บทที่ 34 ผึ้งเหมันต์
บทที่ 34 ผึ้งเหมันต์

ทุก ๆ สามปี เขตแดนต้องห้ามจะปรากฏขึ้นภายในดินแดนรกร้างใต้พิภพ

หากผู้ใดต้องการเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพ ย่อมต้องเดินผ่านป่าอันกว้างใหญ่ที่มีบรรดาอสูรปีศาจอาศัยกันอยู่อย่างคับคั่ง แล้วถึงจะเข้าไปยังเขตแดนต้องห้ามได้ แต่กระนั้น ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าจะพบกับอสูรปีศาจตัวใหญ่ยักษ์ที่ดำรงอยู่ภายใน กล่าวได้ว่าทั่วทุกหนแห่งมีจิตสังหารแฝงเร้นอยู่ นับเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง

เนื่องจากการปรากฏตัวของดินแดนรกร้างใต้พิภพ ทำให้เมืองหมอกสนในตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยฝูงชน บนท้องถนนมีคนพลุกพล่านมากกว่าเมื่อก่อนถึงสองสามเท่า มองไกล ๆ ดูเป็นภาพที่แออัดราวกับมวลน้ำหลากอย่างเห็นได้ชัด

“สำนักพันกระบี่ เมืองศิลาหยก เมืองหยดทราย… ดูเหมือนว่าผู้บ่มเพาะจากทุกสำนักในดินแดนทางตอนใต้จะมาปรากฏตัวที่นี่แล้ว การทดสอบ ณ ดินแดนรกร้างใต้พิภพครั้งนี้ นับเป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!”

“แล้วผู้ใดว่าไม่ใช่? ข้าสงสัยนักว่าจวนแม่ทัพกำลังคิดอันใดอยู่ ถึงยินยอมให้ผู้บ่มเพาะจากภายนอกเข้าร่วมได้ ไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่นใด เพียงต่อสู้เพื่อให้ได้ไข่มุกปีศาจอันล้ำค่ามา การทดสอบดินแดนรกร้างใต้พิภพครานี้ก็มิอาจหาความสงบสุขได้แล้ว”

“จริงอย่างที่เจ้าพูด แต่ข้าได้ยินมาว่า ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ไม่ได้มาเพียงเพราะเห็นแก่ไข่มุกอสูรร้าย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องการเสาะหาที่พำนักของเซียนกระบี่ภายในดินแดนรกร้างใต้พิภพ ข้าสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

“ที่พำนักของเซียนกระบี่? อุ้บ! อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล! ปราณวิญญาณภายในดินแดนรกร้างใต้พิภพได้แห้งเหือดไปนานแล้ว เหลือเพียงแต่ลมปราณอันไม่บริสุทธิ์ที่ลอยล่องอยู่ทั่วท้องนภา เป็นเซียนกระบี่ผู้ใดกันที่เบื่อหน่ายจนต้องสร้างที่พำนักของตนไว้ที่นั่น?”

ตลอดเส้นทาง บังเกิดเสียงวิวาทโต้แย้งอยู่เต็มท้องถนน เป็นเหมือนบรรยากาศอันมาคุก่อนที่พายุจะโหมกระหน่ำ

“ดินแดนรกร้างใต้พิภพจะปรากฏขึ้นในวันพรุ่งนี้ และทางเข้าจะเปิดเพียงสามชั่วยามเท่านั้น ดังนั้นเราต้องรีบไปที่นั่นในชั่วข้ามคืน”

ตู้ชิงซีหยิบแผนที่หยกออกมา เมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปยังทางก่อนที่จะถึงเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ นางมองมันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ทุกคนระมัดระวังตัวไว้ ยามราตรี สัตว์อสูรมักเดินเตร่ไปมาภายในเทือกเขา นับว่าอันตรายยิ่ง เช่นนั้นแล้วอย่าได้ชะล่าใจไป”

“เจ้าอย่าได้กังวลไปชิงซี แม้ว่าเราจะพบกับสัตว์อสูรที่ระดับพลังเหนือกว่าขอบเขตตำหนักอินทนิล แต่ความแข็งแกร่งของพวกเราทั้งสามคนนับว่าเพียงพอที่จะฆ่ามันได้แล้ว” ต้วนมู่เจ๋อคลี่ยิ้มเล็กน้อย ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ราวกับว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด

สังหารสัตว์อสูรยักษ์ระดับขอบเขตตำหนักอินทนิล?

