บทที่ 249 พันธนาการแห่งท้องฟ้าสำแดงฤทธิ์

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 249 พันธนาการแห่งท้องฟ้าสำแดงฤทธิ์

ร่างกายของฉู่ชวิ๋นพื้นตัวทันตาเห็น ผิวของเขาเปล่งประกายแสงออกมา ผมสยายไปตามแรงลม รวมถึงลมหายใจที่มั่นคง

“เจ้ารอดมาได้ แปลกว่าเจ้ามีกึ๋นอยู่พอตัว คิดซะว่าข้าไว้ชีวิตเจ้าก็แล้วกัน ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นหนึ่งในศิษย์ของข้า” เสียงภายในถ้ำยังคงดุดันแต่ก็แฝงไปด้วยความตื่นตระหนก

โซ่ที่พันธนาการฉู่ชวิ๋นอยู่ไม่ย่อท้อ มันแย่งเอาพลังของฉู่ชวิ๋นที่ถูกดูดไปก่อนหน้านี้กลับมาแทบจะทั้งหมด

นั้นทำให้สิ่งที่อยู่ภายในถ้ำคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น

พันธนาการแห่งท้องฟ้าดูดลมปราณของฉู่ชวิ๋นเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งมือยักษ์ไม่สามารถทำอะไรได้เลยมันเหมือนถูกแย่งอาหารไปดื้อๆ ใครกันจะไม่โกรธ

พันธนาการแห่งท้องฟ้าส่องสว่างและพุ่งตรงมาหาเป้าหมายของตนทันที

ปั้ง!

เสียงโซ่แทงทะลุโครงกระดูกอย่างต่อเนื่อง รอยร้าวบนมือยักษ์ค่อยๆ กว้างขึ้นเรื่อยๆ

“เจ้าทำอะไรของเจ้า หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะฉีกกระชากเจ้าให้เป็นชิ้นๆ ซะ!”

ฉู่ชวิ๋นพูดจาดูถูกอีกฝ่าย “อะไรของแก แค่ปกป้องตัวเองยังทำไม่ได้เลยแล้วจะกล้ามาเอาชีวิตฉันอีกเหรอ?”

“ไอ้เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ข้าอยู่รอดมานานนับ 1,000 ปี ผู้ที่เป็นอมตะอย่างไรก็ยังคงเป็นอมตะอยู่อย่างนั้น ถ้าข้าออกไปได้ ข้าจะฉีกร่างของเจ้ามาทำตะเกียงมนุษย์ ให้ข้าได้เพลิดเพลินอีกสัก 1,000 ปี เลยดีไหม?” เสียงอันยิ่งใหญ่ยังคงพูดด้วยความไม่พอใจ

“เอาสิ แน่จริงก็ออกมาเลยดีกว่า!” ฉู่ชวิ๋นเริ่มหมดความอดทน

หลังจากที่ใจสั่นอยู่นาน เขาก็เบาใจลงไปมาก เขาไม่คิดเลยว่าพันธนาการแห่งท้องฟ้าจะออกมาช่วยชีวิตเขาไว้แบบนี้ ที่เป็นแบบนี้เพราะเขาระเบิดพลังลมปราณแท้จริงออกมาให้ทั้ง 2 ไปแย่งกันเองเลยเขาไม่ยุ่งด้วยแล้ว!

แกร็ง!

นิ้วทั้ง 5 ของโครงกระดูกถูกโซ่ป่นเป็นผงทันที

ปั้ง!

กระดูกหลายท่อนของมือยักษ์ถูกบดขยี้หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

“อ๊ากก!….วันหนึ่งข้าจะทำลายผนึกให้ได้!” เสียงพึมพำลอยออกมาและในไม่ช้าก็หยุดชะงักลง

จิตวิญญาณของฉู่ชวิ๋นแพร่กระจายออกไปเห็นม่านแสงปิดผนึกที่ลึกเข้าไปในถ้ำ 100 เมตรถูกเปิดออก

ในเวลาเดียวกัน พันธนาการแห่งท้องฟ้าก็กลับเข้ามาอยู่ในร่างของเขา

ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเยือกเย็นและมองกวาดไปทั่วทั้งสนามรบทันที

ปั้ง!

