บทที่ 260 แม่สื่อ

คู่ชะตาบันดาลรัก

ฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เสวียนเฟย นี่เป็นดอกถานเชิงที่อาจารย์ของเจ้าทิ้งไว้ก่อนจากไป เจ้าเต็มใจยกให้นางจริงหรือ”

เสวียนเฟยตอบ “ถึงแม้ดอกถานเชิงของท่านอาจารย์จะมีค่ามาก แต่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ กระหม่อมมองเห็นดาวมารแม่นางหมิงมองเห็นดาวสังหาร ถือว่าเสมอกัน อย่างไรก็ตามนางสามารถบอกปีโดยประมาณ และประเมินสถานการณ์ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือได้อย่างแม่นยำซึ่งส่วนนี้กระหม่อมไม่สามารถทำได้ ดอกถานเชิงของท่านอาจารย์มอบให้คนรุ่นหลังที่มีความสามารถยอดเยี่ยม ท่านคงดีใจพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ยิ้ม “เจ้าพูดเช่นนี้หากข้าไม่อนุญาตก็คงใจดำเกินไปหน่อย”

เสวียนเฟยก้มศีรษะขออภัย “กระหม่อมปฏิเสธความปรารถนาดีของฝ่าบาท”

ฮ่องเต้โบกมือ “ช่างเถอะ หากเจ้าเต็มใจเจิ้นจะว่าอะไรได้ แม่นางหมิง”

หมิงเวยก้าวไปข้างหน้า “เพคะ”

“ดอกถานเชิงดอกนี้เจิ้นยกให้เจ้า”

“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” หมิงเวยก้มหมอบเพื่อกล่าวขอบคุณฮ่องเต้

ฮ่องเต้กำลังจะกล่าวต่อ แต่ทางฝั่งของว่านต้าเป่ามีขันทีเล็กวิ่งมาพูดอะไรบางอย่างกับเขาแล้วว่านต้าเป่าก็ก้มลงกระซิบรายงานฮ่องเต้

ทุกคนเห็นฮ่องเต้ยิ้มและกล่าวกับหมิงเวยว่า “เจ้าอยากพบกุ้ยเฟยหรือไม่”

หมิงเวยตกใจนางก้มหน้าลงตอบไปว่า “เหนียงเหนียงเรียกหา หม่อมฉันไม่กล้าปฏิเสธหรอกเพคะ”

จากนั้นนางก็เดินทางไปที่ศาลาพร้อมกับขันทีเล็ก เผยกุ้ยเฟยกำลังแก้ไขภาพวาดที่วาดเมื่อวาน เมื่อเห็นหมิงเวยเดินเข้ามานางจึงวางพู่กันและเงยหน้าขึ้น

หมิงเวยย่อกายทำความเคารพ “หม่อมฉันหมิงเวย ถวายบังคมกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” เผยกุ้ยเฟยยิ้มพลางยกมือขึ้นหันหน้าไปสั่งการนางใน “ไปหาเก้าอี้มาให้แม่นางหมิงหน่อย” นางในรับคำและนำเก้าอี้มาวางข้างกายนาง

เผยกุ้ยเฟยไม่พอใจ “ขยับเข้ามาใกล้หน่อย วางตรงนี้”

ตำแหน่งที่นางชี้อยู่ติดกับโต๊ะวาดรูป นั่นทำให้หมิงเวยรู้สึกลังเล “เหนียงเหนียง…”

“นั่งเถอะ” เผยกุ้ยเฟยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วันนี้ไม่ใช่การเข้าพบอย่างเป็นทางการ พวกเราตามสบายเถอะไม่ต้องเกร็งเพียงนั้นหรอก”

“เพคะ” หมิงเวยจึงเดินเข้าไปนั่งเบาๆ

ทั้งสองคนนั่งห่างกันเพียงแค่โต๊ะวาดรูปกั้นเท่านั้นซึ่งทำให้มองเห็นกันและกันได้ชัดเจน

หมิงเวยแอบชื่นชมอีกฝ่ายในใจไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนยกให้นางเป็นพระสนมล่มเมืองเผยกุ้ยเฟยผู้นี้เป็นหญิงงามล่มเมืองจริงๆ

นางเคยคิดว่าฮูหยินสามจากตระกูลหมิงงามเหนือจินตนาการแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อได้พบกับเผยกุ้ยเฟยถึงตระหนักได้ว่ามีหญิงงามเช่นนี้ในโลกนี้ด้วย งดงามไม่แพ้กันเลย

