บทที่ 65 ปรองดองกันดี

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

บทที่ 65 ปรองดองกันดี

“กระหม่อมคารวะท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ”

ไห่กงกงเห็นหนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋นพลันก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะโค้งคำนับ อยู่ในพระราชวังเนิ่นนาน จึงรู้ว่าผู้ใดจะรุ่งโรจน์ ผู้ใดจะโรยราสูญเสียอำนาจ ผู้เป็นบ่าวย่อมรู้ดีกว่าใครอื่น

ไห่กงกงมองพิจารณาเช่นไรก็รู้สึกว่าฉีเฟยอวิ๋นจะต้องเจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าอย่างแน่แท้

“กงกงมาที่นี่ มีเรื่องอันใด?” เมื่อเทียบกับอดีตแล้ว ยามนี้หนานกงเย่ให้ความรู้สึกทำตัวสบายๆกว่าเยอะ

ไห่กงกงรีบเปรยขึ้นว่า “กระหม่อมรับบัญชาจากพระพันปีให้มาเชิญพระชายาเย่เสด็จไปยังตำหนักเฉาเฟิ่งพ่ะย่ะค่ะ พระพันปีตรัสว่าช่วงนี้ถวิลถึงพระชายาเย่อย่างสุดซึ้งพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทเรียกท่านอ๋องเย่กับพระชายาเย่เข้าเฝ้า จึงสั่งให้กระหม่อมมารอเสด็จเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋น “ในเมื่อเสด็จแม่คิดถึง เจ้าก็ไปเถอะ”

“เพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นจัดแจงอาภรณ์เตรียมเข้าเฝ้าพระพันปี เวลาเดียวกันสวีกงกงพลันปรากฏตัวขึ้น

“กระหม่อมคารวะท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ”

“กงกงมีธุระอันใด?” หนานกงเย่มองด้วยแววตาเรียบเฉย

สวีกงกงโค้งตัว “ฝ่าบาทรับสั่งให้กระหม่อมอัญเชิญท่านอ๋องเย่กับพระชายาเย่เสด็จไปยังพระที่นั่งบำรุงฤทัยพ่ะย่ะค่ะ”

ไห่กงกงสีหน้าเคร่งขรึม หรี่ตากล่าวว่า “สวัสดีสวีกงกง”

อายุของสวีกงกงน้อยกว่าไห่กงกง ทั้งไห่กงกงยังเป็นข้ารับใช้ของพระพันปี แม้นจะไม่ได้แบ่งแยกว่าผู้ใดสูงศักดิ์กว่า หากแต่ก็ยังคงเหนือกว่าหนึ่งขั้น

ไห่กงกงทำความเคารพก่อน จากนั้นสวีกงกงก็รีบทำความเคารพด้วย “สวัสดีไห่กงกง ขอคารวะพระพันปีหลวง”

“สวีกงกง ข้ารับบัญชามา ให้พระชายาเย่เสด็จไปกับข้าก่อนแล้วค่อยไปพระที่นั่งบำรุงฤทัยได้หรือไม่?” ไห่กงกงไม่เคยเกรงใจเมื่อต้องปฏิบัติหน้าที่ แม้นครั้งนี้เขาจะแย่งผลงานไป ทว่าสวีกงกงกลับไปก็ไม่กล้าพูดอะไรส่งเดชแน่นอน

“ไห่กงกงเชิญ”

สวีกงกงก็จนปัญญา เขามาช้าเอง

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นด้วยแววตาลุ่มลึกหลายส่วน “ข้าไปพระที่นั่งบำรุงฤทัยก่อน เจ้าไปตำหนักเฉาเฟิ่งกับไห่กงกงเถอะ เมื่อพบเสด็จแม่แล้วต้องปรนนิบัติดีๆ”

กล่าวจบหนานกงเย่ก็ก้าวเท้าไปยังทิศทางพระที่นั่งบำรุงฤทัย สวีกงกงรีบตามอยู่เบื้องหลัง

ฉีเฟยอวิ๋นถึงมองไปยังไห่กงกง “กงกง”

“ช่วงนี้พระชายาเย่สบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ไห่กงกงยิ้มละมุน ดูแวบเดียวก็รู้ว่าอารมณ์เบิกบาน

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “สบายดี พระพันปีบรรทมดีหรือไม่?”

