ภาคที่ 2 บทที่ 265 อำลา

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนฝืนกลั้นความเสียใจเอาไว้ และรีบเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานออกมา

วันนี้เป็นวันดีที่นางออกเรือน ท่านลุงใหญ่ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ และพวกท่านพี่ของนางตั้งใจรีบมาจากเมืองหลวง เพื่อส่งนางโดยเฉพาะ แล้วนางจะทำหน้ากลัดกลุ้ม ทำให้ญาติพี่น้องในครอบครัวเป็นห่วงได้อย่างไร?

ฮูหยินฝางเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา และเอ่ยว่า “เจ้าดูนางสิ ดูเสียใจสักนิดที่ไหนกัน? เมื่อครู่ยังบอกข้าอยู่เลยว่า หากทะเลาะกับลูกเขย จะไล่ลูกเขยออกไป ฟังที่พูดเข้าสิ ยังดีที่คนของตระกูลหลี่ไม่อยู่ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าคนนี้ยังไม่ได้แต่งงาน ชื่อเสียงของผู้หญิงที่ร้ายกาจก็ต้องเผยแพร่ไปทั่วต้าถงแล้ว!”

แม้นางจะเห็นความหดหู่ของเจียงเซี่ยนเมื่อครู่กับตา แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะเจียงเซี่ยนจะแต่งงานแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องรู้สึกเศร้าเล็กน้อย จึงรีบใช้คำพูดหยอกล้อเจียงเซี่ยน ด้วยไม่อยากให้เจียงเซี่ยนเศร้าขนาดนั้น

ฮูหยินฉีก็เข้าใจว่าเจียงเซี่ยนเศร้าเพราะคิดว่าจะต้องอยู่ห่างไกลจากญาติพี่น้องหลังจากแต่งงานเช่นกัน จึงไม่เพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจ ทว่ายังหยอกเล่นตามคำพูดของฮูหยินฝางด้วย “ข้ากลับคิดว่าท่านหญิงพูดจามีเหตุผล ทำไมพอทะเลาะกันก็ต้องให้ผู้หญิงอย่างพวกเราหลบเลี่ยง ผู้ชายอย่างพวกเขาก็ไสหัวออกไปได้เหมือนกันนี่นา! ข้าว่า…ท่านหญิงของพวกเราทำแบบนี้ถึงจะเหมือนผู้หญิงจากเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าแห่งอย่างพวกเรา ตรงไปตรงมา เป็นธรรมชาติ กล้าหาญ มีพลัง และมีความสามารถ!”

ทำไมฮูหยินฝางจะดูไม่ออกว่าฮูหยินฉีกำลังอยากสร้างบรรยากาศขึ้นมา ดังนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าก็ตามใจนางไปเถอะ! ไว้วันไหนลูกเขยมาขอความเห็นจากเจ้าถึงจวน ข้าจะดูว่าเจ้าจะทำอย่างไร?”

“ก็ยังมีท่านกับเจิ้นกั๋วกงไม่ใช่หรือ?” ฮูหยินฉีเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “แล้วข้าจะกลัวอะไร!”

ทุกคนหัวเราะเสียงดัง

เจียงเซี่ยนก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

ความกลัดกลุ้มอันน้อยนิดในใจนั้นถูกกดลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจแล้ว

มีแม่บ้านวิ่งเข้ามาอย่างหอบหายใจหนัก และเอ่ยติดกันหลายครั้งว่า “เกี้ยวเจ้าสาวของตระกูลหลี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ เกี้ยวเจ้าสาวของตระกูลหลี่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ” คนที่อยู่ในห้องบางคนตะโกนว่า “ว้าย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านกั๋วกงน้อยขัดขวางคนไว้ได้หรือไม่” บางคนก็เอ่ยว่า “เร็ว รีบดูการแต่งหน้าของท่านหญิง ทาปากเร็วเข้า เมื่อครู่ตอนที่ท่านหญิงกินบัวลอยลบสีทาปากไปหมดแล้ว” แล้วก็มีบางคนเอ่ยว่า “รีบดูว่าของของท่านหญิงเตรียมพร้อมหมดหรือยัง” …บรรยากาศในห้องโกลาหลและเต็มไปด้วยความสุขทันที

แต่ไป๋ซู่กลับจับมือของเจียงเซี่ยนแน่น มองเจียงเซี่ยนด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มอวยพร และเอ่ยเสียงใสว่า “เป่าหนิง ใต้เท้าหลี่ชอบเจ้าขนาดนั้น ต่อไปเขาจะต้องดีกับเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ข้างกายเขาอย่างสุขสบาย!”