แท่งทองคำในมือของเขาฟาดฟันชายชุดดำที่อยู่เป็นกลุ่ม

ฉู่ชวิ๋นที่กำลังโกรธเล็งเป้าไปยังหัวหน้าของสำนักดาบพิฆาตทันที

ฉั่ว!

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิที่ถูกหมายหัวพยายามต้านทานพลังของฉู่ชวิ๋นอย่างสุดชีวิต แต่โชคร้ายที่เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้ ถูกทุบด้วยแท่งทองคำจนศีรษะของเขาแหลกเละ

“พวกแกทุกคนต้องตาย!”

จิตสังหารของฉู่ชวิ๋นพุ่งสูงถึงขีดสุด เขารัวหมัดไม่ยั้ง ซึ่งมันน่ากลัวมาก

ฉั่ว!

ละอองเลือดฟุ้งกระจายเต็มอากาศจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิของสำนักดาบพิฆาตคนหนึ่งตายลงด้วยน้ำมือของฉู่ชวิ๋นอย่างรวดเร็ว

เมื่อมือยักษ์หายไป พวกเขาก็ลังเลที่จะล่าถอย แต่ความเร็วของฉู่ชวิ๋นมันน่ากลัวเกินไปจนพวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้หนีอีกแล้ว

ในพริบตาเดียว ฉู่ชวิ๋นก็สังหารจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิที่เหลืออีก 3 คน

ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสำนักดาบพิฆาตหรือประตูวิญญาณสลายต่างก็ตายกันเป็นเบือ

โดยเฉพาะสำนักดาบพิฆาตที่กล้ามาตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเขาในช่วงเวลาที่เลวร้ายเมื่อกี้ มันทำให้พวกเขาไม่พอใจมากๆ

“ท่านฉู่ชวิ๋น โปรดเมตาด้วย พวกเราสาบานว่าจะไม่เป็นศัตรูกับท่านอีกแล้ว!”

ฉั่ว!

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิเพิ่งพูดจบไม่นานคำตอบที่เขาได้รับก็คือแท่งทองคำที่ฟาดลงมาอย่างจัง ซึ่งวินาทีต่อมาในอากาศก็เต็มไปด้วยหมอกเลือด

“สำนักดาบพิฆาต ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าฉันรอด ฉันจะล้างบางพวกแกทั้งสำนัก!” ฉู่ชวิ๋นทวนคำพูดของตัวเองอย่างเลือดเย็น

ปั้ง!

กระสุนปืนของจิ่วโยวนั้นเปรียบเสมือนมังกรวิ่งผ่าน เจาะเข้าไปที่หัวของชายชุดดำ

ตู้ม!

หญิงหม้ายที่ตั้งรับอยู่นานก็หันกลับมาสู้ หมัดของเธอตอนนี้ลุกท่วมไปด้วยเพลิงโลกันต์ที่พร้อมจะเผาร่างของศัตรูให้มอดไหม้ในพริบตาเดียว เมื่อเธอต่อยไปยังร่างของศัตรู เป้าหมายของเธอก็ดิ้นทุกรนทุร้ายก่อนตายลงในที่สุด

ฉั่ว!

เลือดสาดกระจายสูงขึ้นไปบนฟ้ากว่า 1 เมตร เหยียนชงคำรามพร้อมกับหั่นแขนของคู่ต่อสู้ออก ก่อนที่จะใช้มีดสั้นปลิดชีพของศัตรูลง

เหลยเป้าคำรามอย่างดุเดือดและกวัดแกว่งกระบองยักษ์ไปด้วย เมื่อกระบองนั้นกระทบกับหัวของชายชุดดำ อีกฝ่ายก็แน่นิ่งและไม่ขยับไปไหนอีกเลย

เมื่อฉู่ชวิ๋นกลับมาต่อสู้ได้ ความได้เปรียบก็กลับมาสู่ฝั่งของเขาอีกอีกครั้ง

“ต่อให้แกฆ่าฉัน แกก็ไม่สามารถหลีกหนีความตายไปได้หรอก! พวกเราสำนักดาบพิฆาตจะเป็นศัตรูกับแกจนกว่าจะสังหารพวกแกจนหมดสิ้น

ฮ่า ฮ่า ฮ่า….”