“ดีพ่ะย่ะค่ะ ช่วงนี้ไม่เพียงแต่บรรทมดี สีหน้ายังดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยพ่ะย่ะค่ะ ตรัสคิดถึงพระชายาเย่ทุกวันพ่ะย่ะค่ะ”

ไห่กงกงเดินไปเบื้องหน้า จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่พระตำหนักเฉาเฟิ่ง

“แล้วสุขภาพของกงกงดีขึ้นหรือยัง?” ฉีเฟยอวิ๋นถามไถ่

ไห่กงกงพยักหน้าหงึกๆ “ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ดีกว่าเมื่อก่อนมากพ่ะย่ะค่ะ ยามราตรีหลับสบาย ส่วนกลางวันก็มีกำลังวังชา กระหม่อมคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะเข้าวังเป็นขันที สุขภาพจึงเสีย ใครจะไปรู้ว่าเป็นเพราะสุขภาพไม่ดีแต่กำเนิด โชคดีที่มีพระชายาช่วยรักษาพ่ะย่ะค่ะ”

“กงกง ถึงแม้โสมตุ๋นเนื้อไก่จะบำรุงร่างกาย แต่ก็จะกินประจำไม่ได้ ประการคือไม่สะดวกในพระราชวัง ประการที่สองคือโสมก็เปรียบเสมือนโอสถ เมื่อเป็นโอสถย่อมเป็นยาพิษสามส่วน ไม่ควรกินเยอะ

วันนี้ข้าพกยาบำรุงร่างกายมาหนึ่งขวด”

“หา?”

ไห่กงกงชะงักงัน ฉีเฟยอวิ๋นมองดูรอบๆ เนื่องจากกลางวันมีคนเยอะ แถมยังมีคนสอดแนมมากมายอีกต่างหาก

ไห่กงกงเข้าใจทันทีทันใด พลางคลี่ยิ้ม “พระชายาวางพระทัยเถอะ ที่นี่มีแต่คนของกระหม่อม ไม่ปากพล่อยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็ดี” ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือไปด้านหน้า ไห่กงกงพลันประคองเธอเดินไป ไห่กงกงรับขวดยาในมือเธอ ก่อนจะเก็บไว้ที่แขนเสื้อ

ถึงแม้เงินทองจะสำคัญ ทว่าสำหรับคนอย่างไห่กงกงแล้ว ชีวิตต้องสำคัญกว่าหลายเท่า

โดยเฉพาะถึงวัยชราอยากมีความฮึกเหิมประดุจมังกรและเสือที่ผาดโผนแทบแย่

การที่ฉีเฟยอวิ๋นให้ยาเขาหนึ่งขวดนั้น มันมีคุณค่ากว่าการให้ภูเขาทองภูเขาเงินแก่เขาเสียอีก เขาย่อมรู้สึกซาบซึ้งกินใจ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพกยาเข้าวังโดยพลการ หากมีผู้ล่วงรู้จะโดนลงโทษไม่เบา ฉีเฟยอวิ๋นกล้าเสี่ยงอันตรายกับเรื่องนี้ แสดงว่าเธอเป็นคนห้าวหาญคนหนึ่ง

ใครไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่พึ่งพิงได้ สามารถประคับประคองซึ่งกันและกัน

“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอายุมากแล้วไม่มีค่าอันใดอีก หากพระชายาไม่รังเกียจ กระหม่อมยินดี……”

“กงกง ข้าไม่ต้องการสิ่งใด แค่กงกงสบายดี ข้าก็พอใจแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นมองสำรวจรอบๆ “กงกง ใต้หล้าอันกว้างใหญ่ไพศาล หากข้ามีคนจริงใจในพระราชวัง ข้าก็พอใจแล้ว