น้ำเสียงของนางหนักแน่นมาก ทว่าเจียงเซี่ยนที่รู้จักนางเป็นอย่างดีกลับรู้ว่า นี่เป็นเพียงคำอวยพรของนางเท่านั้น ส่วนที่ตนเองแต่งไปตระกูลหลี่ และแต่งงานกับหลี่เชียนนั้น นางแลดูสงสัยมาโดยตลอด แต่นางใส่ใจและเป็นห่วงตนเองแบบนี้ เจียงเซี่ยนก็รู้สึกอบอุ่นมาก จึงจับมือของไป๋ซู่ตอบ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะใช้ชีวิตกับหลี่เชียนอย่างดี และจะไม่เอ่ยว่ายอมแพ้ง่ายๆ”

บนโลกใบนี้ไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์แบบ ต่อให้นางกับหลี่เชียนใจตรงกัน แต่ความดื้อรั้นของตระกูลเจียงกับความทะเยอะทะยานของตระกูลหลี่ต่างจะก็เป็นอุปสรรคที่ล่องหนอยู่ในชีวิตของนางหลังจากนี้ ทว่าหากนางไม่ทำอะไรทั้งนั้นเพราะแบบนี้ เช่นนั้นจะแตกต่างจากชาติก่อนตรงไหน? ทำไมนางต้องเกิดใหม่? ทำไมต้องเจอหลี่เชียน?

ต่อให้สักวันหนึ่ง หลี่เชียนจะวางผลประโยชน์ของตระกูลอยู่เหนือนาง ตอนนี้นางช่วงชิงมาแล้ว ต่อไปก็จะไม่เสียดายเช่นกัน

เจียงเซี่ยนสูดหายใจลึก และค่อยๆ เดินออกจากห้องพักผ่อน โดยมีฮูหยินของหลี่ขุยเจ้าเมืองไท่หยวนที่มาเป็นเฉวียนฝูเหรินของตระกูลหลี่คอยประคอง

ก่อนที่จะออกไปข้างนอก นางยังไม่ลืมกำชับฉิงเค่อว่า “เดี๋ยวอย่าลืมเอาหุ่นไม้ของข้าไปด้วย”

ระหว่างทางต้องเดินทางหลายวัน นางลงจากรถไม่ได้ เปิดหน้าต่างรถไม่ได้ ก็ย่อมต้องหาอะไรทำสักหน่อย

ฮูหยินหลี่หัวเราะ พลางคิดว่าถึงแม้เจียงเซี่ยนจะรูปร่างสูงมาก แต่ก็ยังคงเป็นเด็กคนหนึ่งเช่นเดิม จะแต่งงานแล้ว กลับคิดถึงตุ๊กตาของตนเองอยู่ตลอดเวลา

ทว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

ต่อไปทั้งมณฑลซานซีจะไม่มีผู้หญิงคนไหนฐานะเทียบเท่าท่านหญิงเจียหนาน มีเด็กที่อ่อนต่อโลกมา ย่อมดีกว่ามีชนชั้นสูงหรือราชนิกุลที่โอหังและอวดดีมามาก

เจียงเจิ้นหยวนกับฮูหยินฝางนั่งอยู่ที่ห้องโถงแล้ว เจียงเจิ้นหยวนสวมหมวกเจ็ดแถบของกั๋วกงขั้นพิเศษ ส่วนฮูหยินฝางบนมงกุฏเสียบปิ่นปักผมไก่ป่าหางยาวทองสองอัน ปิ่นปักผมมุกห้าอัน และเมฆสีฟ้ายี่สิบสี่ชิ้น นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าจริงจังและระมัดระวัง

พอเห็นเจียงเซี่ยนออกมา สีหน้าของเจียงเจิ้นหยวนก็ขยับเล็กน้อย เดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปาก เหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายนัยน์ตากลับหม่นหมอง และไม่พูดอะไรทั้งนั้น ส่วนฮูหยินฝางก็ขอบตาชื้นอย่างห้ามไม่อยู่ จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดตรงหางตา

ฮูหยินหลี่ก็เป็นสตรีชนชั้นสูงที่ค่อนข้างโดดเด่นที่ซานซีเช่นกัน และจะไม่เป็นเฉวียนฝูเหรินให้ใครง่ายๆ แต่สายตากับความรู้ของนางต่างก็อยู่ตรงนั้น นางช่วยคนทำงานอย่างจริงใจ แล้วก็เป็นผู้หญิงที่พูดจาคล่องแคล่วเช่นกัน พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านกั๋วกงกับฮูหยินของพวกเรากำลังอาลัยอาวรณ์ท่านหญิง! พวกท่านวางใจเถอะ ใต้เท้าหลี่ของพวกเราอยากแต่งกับท่านหญิงด้วยใจจริง ท่านหญิงแต่งไปแล้ว จะรักเหมือนเป็นลูกสาวของตนเอง และจะไม่ทำให้ท่านหญิงน้อยใจแม้แต่นิดเดียวอย่างแน่นอน” นางพูดไปก็ส่งสัญญาณให้สตรีที่คอยดูแลเจ้าสาวในพิธีแต่งงานที่ติดตามอยู่ข้างกายวางเบาะรองนั่งทรงกลมที่ทำจากธูปฤาษีที่เตรียมไว้พร้อมนานแล้วลงตรงหน้าเจียงเซี่ยน