หัวใจของเฉินซีพลันสั่นสะท้านเพราะคนผู้นี้ อาจหาญกล่าวอย่างถือดี เช่นนี้ย่อมหมายความว่า ความแข็งแกร่งของเขาควรจะก้าวไปสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้วเป็นแน่ ส่วนตู้ชิงซีกับซ่งหลินก็คงไม่ต่างกันนัก

ทว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตตำหนักอินทนิลนั้น มิอาจเข้าสู่ดินแดนรกร้างใต้พิภพได้จริงหรือ? ไม่แน่ว่า พวกเขาอาจมีวิธีการบางอย่างอยู่เพื่อที่จะสามารถเข้าไปได้…

แต่คำถามนี้เกี่ยวพันถึงความลับบางอย่าง อีกทั้งเฉินซีก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับคนทั้งสาม เช่นนั้นจึงไม่เป็นการดีสำหรับเขาที่จะสอบถามเพิ่มเติม และทำได้เพียงเก็บซ่อนมันไว้ในใจเท่านั้น

ไม่นานนัก ราตรีเริ่มเข้าปกคลุม ขณะที่ดวงดาราพากันกระจัดกระจายไปทั่วผืนฟ้า

หากสามารถมองลงมาจากท้องฟ้าได้ ผู้คนนับไม่ถ้วนคงเป็นเหมือนกับขบวนของเหล่ามด เมื่อพวกเขาหลั่งไหลเข้าสู่เทือกเขา ประมาณการคร่าว ๆ คาดว่ามีผู้คนไม่น้อยกว่านับหมื่นนับพันเป็นแน่

“เอ๋ ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่? ต้วนมู่เจ๋อผู้ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของเมืองทะเลสาบมังกร ก็มาด้วยหรือ?”

“เจ้าจำไม่ผิด คนผู้นั้นคือต้วนมู่เจ๋ออย่างแน่นอน เขาควรจะมีการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสี่ ไม่แน่ว่าเขาอาจได้กลายเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลต้วนมู่ด้วย”

“ดียิ่งนัก! คนผู้นั้นเป็นต้วนมู่เจ๋อที่ข้าเฝ้าฝันถึงจริงด้วย ร่ำลือกันว่าเขามีรูปโฉมสง่าและไม่ธรรมดา ความจริงกลับหล่อเหลายิ่งกว่าที่ผู้อื่นพูดเสียอีก!”

ในขณะที่กลุ่มของเฉินซีกำลังตั้งหน้าตั้งตามุ่งเข้าไปในเทือกเขา ฝูงชนในบริเวณโดยรอบที่รู้จักต้วนมู่เจ๋อ เมื่อเห็นเขาก็พลันบังเกิดเสียงชื่นชมและอุทานด้วยความประหลาดใจ

ใบหน้าอันหล่อเหลาของต้วนมู่เจ๋อ ปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจออกมา เขาคุ้นเคยกับการได้เห็นฉากนี้ในเมืองทะเลสาบมังกรเสมอมา จึงไม่ได้คิดอะไรและยิ้มให้ตู้ชิงซีที่อยู่ข้างกาย “ข้าหาได้คาดคิดว่าจะถูกระบุตัวตนรวดเร็วเช่นนี้ พวกเขาไม่มีสิ่งใดให้กระทำแล้วหรือ?”

“ในเมื่อพวกเราไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เช่นนั้นก็ออกเดินทางต่อเถิด” ตู้ชิงซีกล่าวด้วยท่าทีปกติ แต่ท่าทีที่ว่ากลับเย็นยะเยือกดุจหิมะ ราวกับสรรพสิ่งรอบกายมิอาจกระตุ้นความสนใจของนางได้

ต้วนมู่เจ๋อถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะส่ายหัวและคลี่ยิ้มดังเดิม แต่ภายในใจกลับไม่พอใจเป็นอย่างมาก สตรีจากตระกูลตู้ผู้นี้ช่างพยศเสียจริง เป็นไปได้ไหมว่านางต้องการให้ข้าใช้กำลังบีบบังคับ?

