บทที่ 829 เป้าหมายของพวกเราคือ : ปล่อยให้เขาเหนื่อยตาย!

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 829 เป้าหมายของพวกเราคือ : ปล่อยให้เขาเหนื่อยตาย! Ink Stone_Fantasy

“พี่หลิง…ฉัน…” สายตาของเย่เลี่ยนฉายแววสับสน ทว่าไม่นานเธอก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ แล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกซย่าน่า…ก็กำลังเคลื่อนไหวเหมือนกัน…”

“ใช่” หลิงม่อพยักหน้า แล้วมองเธอด้วยแววตาอ่อนโยน ถึงแม้ท่าทางเย่เลี่ยนจะต่างไปจากปกติ แต่มันกลับไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว

ตั้งแต่ที่ก้าวข้ามมาถึงระดับซอมบี้เจ้าเมือง เย่เลี่ยนก็เริ่มจำความทรงจำในช่วงที่เป็นมนุษย์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตลอดมาหลิงม่อกลับไม่รู้ว่าเธอจำได้มากแค่ไหน และเธอสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ที่ตัวเองเคยมีหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอ แต่ทุกครั้งเย่เลี่ยนจะยิ้มอย่างเดียว ไม่ยอมพูดอะไร ทว่าท่าทางอย่างนั้นของเธอกลับทำให้หลิงม่อพอใจ เพราะการที่เธอตอบโต้อย่างนั้น ก็แสดงว่าสติปัญญาของเธอเริ่มสูงขึ้นแล้ว…

ส่วนเรื่องที่เขาอยากรู้แต่ยังไม่รู้ซักที…ถึงเธอจะไม่บอกตอนนี้ แต่อย่างไรซักวันก็คงจะบอกเขาเอง…

ถึงแม้เย่เลี่ยนเลือกที่จะเงียบ แต่จากการสังเกตการณ์อย่างใจเย็น หลิงม่อก็ยังรู้สึกได้ถึงบางอย่างรางๆ

สถานการณ์ของเย่เลี่ยน…เหมือนมีบางอย่างผิดปกติ…

หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ในร่างกายของเธอกำลังมีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป เวลาปกติอาจไม่สังเกตเห็น แต่ถ้าหากลองสัมผัสดูอย่างละเอียด ก็จะรู้ว่าเธอกำลังอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยมั่นคง

เย่เลี่ยนในตอนนี้เหมือนยืนอยู่บนตาชั่งโบราณ หากเอนไปทางซ้าย สัญชาตญาณซอมบี้ของเธอก็จะเป็นฝ่ายขึ้นนำ ทำให้เธอสามารถระเบิดพลังที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ ทั้งยังสามารถใช้พลัง “กล้องสลับลาย” และศักยภาพทางร่างกายให้ผสมผสานกันอย่างลงตัว เมื่อตาชั่งเอนไปทางขวา คลื่นดวงจิตของเธอก็จะรุนแรงขึ้น ทว่าพลังต่อสู้ที่แสดงออกมากลับไม่ค่อยสมกับระดับวิวัฒนาการของเธอ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ความสามารถในการควบคุมร่างกายของเธอจะลดลงไปหนึ่งระดับนั่นเอง

และสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องอย่างนี้ ก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับสภาพดวงจิตของเธอ

ในฐานะหุ่นซอมบี้ตัวแรกที่สร้างสายสัมพันธ์กับหลิงม่อ ความสัมพันธ์ระหว่างเย่เลี่ยนกับเขาถือว่าถึงระดับแนบแน่นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิวัฒนาการของเธอ หรือความผิดปกติในร่างกายเธอ หลิงม่อล้วนสามารถสัมผัสได้รางๆ เขารับรู้ได้ว่าเย่เลี่ยนกำลังตามหาจุดสมดุลของตาชั่งอยู่ และรับรู้ได้ว่าเธอมักรู้สึกสับสนและไตร่ตรองเกี่ยวกับตัวเองเป็นบางครั้ง

บางทีเธออาจกำลังพยายามทำความเข้าใจความทรงจำในตอนที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ หรือบางทีเธออาจกำลังฉงนสงสัยเกี่ยวกับมันอยู่ก็ได้…แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับเย่เลี่ยน ถึงแม้ไม่รู้ว่าการก้าวข้ามก้าวนี้ไปจะเท่ากับการเปิดประตูอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์หรือไม่ แต่หลิงม่อกลับให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะถึงอย่างไร มันก็ถือเป็นเค้าลาง ไม่ว่าเค้าลางนี้จะเลือนรางขนาดไหน มันก็ยังเป็นความหวัง…ขอเพียงมีความหวัง เขาก็จะคิดหาทางทำทุกวิธีเพื่อให้ความหวังกลายเป็นความจริง