เวลานี้เจียงเซี่ยนถึงจะมีความรู้สึกของการแต่งงาน

นางกำลังจะไปจากท่านลุง ท่านป้า ไทฮองไทเฮา และเดินในเส้นทางที่แตกต่างจากชาติก่อนอย่างสิ้นเชิงและไม่รู้ว่าจะดีหรือร้ายตั้งแต่นี้ไป

“ท่านลุง! ท่านป้า!” เจียงเซี่ยนค่อยๆ คุกเข่าลง แล้วน้ำตาก็ร่วงลงมาเอง

ฮูหยินฉีรีบก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเปลือกตาของเจียงเซี่ยน และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ร้อง ไม่ร้อง วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า ระวังร้องไห้แล้วเครื่องสำอางหลุด”

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่นมาตลอด

นางเคยแต่งงานครั้งหนึ่ง

แม้แต่ครั้งนั้น นางก็ไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเจ้าสาวคนอื่นเช่นกัน

ไปจากจวนเจิ้นกั๋วกง ไปจากตระกูลเจียง กลับไปยังพระราชวังต้องห้ามที่นางคุ้นเคย กลับไปอยู่ข้างกายไทฮองไทเฮาที่รักนาง นางกลับโล่งอก และคิดว่าต่อไปช่วงปีใหม่หรือเทศกาลอื่นๆ ก็ไม่ต้องกลับจวนเจิ้นกั๋วกงอีกแล้ว ไม่ต้องเห็นสายตาที่เจือความรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเวลาที่ท่านลุงใหญ่มองนางอีกแล้ว

เวลานี้นางนึกขึ้นได้ถึงรู้ว่า สำหรับหลานสาวที่ไม่ได้เติบโตอยู่ข้างกายตั้งแต่เด็กอย่างนางนั้น ไม่ว่าจะท่านลุงใหญ่หรือท่านป้าสะใภ้ใหญ่ต่างก็เอาใจใส่นางมาโดยตลอด และเพราะเป็นห่วงนาง รักและทะนุถนอมนาง ถึงได้ปล่อยให้นางอยู่ในวังตลอด จนกระทั่งแต่งงานกับจ้าวอี้

ถึงเวลานี้ นางถึงจะเข้าใจความรักที่จริงใจและลึกซึ้งที่แม่มีต่อลูก แม้จะช้าไปหน่อย แต่อย่างไรก็ไม่เสียใจแล้ว

หยาดน้ำตาของนางร่วงลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทำให้ผ้าเช็ดหน้าของฮูหยินฉีเปียกชุ่มอย่างเงียบๆ

ฮูหยินฉีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าตามไปด้วยเช่นกัน

ผู้หญิงนั้นตอนที่เป็นหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานอยู่ที่บ้านของตนเองย่อมดีกว่าอะไรทั้งนั้นอยู่แล้ว พอแต่งงานแล้ว กลายเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลอื่นแล้ว ก็ต้องควบคุมอาหารการกินในบ้าน ต้องมีลูก ต้องปรนนิบัติสามี เมื่อมีภาระหน้าที่อยู่กับตัวแล้ว ต่อให้ครอบครัวของสามีจะดีกับเจ้าแค่ไหน ก็ไม่มีความไร้เดียงสา เปิดเผย และเป็นธรรมชาติอย่างตอนที่เป็นหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานแล้ว…

เพราะนางมีความรู้สึกจึงแสดงความคิดเห็นออกมา

คนอื่นที่อยู่ในห้องก็สะเทือนใจเช่นกัน

สถานการณ์ที่เดิมทีมีความสุขกลายเป็นรู้สึกเศร้าขึ้นมาในทันใด

ฮูหยินหลี่รีบเอ่ยว่า “เจิ้นกั๋วกง ฮูหยินกั๋วกง ท่านหญิงก็ยังมีฮูหยินฉีดูแลไม่ใช่หรือ? หากท่านคิดถึงท่านหญิงเมื่อไร ก็มาเยี่ยมท่านหญิงบ่อยๆ ได้เช่นกัน ถึงแม้ท่านหญิงจะแต่งงานแล้ว และไม่สามารถปรนนิบัติท่านทั้งสองได้ตลอด แต่พวกท่านก็มีลูกเขยที่ดีเพิ่มมาอีกคนหนึ่งเหมือนกันนี่นา! สุภาษิตกล่าวไว้ดี ลูกเขยก็ถือว่าเป็นลูกชายเช่นกัน ต่อไปลูกเขยกับท่านหญิงกตัญญูต่อพวกท่านด้วยกัน ไม่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ!”

“ดีกว่า! ดีกว่า!” ฮูหยินฝางรีบเอ่ยต่อ และยิ้มออกมาอย่างเจือความปลื้มใจและเอ็นดูเล็กน้อย

ฮูหยินหลี่จึงรีบฉวยโอกาสเอ่ยว่า “ท่านหญิง ยังไม่รีบคุกเข่าคำนับท่านกั๋วกงกับฮูหยินกั๋วกงอีก!”

คุกเข่าคำนับแล้ว อำลาบิดามารดาแล้ว คลุมผ้าคลุมหน้า ก็ต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวแล้ว

———————————-