เขาคอยเทียวไล้เทียวขื่อตู้ชิงซีมาตลอด แต่ด้วยนิสัยที่เย็นชาเกินไปของนาง ถึงเขาจะลองใช้วิธีต่าง ๆ มากมายก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลวในท้ายที่สุด

ด้วยฐานะคนรุ่นเยาว์แห่งตระกูลที่มีชื่อเสียงเช่นเขา ย่อมสามารถหาหญิงงามมากมายได้ตามต้องการ ทว่าในสายตาของต้วนมู่เจ๋อ หญิงเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงอิสตรีธรรมดาทั่วไป และภายในเมืองทะเลสาบมังกรมีเพียงไม่กี่นางที่คู่ควรกับเขา แน่นอนว่าตู้ชิงซีที่เกิดจากตระกูลตู้ก็เป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

รูปโฉมของตู้ชิงซีนั้นนับว่างดงามมาก อีกทั้งนางยังเฉลียวฉลาดไม่น้อย สิ่งสำคัญที่สุดคือ นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลตู้ หากเขาได้แต่งงานกับนาง ไม่เพียงแค่ได้รับหญิงงาม แต่เขาจะยังได้รับการสนับสนุนจากตระกูลตู้ด้วย สำหรับต้วนมู่เจ๋อ นี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการมากที่สุด

เนื่องจากการเป็นบุตรเขยของตระกูลตู้นั้น เทียบเท่ากับการได้รับการสนับสนุนทั้งมวลจากตระกูลตู้ ด้วยความช่วยเหลือนี้ ต้วนมู่เจ๋อย่อมมีความมั่นใจในการที่จะครองตำแหน่งผู้นำตระกูลต้วนมู่อย่างแน่นอน

เพราะอย่างนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะได้รับท่าทีอันเย็นชาจากหญิงสาว แต่ต้วนมู่เจ๋อย่อมไม่คิดล้มเลิกการติดตามตู้ชิงซีเพียงเพราะสาเหตุเล็กน้อยเช่นนี้แน่

แต่อย่างไร ความไม่พอใจในทรวงอกก็หาใช่สิ่งที่จะยับยั้งได้ โดยเฉพาะในตอนที่เฉินซีกำลังเฝ้าดูอยู่ใกล้ ๆ

เจ้าเด็กคนนี้คงหัวเราะเยาะข้าในใจแล้วว่า คนผู้นี้ช่างหวังสูงนัก…ใช่หรือไม่?

ต้วนมู่เจ๋อเหลือบมองไปยังเฉินซี แต่ชายผู้นี้ดูจะไม่สนใจสิ่งใดเลย กลับกัน เขาดูมีท่าทางเหมือนคนเหม่อลอย ทำให้ต้วนมู่เจ๋อไม่มีโอกาสที่จะจับผิดเขาเลยแม้แต่น้อย

ชั่วขณะหนึ่ง ต้วนมู่เจ๋อกัดฟันด้วยความเกลียดชังและคิดในใจ ‘ยามเมื่อพวกเราเข้าไปในแนวป่าแล้ว ข้าจะหาโอกาสจัดการกับเจ้าแน่ ไอ้ข้ารับใช้ชั้นต่ำ!’