สวี่ซูหานถือเป็นตัวอย่างที่สำเร็จตัวอย่างหนึ่ง และการมีเหล่าหลันอยู่ก็ช่วยเขาได้มากทีเดียว…

“ที่มันเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้ น่าจะเป็นเพราะเธออยู่กับฉันตลอดสินะ เมื่อใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์นานๆ สัญชาตญาณซอมบี้ของเธอก็จะได้รับอิทธิพลและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่รู้ตัว ตอนที่ระดับวิวัฒนาการของเธอยังต่ำอยู่ ผลกระทบนี้อาจเห็นไม่ชัด แต่ทันทีที่ถึงช่วงเวลาสำคัญของระดับซอมบี้เจ้าเมือง ผลกระทบนี้ก็จะแสดงออกมาพร้อมกับความทรงจำและสติปัญญาที่เพิ่มขึ้น…”

สามวันที่อยู่ในคลังน้ำมันแห่งนั้น หลิงม่อใช้เวลาปรับสภาพดวงจิตของเย่เลี่ยนไปไม่น้อย ตอนนี้เธอสามารถควบคุมตาชั่งด้วยตัวเธอเองแล้ว แต่การจะทำให้มันสมดุล กลับยังต้องใช้เวลาอีกซักหน่อย แต่เมื่อถึงจุดที่สมดุลแล้ว เธอก็จะก้าวข้ามก้าวนั้นไปได้สำเร็จ…คืนนี้ เป็นการปฏิบัติการจริงครั้งแรกของเธอ

และในตอนนี้ ตาชั่งของเย่เลี่ยนก็กำลังเอนเอียงไปทางซ้ายอย่างเห็นได้ชัด แต่ทุกครั้งหลังออกจากสภาวะต่อสู้ เธอมักจะมีปฏิกิริยาไม่มั่นคงอย่างนี้ ทว่านี่เป็นเพียงเพราะว่าเธอยังฝึกฝนไม่มากพอ ไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่อะไร

“บนตัวชายคนนี้…” หลิงม่อหันไปมองศพจางสี่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขานั่งลงแล้วถลกชายเสื้อของเขาขึ้น พอเห็นถุงระเบิด หลิงม่อก็ยิ้มระรื่นทันที

“ระเบิดมือนี่! ไม่น่าล่ะถึงได้บอกว่าจะตายไปพร้อมกับฉัน…” หลิงม่อไม่ได้วู่วามหยิบระเบิดออกมาทันที แต่เขากลับค่อยๆ แกะถุงระเบิดออกมาอย่างระมัดระวัง ภายนอกของระเบิดมือเหล่านี้ดูค่อนข้างพิเศษ เหมือนผ่านการปรับปรุงบางอย่างมา แต่หลิงม่อกลับไม่มีความรู้ด้านอาวุธเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นหลังจากตรวจสอบดู เขาก็ตัดสินใจเอามันไปวางไว้อีกด้านหนึ่งชั่วคราว

“ทั้งหมดมีสามลูก…ถ้ามีโอกาสน่าจะลองใช้ดูหน่อย”

แล้วเขาก็เริ่มค้นศพจางสี่อีกครั้ง สุดท้ายเขาก็เอาปืนพกและถุงระเบิดไปวางไว้ด้วยกันบนพื้นด้านหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีธัญพืชแห้งและบุหรี่อยู่อีกหนึ่งจำนวน กระทั่งยังมีเครื่องมือสื่อสารอยู่อีกหนึ่งเครื่อง

“ปืนกระบอกนี้ก็ดูไม่เหมือนแบบเดิม แล้วยังกระสุนพวกนี้อีก…” หลิงม่อล้วงกระสุนออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อเปรียบเทียบดู “ถูกลับมาก่อนหรอ? หรือว่าใส่อะไรเข้าไปข้างใน?”

หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิงม่อก็จัดการห่ออาวุธเหล่านี้ให้เรียบร้อย เมื่อมั่นใจว่าปลอดภัยเขาจึงเก็บใส่กระเป๋าเป้ “ของพวกนี้เก็บไว้ทดลองให้หมด…ก่อนหน้านี้ก็ได้กระสุนมาจากสมาชิกฟอลคอนไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าเจ้าแว่นนั่นจะมีของดีอะไรติดตัวอยู่บ้างหรือเปล่า?”

