลองดูหรือไม่ ?”

ทันทีที่เสียงนั้นจบลง หานโม่ฉือก็ปลดปล่อยแรงกดดันบางส่วนออกมาจากร่างกาย

— สูด ~ —

เมื่อได้ฟังวาจานั้นของหานโม่ฉือ ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความเผด็จการและเด็ดเดี่ยวไม่เกรงกลัวผู้ใดของอัจฉริยะผู้นี้ โดยเฉพาะถ้อยคำที่กล่าวว่าฉินอวี้โม่คือราชินีของเขา หากนางอยากรังแกใครเขาก็จะช่วยนางจัดการกับคนผู้นั้น มันสื่อถึงความหยิ่งยโสและเอาแต่ใจอย่างเหลือล้น แต่ที่สำคัญมันทำให้ทุกคนขนลุกซู่ !

นี่เท่ากับว่าตราบใดที่ยังมีหานโม่ฉืออยู่ฉินอวี้โม่ก็มีอิสระสามารถทำอะไรกับใครและอย่างไรก็ได้เพราะไม่มีผู้ใดกล้าพอจะมีเรื่องกับบุรุษน่ากลัวผู้นี้

ความเผด็จการของหานโม่ฉือทำให้จีหย่งและคนอื่น ๆ กล่าวสิ่งใดไม่ออก แม้แต่ส่งเสียงพวกเขาก็ยังไม่กล้า อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้แรงกดดันที่หานโม่ฉือปลดปล่อยออกมากลับพุ่งตรงเข้าปะทะเข้าร่างของจีหย่งแต่เพียงผู้เดียว

ในเวลานี้ทุกสายตาเห็นเช่นเดียวกันว่า ใบหน้าของจีหย่งเปลี่ยนเป็นซีดขาวไร้สีโลหิต ร่างทั้งร่างของเขากำลังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ในตอนนี้ทุกคนเข้าใจดีแล้วถึงความแข็งแกร่งและความน่าหวาดหวั่นของหานโม่ฉือ

“สหายน้อยโม่ฉือ ไม่ง่ายเลยที่จะทำให้คนอย่างเจ้ายอมก้าวเข้ามาเยี่ยมเยียนโรงเรียนของเราอีก ไหน ๆ เข้ามาแล้วก็ช่วยไว้หน้าข้าสักหน่อยเถอะ”

จีหย่งรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาในฉับพลัน เมื่อครู่มีพลังกระแสหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยเพื่อปลดปล่อยเขาจากแรงกดดันของหานโม่ฉือ

“อธิการ ไม่เจอท่านไม่ทันไร ความแข็งแกร่งของท่านดูจะเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยนะ”

เมื่อหานโม่ฉือได้ยินเสียงของบุรุษผู้มาใหม่ รอยยิ้มน้อย ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“ฮ่า ๆ ผู้ที่ก้าวหน้าได้เร็วจนน่ากลัวมันคือเจ้าไม่ใช่หรือไง ?”

มู่อวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล จากนั้นร่างของอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนักก็ปรากฏขึ้นข้างกายหานโม่ฉือ

“ท่านอธิการไม่ต้องเป็นห่วง ข้าต้องไว้หน้าท่านอยู่แล้ว แต่อย่างไรเรื่องในวันนี้ท่านก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซง”

เมื่อรับรู้ว่ามู่อวิ๋นปรากฏตัวขึ้นด้านข้าง หานโม่ฉือก็หันไปมองเขาด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ยตอบ

“เอาเถอะ ตราบใดที่เจ้าไม่ทำอะไรเกินเลย ข้าก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง”

มู่อวิ๋นครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับคำพลางมองฉินอวี้โม่ บุรุษผมสีมหาสมุทรกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หนุ่มน้อย ในที่สุดเจ้าก็พบคนที่เหมาะสมแล้วสินะ ในที่สุดข้าก็ได้เห็นว่าเจ้าก็ยิ้มเป็นกับเขาเสียที”

“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าไม่ยอมให้ใครทำร้ายนาง”

หานโม่ฉือเอ่ยคำตอบโต้อธิการมู่อวิ๋นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปหาจีหย่งอย่างช้า ๆ

“จีหย่ง หากว่าในอนาคตเจ้ายังกล้าหาเรื่องโม่เอ๋อร์ ข้าจะไม่ลังเลที่จะมาที่นี่เพื่อ ‘เล่น’ กับเจ้าด้วยตัวเอง”

หานโม่ฉือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา วาจานั้นหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ และมันก็ทำให้ร่างกายของจีหย่งสั่นสะท้านไม่หยุด แต่ถึงอย่างนั้น ภายในหัวใจของบุรุษผู้ครองอันดับสามของทำเนียบนภาก็ยังคงมีกระแสแห่งความไม่ยินยอมอันแสนบางเบาปรากฏอยู่

“เนื่องจากวันนี้เจ้าทำให้โม่เอ๋อร์ของข้าตกใจกลัว เจ้าก็ควรจะรับผิดชอบ มิฉะนั้นแล้วโม่เอ๋อร์ของข้าก็คงจะไม่ชอบใจ และแน่นอนว่าข้าก็จะทำให้น้องชายของเจ้าได้ตกใจกลัวเหมือนกัน !”

หานโม่ฉือเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ทุกผู้คนกล่าวสิ่งใดไม่ออกขึ้นมาอีกครั้ง

วาจาของบุรุษน่าเกรงขามผู้นี้เป็นการข่มขู่อย่างชัดเจน ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าหากวันนี้จีหย่งไม่นำสิ่งใดมาชดใช้หรือหาวิธีใดชดเชย หานโม่ฉือก็จะไม่ยอมจบเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด

.