ความงามของฮูหยินสามอยู่ที่ความงามที่แสนนุ่มนวล มีเสน่ห์ ช่างเอาใจใส่ ส่วนความงามของเผยกุ้ยเฟยนั้นเป็นแบบข่มคน แม้นางจะแต่งกายเรียบๆ แต่เห็นแวบแรกก็รู้สึกทึ่ง หญิงงามเช่นนี้เพียงได้พบครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนลืมไม่ลงชั่วชีวิต

เมื่อมองอย่างละเอียดใบหน้าของนางนั้นเหมือนกับหยางชูมาก นางกำลังมองเผยกุ้ยเฟย เผยกุ้ยเฟยก็มองนางด้วยเช่นกัน

ครั้งแรกที่เห็นแม่นางผู้นี้เกิดมางดงามมาก นางเดินอย่างช้าๆ มาที่ศาลาท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ร่วง ราวกับนำน้ำใสในฤดูใบไม้ร่วงและท้องฟ้าอันสดใสเข้ามาในห้องนี้ด้วย

เห็นได้ชัดว่าท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวานกลับมีความขมขื่นเล็กน้อยซึ่งแตกต่างจากท่าทางอ่อนแออย่างสิ้นเชิงแล้วนางก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาในชั่วพริบตา

ใบหน้างดงาม บุคลิกดี ไม่แปลกใจเลยที่เด็กคนนั้น…

“เปิ่นกงได้ยินเรื่องเจ้ามาก่อน” ประโยคแรกทำให้หมิงเวยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี นางเงยหน้าขึ้นมองเผยกุ้ยเฟย

เผยกุ้ยเฟยยิ้ม “เจ้ากล้าหาญมาก การเข้าพบครั้งแรกน้อยนักที่จะมีใครกล้ามองหน้าเปิ่นกงตรงๆ เช่นนี้”

หมิงเวยยิ้มอย่างเขินอาย “กุ้ยเฟยบอกให้ทำตัวตามสบายหม่อมฉันก็เลย…”

เผยกุ้ยเฟยหัวเราะออกมา “คงไม่ใช่แค่เพราะเหตุผลนี้หรอก เจ้ามีความสามารถเช่นนี้ไม่ว่าจะไปที่ใดเจ้าก็ไม่คิดกลัวใช่หรือไม่”

หมิงเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “อันที่จริงกุ้ยเฟยดูเป็นกันเอง หม่อมฉันจึงมีความกล้าเพคะ”

“อ้อ” เผยกุ้ยเฟยเอนหลังเล็กน้อย “ภายนอกของเปิ่นกงดูเป็นกันเองขนาดนั้นเลยหรือ” เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องโกหกเล็กน้อย เผยกุ้ยเฟยเกิดมางดงาม แต่เป็นความงามที่ผู้อื่นไม่กล้ามอง

หมิงเวยตอบกลับว่า “อาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ของกุ้ยเฟย หม่อมฉันจดจำไว้ในใจนานแล้วเพคะ”

เผยกุ้ยเฟยมองดูนางอย่างครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “เจ้าหมายถึงคนที่คล้ายกับเปิ่นกงงั้นหรือ” หมิงเวยไม่รู้ควรตอบกลับอย่างไรจึงได้แต่ยิ้มอย่างสดใส

รอยยิ้มของเผยกุ้ยเฟยหายไป ในที่สุดนางก็กล่าวว่า “เจ้าคงกำลังคิดอยู่สินะว่าทำไมเปิ่นกงถึงเรียกเจ้ามา”

หมิงเวยพยักหน้าและตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “หม่อมฉันสงสัยจริงๆ เพคะ เหนียงเหนียงแทบไม่เรียกหญิงสาวนอกวังคนใดเลย หม่อมฉันจึงไม่ทราบว่าตนเองไปเข้าสายตาเหนียงเหนียงได้อย่างไร”

“เปิ่นกงเองก็แปลกใจ” เผยกุ้ยเฟยมองนาง “เจ้าเป็นสตรีผู้หนึ่งจะไปเทียบกับลูกศิษย์ของราชครูซูสิงได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น…”

ประโยคหลังยังพูดไม่ทันจบ เผยกุ้ยเฟยจึงเปลี่ยนไปถามว่า “เจ้าสามารถแข่งขันกับยอดฝีมืออย่างเสวียนเฟยได้เคล็ดวิชาคงต้องเก่งกาจมากเป็นแน่”

หมิงเวยกล่าวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว “หม่อมฉันไม่กล้ากล่าวว่าตนเองเก่งกาจหรอกเพคะ หากเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่รู้เคล็ดวิชาอาจเรียกได้ว่าชำนาญระดับหนึ่งก็เท่านั้นเพคะ”