ข้าเป็นแพทย์ผู้หนึ่ง ย่อมไม่อาจทนเห็นผู้อื่นทุกข์ทรมานจากอาการป่วย สำหรับเรื่องอื่น ข้ามีความปรารถนาน้อยมากจริงๆ”

จิตใจมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เพ้อหวังให้ใครมาภักดีด้วยชีวิต แม้แต่ตัวเองเธอยังปกป้องไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น

ทว่าเธอเป็นแพทย์เห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ บางเวลาจึงอดทำตัวเป็นคนดีไม่ได้

เธอก็ไม่มีทางเลี่ยง

สำหรับไห่กงกงที่ติดตามพระพันปีมาทั้งชีวิต แม้นเธออยากดึงเข้าพวก ทว่าก็ทำไม่ได้ อย่างมากก็แค่ดึงมาเป็นหูเป็นตาก็เพียงพอแล้ว

สักพักใหญ่ๆ ไห่กงกงจึงพยักหน้าหงัก “พระชายาเป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ข้าไม่ลมพระคุณพระชายาแน่พ่ะย่ะค่ะ”

“กงกงเกรงใจแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าพร้อมกับเดินนำหน้าก่อน ส่วนไห่กงกงเดินตามอยู่ด้านข้าง

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นมาถึงพระจำหนักเฉาเฟิ่ง ไห่กงกงพลันเข้าไปกราบทูล หลังออกมาก็เชิญฉีเฟยอวิ๋นเข้าไป

“พอแล้ว ไม่ต้องคุกเข่า มาสิ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า” พระพันปีมองข้างๆ นางกำนัลทั้งสองข้างพลันถอยออกไป ฉีเฟยอวิ๋นก็ยกกระโปรงเดินเข้าไปหา เมื่อถึงตรงหน้าที่นั่งหงส์ก็มีคนยกเก้าอี้มาวาง ฉีเฟยอวิ๋นย่อตัวทำความเคารพ ก่อนจะนั่งอยู่เบื้องหน้าพระพันปี

“เสด็จแม่” ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าอย่างมีมารยาท โดยที่นั่งไม่ห่างจากพระพันปีมากนัก

พระพันปีมองสำรวจฉีเฟยอวิ๋นชั่วครู่ “ร่างกายดีขึ้นหรือยัง?”

“ขอพระทัยเสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันหายดีแล้วเพคะ”

“ดี จะได้ไม่ต้องทรมาน อวิ๋นเอ๋อร์”

“เสด็จแม่”

ฉีเฟยอวิ๋นประหวั่นพรั่นพรึง วันนี้เรียกเธอว่าอวิ๋นเอ๋อร์แล้วหรือ?

เกือบคิดว่าหูฝาด

พระพันปีแย้มยิ้ม “เจ้ากับข้าเป็นแม่สามีกับลูกสะใภ้ ข้าเรียกเจ้าว่าอวิ๋นเอ๋อร์ก็สมควรอยู่ ขอเพียงเป็นสะใภ้สวรรค์ ไหนเลยจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ถึงแม้เจ้ากับข้าล้วนเป็นสะใภ้สวรรค์ ทว่าเจ้าคือพระชายาเย่ จึงไม่จำเป็นต้องมากพิธี”

“เพคะ เสด็จแม่”

“อืม……อวิ๋นเอ๋อร์ เสด็จแม่อยากรู้ว่า ทั้งอายุขัยกับรูปโฉมของผู้คน สามารถใช้โอสถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?”