ยามราตรีเข้าปกคลุม ความมืดยืดขยายตัวเรื่อย ๆ ราวกับสีของหมึกยามสัมผัสกับกระดาษ แผ่ไปทั่วเทือกเขาป่าเถื่อนตอนใต้ทั้งหมด เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่น่าสะพรึงกลัวแว่วดังมาแต่ไกลลิบ เพิ่มกลิ่นอายจิตสังหารที่ชวนให้ใจสั่นสะท้านมากขึ้น

เมื่อต้องเผชิญกับสภาพนี้ แม้แต่ซ่งหลินที่หลับตามาตลอดทางก็อดไม่ได้ที่จะต้องลืมตาขึ้น อีกทั้งแววตาของเขาก็เปล่งประกายไปด้วยรัศมีที่ไม่ธรรมดา

“ข้าขอเตือนไว้เลย หากเจ้ากล้าทำตัวเป็นภาระของพวกเรา ไม่ว่าตู้ชิงซีจะคิดอย่างไร ข้าจะมอบบทเรียนอันสาสมให้กับเจ้าอย่างแน่นอน” ปราณเสียงถูกส่งเข้ามาในหูของชายหนุ่มโดยตรง เฉินซีแหงนหน้าขึ้นมอง และเห็นต้วนมู่เจ๋อมองมาด้วยรอยยิ้มบางบนใบหน้า ราวกับว่าคำพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้มาจากตัวเขา

เมื่อต้องเผชิญกับการยั่วยุที่ดูหมิ่นและคุกคามเช่นนี้ เฉินซีกลับเลือกที่จะไม่สนใจมันแทน

ภาระ?

เวลานี้ชักสงสัยเสียแล้วว่าผู้ใดกันแน่ที่จะเป็น ‘ภาระ’

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ ในยามที่เขาไล่ล่าสัตว์อสูรอันดุร้ายและเจ้าเล่ห์ทุกค่ำคืนตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เฉินซีกลับรู้สึกสงสารต้วนมู่เจ๋อแทน

ต่อให้เจ้าเป็นผู้บ่มเพาะระดับขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้วอย่างไรเล่า? สัตว์อสูรเหล่านั้นหาได้อ่อนแอไม่ ตรงกันข้าม พวกมันล้วนแล้วแต่ชั่วร้าย อีกทั้งยังมีวิธีจู่โจมอันแสนโหดเหี้ยม…

หลังจากที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในเทือกเขา ต้วนมู่เจ๋อก็เดินนำขบวนเพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ อาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวทุกขณะ ยามเขาก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับถือกระบี่ในกำมือ ใบหน้าคลี่ยิ้มสง่างามปนอ่อนโยน ราวกับว่าเขาสามารถปลุกเร้าไฟรักให้กับหญิงสาวส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง

ตู้ชิงซีไม่ได้คัดค้าน ส่วนซ่งหลินมักจะง่วงซึมและเดินตามหลังกลุ่มมาตลอด และก็เป็นไปไม่ได้ที่เฉินซีจะมีความสามารถถึงขั้นดึงความสนใจของหญิงงามไปจากเขาได้

ดังนั้นตลอดเส้นทาง ต้วนมู่เจ๋อดูจะต้องการเสนอตนเป็นผู้นำของกลุ่ม และแม้เฉินซีจะแนะนำให้เขาเปลี่ยนเส้นทางหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตลอดว่า “แม้ไร้เส้นทางให้เดิน แต่ผู้ฝึกวิถีกระบี่ยังคงต้องใช้คมศัสตราในมือของตนเบิกทางสร้างวิถีให้เดินต่อไปได้อยู่ดี เพราะเช่นนั้นแล้วการเดินอ้อมย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกวิถีกระบี่ควรกระทำ…”

เฉินซีไม่ได้กล่าวอันใดอีกต่อไป เนื่องจากคนผู้นี้แส่หาเรื่องเจ็บตัว เช่นนั้นจึงไม่มีผู้ใดคิดห้ามปรามคนผู้นี้

เมื่อผ่านไปไม่นานนัก พวกเขาก็พบเข้ากับสถานที่แห่งหนึ่งในผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเต็มไปด้วยมวลผกาและต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นเอง ฝูงผึ้งเหมันต์ก็พุ่งออกมาตามที่เฉินซีคาดการณ์ไว้

ในฐานะผู้ฝึกวิถีกระบี่ของขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสี่ โดยทั่วไปแล้วต้วนมู่เจ๋อย่อมไม่กลัวสิ่งตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้ เช่นนั้นยามเมื่อเห็นพวกมันเขาก็ชักกระบี่ออกมาทันที เมื่อศัสตราทอประกายแสงวาบ ปราณกระบี่ที่รวดเร็วและดุร้าย พลันพุ่งทะยานราวกับเกาทัณฑ์ที่ขึ้นสายแล้วถูกยิงออกไป เพียงชั่วพริบตา ผึ้งเหมันต์มากกว่าร้อยตัวก็ถูกสังหารจนเหี้ยนในทันที