ฉู่ชวิ๋นไม่รู้สึกอะไรกับคำขู่นั้นเลย “ไม่ต้องมาตามล่าฉัน ฉันจะไปเคาะประตูบ้านแกถึงที่เอง!”

ฉั่ว!

แท่งทองคำของฉู่ชวิ๋นฟาดเข้าไปที่ร่างของชายปากดีคนนั้นขาดเป็นสองท่อน

ในตอนนี้ จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิทั้ง 7 คน ที่สำนักดาบพิฆาตส่งตัวมาก็ถูกฉู่ชวิ๋นที่กำลังโกรธจัดการจนหมดสิ้น

คนที่หันไปฝักใฝ่ฝ่ายศัตรูก็เริ่มกลัวจนหัวหดกับความดิบเถื่อนของฉู่ชวิ๋น พวกเขากลัวที่จะถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น

ไม่นานนัก ประตูวิญาณสลายก็กลายเป็นกลุ่มคนเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อย่างแท้จริง พวกเขาต่างถูกพรรพวกและตัวของฉู่ชวิ๋นเองไล่ฆ่าไม่เปิดโอกาสให้พักเลยแม้แต่น้อย

“ขอบคุณนายมากนะ!” ฉู่ชวิ๋นคำนับ จักรพรรดิยา

จักรพรรดิยาก็ทำแบบเดียวกันพร้อมกับยิ้มเบา “ทุกคนต้องช่วยกันรับผิดชอบจัดการไอ้พวกชั่วนี้ให้หมดไปจากแผ่นดินสิ”

ก่อนที่จะถามฉู่ชวิ๋นอย่างประหลาดใจ “ไม่คิดเลยว่านายจะเป็น จอมมารฉู่ คนนั้นจริงๆ”

ตอนเจอกันครั้งก่อนเขายังเสนอแนะอีกว่าให้ฉู่ชวิ๋นฝึกให้หนักกว่านี้ ต่อให้เขาเป็นคนที่หน้าหนาขนาดไหน พอได้รู้ความจริงแบบนี้ก็รู้สึกขายหน้าเป็นธรรมดา

ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วอยู่สักพักก่อนที่จะนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ตอนที่จักรพรรดิยาสั่งสอนเขา เขาจึงยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

แต่ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่าฉู่ชวิ๋นกำลังคิดอะไรอยู่ เขาหันหลังและวิ่งเข้าไปภายในถ้ำอีกครั้ง

คนบางคนก็ไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะทำอะไร

หลังจากนั้นผ่านไปสักระยะ ฉู่ชวิ๋นก็วิ่งออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ต้นไม้สีทองและผลไม้สีทองในถ้ำนั้นมีอยู่จริง เขารีบหยิบผลไม้พวกนั้นออกมา ซึ่งมีทั้งหมด 7 ลูก

ก่อนที่จะฉู่ชวิ๋นมอบมันให้กับจักรพรรดิยา 1 ลูก ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็คือ “กีวี่ทองคำ” นั้นเอง

“กีวี่ทองคำ” เนื่องจากยวีเฉิงเป็นจักรพรรดิยา เขาจึงรู้ทันทีว่าผลไม้พวกนี้คืออะไร เขาแปลกใจมากๆที่อีกฉู่ชวิ๋นมอบให้เขาง่ายๆ แบบนี้

“ถือซะว่าผลไม้นี้คือคำขอบคุณของฉันก็แล้วกัน”

จักรพรรดิยาไม่ได้ปฏิเสธของตอบแทนนี้ เขาเองก็รู้มูลค่าของผลไม้นี้ดี และอยากจะศึกษาพลังของมันเหมือนกัน

จิ่วโยวเดินเข้ามาหาเขา พร้อมกับเงยใบหน้าสวยๆ ของเธอขึ้น กระพริบตาปริบๆ หลักจากนั้นก็แบมือเล็กๆ มาทางฉู่ชวิ๋น

ฉู่ชวิ๋นไม่ลังเลมอบมันให้กับจิ่วโยวทันที

กร็อบ!