ในตอนที่กำลังจะลุกขึ้น หลิงม่อกลับเหลือบไปเห็นส่วนใบหน้าของจางสี่โดยไม่ตั้งใจ พูดได้ว่าจางสี่ตายขณะที่กำลังหวาดกลัวอย่างสุดขีด จนกระทั่งหลังหมดลม หน้าตาของเขาก็ยังเป็นหน้าขณะตกใจ เห็นแล้วน่าขนลุก หลิงม่อรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย เขาเลื่อนสายตาไปมองดวงตาคู่นั้นของจางสี่

“สีแดง…ถึงจะไม่ได้แดงเท่าซอมบี้ แต่ก็เกือบคล้ายกันแล้ว…” ตอนแรกหลิงม่อนึกว่าแดงเพราะเส้นเลือดฝอยในตาแตก แต่เมื่อเขาชะโงกหน้าลงไป เขากลับได้กลิ่นเชื้อไวรัสจางๆ…

“เชื้อไวรัสของผู้มีความสามารถพิเศษถูกกระตุ้นออกมางั้นหรอ? หลิงม่อมองไปที่มือทั้งสองข้างของจางสี่ ท่ามกลางเลือดเหล่านั้น เขาก็ได้กลิ่นเชื้อไวรัสด้วยเหมือนกัน…

“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง…ก่อนตายไตของเขาหลั่งสารอะดรีนาลีนออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้เชื้อไวรัสที่กระจุกรวมอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแพร่กระจายไปทั่วในพริบตา กระทั่งลามขึ้นไปถึงดวงตา…ถ้าหากไม่ฆ่าเขา ไม่รู้ว่าเขาจะติดเชื้อแล้วกลายเป็นซอมบี้ หรือจะกลายเป็นว่าได้โชคจากเรื่องร้าย ยิ่งมีพลังเพิ่มขึ้นกว่าเดิม…” หลิงม่อจับคางทำท่าครุ่นคิด

พลังพิเศษของหนุ่มเสื้อเหลืองกลับทำให้หลิงม่อเหนือความคาดหมายเล็กน้อย เขาเดินไปดูที่ขอบหน้าต่าง พูดว่า “ดูเหมือนจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษสายพลังธาตุสินะ ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรในการควบคุมวัตถุพวกนี้จากระยะไกลกันแน่…แต่ในเมื่อสามารถใช้ความสามารถพิเศษอย่างนี้วางกับดักได้ ก็แสดงว่าต้องมีการเตรียมการมาก่อนสินะ? แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตถึงชีวิต เขาก็ต้องผ่านการตรึกตรองอย่างน้อย 1 – 2 วินาที…”

หลิงม่อเดินไปยืนอยู่ในจุดที่หนุ่มเสื้อเหลืองเคยยืน แล้วพึมพำว่า “ตามคาด…”

อิฐบนพื้นเริ่มนูนขึ้นมาแล้ว ขอเพียงเพิ่มแรงดันอีกเล็กน้อยมันก็จะระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ในระหว่างที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เศษชิ้นส่วนเหล่านั้นสามารถส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว หรือถึงแม้จะฆ่าศัตรูไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาให้เขาหนีได้…

“พลังของเจ้าหมอนี่เหมือนพลังของTechies เลยแฮะ…แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ใส่เสื้อสีเขียว” (Techies คือตัวละครในเกม DOTA ซึ่งถนัดเรื่องการวางระเบิดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า)

หลิงม่อเพิ่งจะพึมพำกับตัวเองเสร็จ ก็ได้ยินเสียงไม่สบอารมณ์หนึ่งดังมาจากนอกห้อง “ยังไม่เจอตัวผู้ชายคนนั้นเลย! ไม่รู้ว่าหมอนั่นมีพลังพิเศษอะไรกันแน่ ฉันกับรุ่นพี่จัดการคนรอบตัวเขาหมดแล้ว แต่กลับยังไม่เจอเขา ไม่รู้ว่าไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันแน่…”

“พลังพิเศษของเขา…” หลิงม่อเงยหน้ามองซย่าน่า แล้วถามว่า “ตกลงว่าหาไม่เจอ หรือว่ามองไม่เห็นกันแน่?”