คำตอบนี้ทำให้เผยกุ้ยเฟยหัวเราะ “คำถามที่เจ้าตอบก่อนหน้านี้ ถึงเปิ่นกงจะรับชมแต่ก็ไม่เข้าใจ เจ้าทำให้เปิ่นกงเข้าใจได้หรือไม่ว่าเคล็ดวิชาคืออะไร”

หมิงเวยครุ่นคิด “ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันจะแสดงให้เหนียงเหนียงได้รับชมเพคะ หม่อมฉันสามารถขออะไรบ้างอย่างได้หรือไม่เพคะ”

เผยกุ้ยเฟยกล่าวอย่างใจกว้าง “เจ้าต้องการสิ่งใดพูดมาได้เลย”

หมิงเวยตอบ “หม่อมฉันต้องการกระดาษเหลืองกองหนึ่ง ชาดแดงสองกระปุกแล้วก็พู่กัน…”

เมื่อฮ่องเต้มาถึงศาลาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของนางในและเผยกุ้ยเฟย

อารมณ์ของพระองค์ดีขึ้นมาในทันที ฮ่องเต้ก้าวเข้าไปด้วยรอยยิ้ม “คุยอะไรกันอยู่หรือถึงได้มีความสุขเช่นนี้”

“ฝ่าบาท!” เผยกุ้ยเฟยลุกขึ้นต้อนรับด้วยรอยยิ้มสดใส “แม่นางหมิงแสดงเคล็ดวิชาให้พวกเราชมเพคะ”

“อ้อ” ฮ่องเต้แปลกใจเล็กน้อย “แสดงเคล็ดวิชาเหตุใดถึงดีใจเพียงนั้นกัน”

เผยกุ้ยเฟยยิ้ม “ฝ่าบาทดูสิเพคะ”

ฮ่องเต้มองตามทิศทางที่นางชี้ก็เห็นกระดาษเหลืองรูปคนยืนอยู่บนโต๊ะวาดรูป มือของ ‘คน’ นั้นม้วนพู่กันและกำลังขีดเขียนบนกระดาษ

ฮ่องเต้ประหลาดใจ “นี่คือ…”

“ยอดเยี่ยมใช่หรือไม่เพคะ” เผยกุ้ยเฟยพูดด้วยความภาคภูมิใจ “มันสนุกกว่าเคล็ดวิชาที่พูดพล่ามๆ พวกนั้นเสียอีก”

แล้วเพิ่มประโยคในตอนท้ายไปว่า “วาดได้น่าเกลียดเสียจริง”

ฮ่องเต้ชำเลืองมองแล้วยิ้ม “เป็นเคล็ดวิชาที่ดี เหตุใดถึงทำให้สนุกขึ้นมาได้” แล้วหันไปมองหมิงเวย “นี่เป็นเรื่องสนุกที่เจ้าคิดขึ้นมางั้นหรือ”

หมิงเวยย่อกายและตอบกลับว่า “ขอประทานอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่มีคู่หู นี่เป็นการละเล่นที่หม่อมฉันคิดขึ้นมาเองอาจไม่สมจริงเท่าไรนักเพคะ”

เดิมทีฮ่องเต้อยากถามว่าในเมื่อกระดาษคนนี่สามารถวาดรูปได้ แล้วสามารถทำเรื่องอื่นได้ด้วยหรือไม่ หากมีของแบบนี้เล็ดลอดเข้ามาในวังไม่ใช่ว่าสอบถามข่าวสารได้หรอกนะ แต่นางพูดเช่นนี้พระองค์จึงปัดความคิดนั้นทิ้งไปสิ่งของที่เด็กสาวเอาไว้สร้างความสุขไม่จำเป็นต้องใส่ใจไว้กลับไปค่อยสอบถามกับเสวียนเฟยดีกว่า

เผยกุ้ยเฟยถามความเห็นความชอบจากฮ่องเต้ “ฝ่าบาท แม่นางหมิงมีความสามารถมากใช่หรือไม่เพคะ”

“ใช่” ฮ่องเต้พยักหน้า

“แล้วฝ่าบาทควรให้รางวัลนางหรือไม่เพคะ”

ฮ่องเต้ยิ้ม “เสวียนเฟยมอบดอกถานเชิงของราชครูซูสิงให้นางแล้ว เจ้าต้องการมอบอะไรให้อีกหรือ ทรัพย์สินหรือเครื่องประดับ”

เผยกุ้ยเฟยตอบ “หม่อมฉันมีความคิดหนึ่งเพคะ”

เผยกุ้ยเฟยมองนาง “หม่อมฉันอยากเป็นแม่สื่อให้แม่นางหมิงเพคะ”

………………