“เพียงแค่ฝูงผึ้งตัวน้อย ช่างเป็นคู่มือที่น่าผิดหวังยิ่งนัก” ต้วนมู่เจ๋อทำท่าทีผิดหวังและถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์เศร้าสร้อย ทว่าในขณะที่กำลังจะเก็บกระบี่เข้าฝัก สีหน้าของเขาพลันหยุดนิ่งในทันใด และดวงตาก็เบิกโพลงอย่างตกตะลึง

ก้อนสีแดงบวมเป่งจำนวนมากปรากฏขึ้นบนผิวหน้าและมือของต้วนมู่เจ๋อ ทำให้ใบหน้าที่เดิมหล่อเหลา เวลานี้กลับแลดูคล้ายหัวหมูย่าง นับว่าน่าสะพรึงกลัวจนมิอาจทนดูได้

“อ๊ากกก!” ต้วนมู่เจ๋อเปล่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช และเนื่องจากอาการคันอย่างรุนแรงบนผิวหนังซึ่งยากจะทานทน ทำให้เขาไม่อาจรักษาท่าทางสง่างามได้อีกต่อไป มือเกาใบหน้าของตนอย่างรุนแรง

“เกิดอะไรขึ้น?” ตู้ชิงซีที่เห็นเหตุการณ์พลันรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย ในใจนางรู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นต้วนมู่เจ๋อเกาส่วนที่คันของเขาด้วยท่าทางที่ไม่น่าชม

“โอ้ ท่านพี่ต้วนมู่ ท่านกำลังเลียนแบบลิงอยู่หรือไร?” ซ่งหลินลืมตาที่ง่วงซึมขึ้นมาและบ่นพึมพำ “ข้าจำได้ว่าท่านเกลียดลิงมากที่สุด เพราะท่านคิดว่าท่าทางของมันน่าเกลียดเกินไป ทั้งยังไร้ซึ่งความสง่างามยิ่ง”

“แม้ว่าเขาจะฆ่าผึ้งเหมันต์ไป แต่ใบหน้าและมือกลับถูกเหล็กในของผึ้งเหมันต์ต่อยเข้า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคันและมิอาจทานทนได้” เฉินซีขมวดคิ้วขณะกล่าว แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ผึ้งเหมันต์พวกนี้มีขนาดเท่ากับนิ้วหัวแม่มือ ตัวสีดำสนิท เหล็กในของพวกมันละเอียดเหมือนขนของวัวและใสดุจผลึกแก้ว เมื่อเหล็กในพุ่งเข้าใส่ผิวหนังของผู้คน มันก็เหมือนกับน้ำที่ควบแน่นเป็นน้ำแข็ง ทำให้ไม่อาจป้องกันได้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พิษจะเข้าสู่กระแสเลือดในทันทีและทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมแดงคัน ยากจะทานทน

“ในเมื่อรู้แต่แรก เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกก่อน” ตู้ชิงซีมองอย่างเย็นชาและพูดด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิเล็กน้อย

“ข้าแนะนำเขาแล้ว แต่เขาบอกว่าในฐานะผู้ฝึกกระบี่ เขาต้องใช้กระบี่ในมือ…”

โดยไม่รอให้เฉินซีกล่าวจบ ต้วนมู่เจ๋อที่อยู่ห่างออกไปและกำลังเกาส่วนที่คันตามร่างกายของเขา พลันตะคอกเสียงกราดเกรี้ยวในบัดดล “ไอ้หนู หุบปาก!”