จู่ๆ ด้านหลังของซย่าน่าก็มีศีรษะของใครคนหนึ่งโผล่ออกมา ดูจากท่ายืน เหมือนเธอกำลังยืนกอดซย่าน่าอย่างแนบชิดจากด้านหลัง…”น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านะ ถ้าอาศัยแค่ตาเปล่า อาจมองไม่เห็นเขาก็ได้ แต่ถ้าหากใช้พลังจิตล็อกเป้าเขา ต้องเจออย่างรวดเร็วแน่นอน ทว่าตอนที่เขาพูด ประสิทธิภาพด้านนี้ของเขาก็จะลดลงไปมากเลยทีเดียว” น่าน่าขมวดคิ้วบอก

“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ไม่ต่างจากที่ฉันเดาไว้มากเท่าไหร่…จะว่าไป เธอดูเหมือนผียูจิโร่มาก…” หลิงม่ออดพูดไม่ได้ (Ushiro ผีในเอนิเมะญี่ปุ่นที่ชอบลอยอยู่ข้างหลังคน)

“จิ๊…” น่าน่าถลึงตาจ้องเขาอย่าง “ไม่พอใจ” จากนั้นก็ค่อยๆ กลับไปรวมร่างกับเฮยน่า กลายเป็นซย่าน่าเหมือนเดิม ขณะเดียวกัน ดวงตาข้างหนึ่งของซย่าน่าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีไป พอกระพริบตา ตาข้างหนึ่งก็กลายเป็นสีแดง ในขณะที่อีกข้างเป็นสีดำ

และแววตา “ไม่พอใจ” ที่หลิงม่อเห็นจากน่าน่าเมื่อกี้ ก็กำลังสะท้อนชัดอยู่ในดวงตาข้างหนึ่งในนั้น…

“ตอนนี้รุ่นพี่กำลังตามหาเขาอยู่…ส่วนคนอื่นๆ หากไม่ถูกฆ่า ก็ถูกตีสลบไปแล้ว ทั่วทั้งตึก เหลือแค่เขาคนเดียวเท่านั้น…พี่หลิง พี่จะทำยังไงต่อ?” ซย่าน่าถาม

ทว่าถึงแม้น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ดวงตาข้างหนึ่งของเธอกลับฉายแววยิ้มประหลาด ในขณะที่อีกข้างฉายแววหนักใจ ความขัดแย้งที่ชัดเจนของสีตาและอารมณ์ ทำให้เธอดูประหลาดไปหมด…

นี่สินะ จอมมารสาวที่แท้จริง!

“เขาได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ก็เสียพลังจิตไปมากอีก…ยังจะต้องพูดอะไรอีกหรอ? ก็ทำให้เขาเหนื่อยจนตายไปเองเลยไง!” หลิงม่อยิ้มเย็น แล้วพูดขึ้น

“ความคิดดี” มุมปากของซย่าน่ากระตุกขึ้น พร้อมกับที่ดวงตาทั้งสองข้างพร้อมใจกันฉายแววเจ้าเล่ห์เหมือนกันขึ้นมาทันที…

“แอ๊ด…”

ในทางเดินอันมืดมิด ประตูห้องบานหนึ่งถูกเปิดออกช้าๆ เมื่อประตูถูกเปิดแง้มเป็นช่อง ดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏอยู่ด้านหลังประตู ชายสวมแว่นกำลังสังเกตการณ์สถานการนอกห้องผ่านเลนส์แว่นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ แทรกตัวออกมา เขายกมือดึงคอเสื้อหนึ่งที จากนั้นก็วิ่งเลียบแนวกำแพงไปยังทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กำลังวิ่งไปข้างหน้า สายตาของเขาฉายแววตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง

“ตอนแรกนึกว่าถึงพวกมันจะมาก็คงไม่ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ แต่ไม่คิดว่าในเวลาแค่นี้…พวกมันกลับจัดการคนของฉันทั้งหมดอย่างง่ายดาย! ผู้หญิงสามคนนั้นมันยังไงกันแน่ เมื่อกลางวันยังคิดว่าพวกเธอก็ร้ายกาจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้…แต่ว่า” สีหน้าขมขื่นของชายสวมแว่นถูกแทนที่ด้วยความอาฆาตแค้น “ถึงแกจะมีไม้นี้ซ่อนอยู่ ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้หรอก ถึงฉันจะเป็นผู้มีพลังจิต แต่การจะจับฉันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้วอีกอย่าง ฉันก็มีแผนสำรองเหมือนกัน!”

เขาลอบกำหมัดขวาเงียบๆ และในฝ่ามือข้างนั้น มีรีโมทควบคุมระยะไกลเล็กๆ อันหนึ่งนอนอยู่…

“หลิงม่อ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าจะทำให้แกเจ็บยิ่งกว่าฉัน คอยดูไปเถอะ ฉันจะทำให้ได้อย่างที่พูด!”

—————————————————————————–