“……” ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจเจตนาของพระพันปีโดยฉันพลัน

“เสด็จแม่เพคะ สามารถเปลี่ยนแปลงรูปโฉมได้ และสามารถเปลี่ยนแปลงอายุขัยได้เช่นกัน เพียงแต่……จะฝืนไม่ได้ต้องค่อยเป็นค่อยไปตามขั้นตอนเพคะ”

“อย่างไร?” พระพันปีหลวงอายุมากโข ทว่ากลับให้ความสำคัญกับอายุขัยมากทีเดียว

ฉีเฟยอวิ๋นผู้เป็นแพทย์ ไฉนเลยจะไม่รู้แจ้งหลักการนี้

ผู้ป่วยอยากหายวันหายคืน เพื่อจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีก ส่วนคนชราย่อมอยากมีอายุมั่นขวัญยืน

ฉินซือหวงตี้สรรหายาอายุวัฒนะก็เพราะเหตุนี้เช่นกัน

“มีวิธีบำรุงรูปโฉมเพคะ แต่ต้องบำรุงถูกวิธีเพคะ”

“ไม่ต้องอ้อมค้อม พูดมาเถอะ ข้าอยากให้ใบหน้าอ่อนเยาว์อยู่เสมอ” พระพันปีหลวงไม่ให้สิทธิ์โต้แย้ง เริ่มจริงจังขึ้นมากะทันหัน

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกดดันอย่างยิ่งยวด คบค้ากับคนในราชวัง ช่างรู้สึกไม่ปลอดภัยเสียเลย

วินาทีก่อนจะยังยิ้มแย้มด้วยความชิดใกล้ ยามนี้กลับเย็นยะเยือกดุจเกล็ดหิมะ

ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าผ่อนปรน ตอบอย่างระมัดระวัง “มีเพคะ”

“หืม ต้องกินยาหรือไม่?” พระพันปีพยักหน้าด้วยความพอใจ สีหน้าทุเลาลง

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว “หม่อมฉันสามารถปรุงเครื่องประทินโฉม บำรุงหน้า ล้างหน้าและแผ่นพอกหน้าล้างหน้าเพคะ จากนั้นเสด็จแม่ก็เสวยอาหารบำรุง การรักษาใบหน้าให้อ่อนเยาว์ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปเพคะ”

“เช่นนี้ก็ดี งั้นยกให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้เลยนะ” พระพันปีกล่าวอย่างไม่กรงใจ

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นประสานสองมือ “หม่อมฉันรับทราบเพคะ”

“สิ่งที่อวิ๋นเอ๋อร์กล่าวมาต้องเตรียมนานเพียงใด?” ถึงแม้อายุจะมากแล้วก็ตาม สตรีทุกคนล้วนรักงาม พระพันปีก็ไม่ยกเว้น

“ทูลเสด็จแม่ หม่อมฉันต้องเตรียมสิ่งของพวกนี้สักระยะหนึ่งเพคะ บางอย่างมีในจวนอ๋องแล้วเพคะ ส่วนวัตถุดิบที่หายาก หม่อมฉันจะหาด้วยตัวเอง จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดเลยแม้แต่นิดเดียวเพคะ”

“อืม อวิ๋นเอ๋อร์รับหน้าที่นี้ ข้าก็วางใจ”

ฉีเฟยอวิ๋นใคร่ครวญดูชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันจะเตรียมของพวกนี้ให้แล้วเสร็จก่อนพิธีแต่งตั้งพระชายาเพคะ จะสาธิตการใช้ให้เสด็จแม่ดูด้วยตัวเองเพคะ”

“อืม……นั่งลงเถอะ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” พระพันปีกล่าวต่อ

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่ายังมีเรื่อง อายุมั่นขวัญยืนอีกเรื่อง

“เชิญเสด็จแม่รับสั่งเพคะ”

“อวิ๋นเอ๋อร์คิดว่า ร่างกายของข้ายังมีอายุขัยอีกกี่ปี?”

ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอจะรู้ได้อย่างไร?

ตัวเธอเองยังไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่เลย

“เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันคิดว่าเสด็จแม่ยังไม่ถึงเวลาคิดถึงเรื่องอายุขัยเพคะ”

“อ่อ?” ดวงตาพระพันปีคล้ายกับสะท้อนแสงระยิบระยับของคลื่นน้ำเขียวมรกต

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “่ร่างกายเสด็จดีกว่าหม่อมฉันเสียอีกเพคะ ร่างกายหม่อมฉันอ่อนแอ รู้สึกอัดแน่นหน้าอกเป็นครั้งคราว ส่วนร่างกายของเสด็จแม่ ช่วงก่อนหม่อมฉันจับชีพจรดูแล้วพบว่า ร่างกายของเสด็จแม่แข็งแรงมาก เลือดไหลเวียนได้ดี ดังนั้นหม่อมฉันเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่เสด็จแม่จะคำนึกถึงเรื่องอายุขัยเพคะ

ทว่าการบำรุงสุขภาพต้องทำแต่เนิ่นๆเพคะ บำรุงจากภายในสู่ภายนอก แล้วบำรุงทั้งภายในและภายนอกควบคู่ไปด้วยเพคะ”

“อืม”

พระพันปีพอใจกับคำตอบของฉีเฟยอวิ๋นเป็นอย่างยิ่ง พลางพยักหน้ารัวๆ

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “เสด็จแม่ หม่อมฉันจะบำบัดด้วยอาหารเพื่อเตรียมการในวันข้างหน้าเพคะ”

“เช่นนี้ย่อมดี ตกลงตามนี้” พระพันปีลุกขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นตาม

ไห่กงกงรีบเข้ามาประคอง พระพันปีกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่ต้อง”

“โธ่ กระหม่อมโง่เขลายิ่งนัก”

ไห่กงกงรีบมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นไยจะไม่เข้าใจ

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปประคองพระพันปี พระพันปีเดินลงบันไดพลาง พูดไปพลาง ซึ่งฉีเฟยอวิ๋นไม่ค่อยหวาดหวั่นต่อพระพันปีมากนัก

เป็นธรรมชาติที่สตรีจะรักสวยรักงาม ส่วนเรื่องอายุยืนยาวเป็นเรื่องที่ทุกคนมองไปเห็นปลายทาง ซึ่งเส้นทางนี้ บางคนเลือกจะไม่อินังขังขอบ สติปัญญาทำให้คนกลุ่มนี้เข้าใจว่า ถึงบางเรื่องจะดีเพียงใดก็จะฝืนกฎธรรมชาติไม่ได้

ทว่าคนบางประเภทกลับมีความคิดแตกต่างกัน เมื่อคนคนไต้เต้าถึงอำนาจสูงสุด เมื่อทุกอย่างอยู่ในกำมือ พวกเขาก็ไม่ใช่คนอีกต่อไป หากแต่เป็นเทพที่อยู่เหนือกว่ามนุษย์ ซึ่งเทพย่อมคิดต่างจากมนุษย์ สิ่งที่พวกเขาปรารถนาจึงไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ต้องการ

ฉินซือหวงตี้เคลิบเคลิ้มกับเรื่องอายุยืนยาว พระพันปีหลวงก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เคลิบเคลิ้มด้วย

ส่วนเธอจำต้องปรนเปรอสิ่งที่ผู้ที่ถือตนเป็นเทพ พอพวกเขาสิ้นชีพ เธอก็ไม่จะต้องใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวนอีก

“อวิ๋นเอ๋อร์ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างกับเย่เอ๋อร์?เขารังแกเจ้าหรือไม่?” พระพันปีพูดถึงเรื่องแม่สามีคุยกับลูกสะใภ้เสียที ฉีเฟยอวิ๋นรีบตอบทันควัน

“ท่านอ๋องดีต่อหม่อมฉันกว่าเมื่อก่อนแล้วเพคะ ใส่ใจหม่อมฉันมากขึ้นเพคะ” ใส่ใจเรื่องทำให้เธอลาจากโลกนี้ไป!

“เช่นนั้นก็ดี”

การไปกลับเที่ยวหนึ่งก็ถึงเวลาเที่ยงพอดี หนานกงเย่กลับมาแล้ว พระพันปียังไม่ยอมปล่อยตัวลูกสะใภ้เลย