“ไปต่อกันเถอะ ข้าไม่เป็นไร” ต้วนมู่เจ๋อสูดลมหายใจเข้าอย่างแรงครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยายามอดทนกับอาการคันตามร่างกาย ทว่าในขณะที่เขาลุกขึ้นยืน ร่างกายแอบสั่นเทาเล็กน้อย

“อนิจจา ท่านพี่ต้วนมู่ใส่ใจกับการถือตัวมากที่สุดในเมืองทะเลสาบมังกร มาตอนนี้รูปร่างหน้าตาของเขากลับกลายเป็นเยี่ยงนี้ เขาคงรู้สึกไม่ดีในใจใช่หรือไม่” ซ่งหลินถอนหายใจอย่างเกียจคร้าน และจ้องมองไปยังเฉินซีผู้จงใจหรือหาได้เจตนาไม่ก็มิอาจรู้ได้ จากนั้นดวงตาของเขาก็หดเล็กลง เขาตกอยู่ในสภาวะง่วงซึมอีกครั้ง

“เฮ้อ ถ้าข้ารู้ก่อนหน้านี้ว่าเขาจะกลัวอาการคันคะเยอ ข้าควรจะแนะนำเขาอีกครั้ง และเรื่องทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น” เฉินซีกล่าวด้วยท่าทีไร้เดียงสา

แต่เมื่อถ้อยคำเหล่านี้ลอดเข้าหูของต้วนมู่เจ๋อไป มันกลับทำให้เพลิงแค้นในทรวงอกของเขาลุกโชนราวกับระเบิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาคิดว่าท่าทางที่ไม่น่าดูของตนตกอยู่ในสายตาของตู้ชิงซีอยู่ตลอดเวลา เขาก็โกรธจนถึงขั้นที่อยากจะกระอักเลือดออกมา ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงแต่คำรามอย่างแค้นเคืองอยู่ในใจ

‘ไอ้เด็กบัดซบ! เจ้าตั้งใจแน่ ๆ! ไม่ยอมเตือนข้าให้ดี ครานี้ยังจงใจเสแสร้งเอ่ยวาจา! รอก่อนเถิด! ข้าจะมอบบทเรียนอันสาสมให้แก่เจ้าเป็นแน่!’

“นายน้อยต้วนมู่ ยังมีสัตว์อสูรบางตัวที่ไม่อาจประเมินความแข็งแกร่งได้อยู่ข้างหน้า เราควรไปทางอ้อมหรือไม่?” เฉินซีถามด้วยความเป็นห่วง แต่ความเป็นห่วงของเฉินซีคือสิ่งที่ต้วนมู่เจ๋อไม่ต้องการ

ร่างกายของต้วนมู่เจ๋อแข็งดั่งหิน จากนั้นเขาก็ตอบอย่างดุเดือดว่า “ขอบใจแต่หาได้จำเป็น!”

ขณะที่พูด เขาก็เดินเร่งฝีเท้าราวกับระบายความโกรธภายในใจออกมา กระบี่ในมือกวัดแกว่งไม่หยุด เถาวัลย์กับหญ้าที่ขวางทางพลันแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านในทันที

“ดูเหมือนเจ้าจะคุ้นเคยกับที่นี่มากนัก” ตู้ชิงซีขมวดคิ้วขณะที่นางเอ่ยถาม

เฉินซีพยักหน้า “ข้าเคยมาที่นี่ระยะหนึ่ง”

“แล้วเหตุใดถึงไม่นำทางไปเล่า” ตู้ชิงซีถามอย่างสงสัย

เฉินซีจ้องมองต้วนมู่เจ๋อที่อยู่ห่างไกลและไม่ได้กล่าวอันใด แต่สิ่งที่เขากล่าวมาก่อนหน้านี้ กลับเป็นการเปิดเผยอย่างละเอียดเสียแล้ว

“เจ้าเป็นผู้นำทางหลังจากนี้” ตู้ชิงซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มิอาจปฏิเสธได้

“รับทราบ!” เฉินซีพยักหน้า

อ๊าก!

ในขณะนี้ เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชและโหยหวนของต้วนมู่เจ๋อแว่วดังขึ้นอีกครั้งจากระยะไกล มิหนำซ้ำ เสียงของเขายังเผยให้เห็นความโกรธและความหวาดกลัวอันไร้ขอบเขต ราวกับได้พบสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างเข้าแล้ว