จิ่วโยวอาปากกว้างก่อนที่จะกัดลงไปคำใหญ่ ปากของเธอเต็มไปด้วยรสของผลไม้ลูกนั้น ความชุ่มช่ำของผลไม้ดับความกระหายของเธอไปจนหมด ใบหน้าอันงดงามของจิ่วโยวเรืองแสงสีทองจางๆ ก่อนที่จะหายไป

ผลไม้แต่ละลูกหน้าตาไม่เหมือนกัน ลูกที่จิ่วโยวกินทำให้เธอโคจรลมปราณได้รวดเร็วขึ้น ร่างเล็กๆ ของเธอเรืองแสงสีทองจางๆ ก่อนที่จะหายไป โคนผมสีม่วงของเธอเงางามราวกับคริสตัล

“รู้สึกยังไงบ้าง?” เหยียนชงและคนอื่นๆ มองไปยังจิ่วโยวเป็นตาเดียว พร้อมกับถามคำถามออกไป ขณะที่เธอกำลังกิน

“อร่อยมากๆ”

เอ่อ….กลุ่มคนที่มองมาด้วยความคาดหวังต่างก็ถอนหายใจ ผลไม้ที่ดูยิ่งใหญ่ขนาดนี้เรื่องรสชาติก็ต้องไม่มีที่ติอยู่แล้วหนิ?

“แล้วก็…พลังในตัวของฉันก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมานิดหน่อยด้วยละ”

หืม!?

บางคนรู้สึกหมดคำพูด คำอธิบายของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ดูจะเรียบง่ายไปหน่อยไหม?

โดยเฉพาะจักพรรดิยา เขามองไปยังจิ่วโยวเหมือนกับพบสมบัติล่ำค่า

“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย”

สำหรับคนทั่วไปแล้ว การที่ได้กินผลทองคำแบบเดียวกับที่เธอกินไปต้องใช้เวลาปรับตัวและดูดซับพลังจากสารอาหารอยู่นานพอควร แต่จิ่วโยวเหมือนจะข้ามขั้นตอนนี้ไปเธอได้พลังโดยตรงจากผลไม้ทันทีที่กินมันลงไป

เหยียนชงและคนอื่นๆ กระพริบตาปริบๆ พวกเขามองไปยังเด็กตัวเล็กๆ ที่อายุน่าจะประมาน 10 ขวบ ราวกับจอมยุทธ์ที่ได้รับการยกย่อง แน่นอนว่าพลังของเธอนั้นสูงกว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิทั่วไปมากเพราะร่างที่เป็นปีศาจของเธอนั้นเอง

“พวกนายลงไปที่ตีนเขากันก่อนเถอะ” ฉู่ชวิ๋นพูด เขาอยากจะปิดผนึกภูเขาแห่งนี้

ผ่านไป 1 ชั่วโมงให้หลัง ผู้คนก็เดินทางกลับไปยังที่พักของตน

ภูเขาลูกใหญ่นี้ถูกฉู่ชวิ๋นปิดผนึกเอาไว้แล้ว สิ่งที่อาศัยอยู่ภายในถ้ำแห่งนั้นเธออ้างว่าตัวเองเป็นอมตะตอนนี้เป็นตายร้ายดียังไงไม่มีใครทราบ เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนบุกเข้าไปแบบพวกประตูวิญญาณสลายอีก เขาต้องผนึกมันไว้ชั่วคราว ก่อนที่จะลองหาอะไรผนึกเต็มรูปแบบอีกครั้ง

เมื่อพวกเขากลับมาถึงโรงแรมฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว การเดินทางขึ้นเขาครั้งนี้กินเวลาทั้งคืน

แต่เดิมโรงแรมที่แออัดตอนนี้กลับถูกทิ้งร้าง จอมยุทธ์ทุกคนอพยพออกไปในชั่วข้ามคืน

ทั้งโรงแรมมีเพียงหยานอี้และคนอื่นๆ เท่านั้น

ฉู่ชวิ๋นบอกให้ทุกคนกลับเข้าห้องพักและไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนที่จะมารวมตัวกันในห้องอาหารของโรงแรม หลังจากการต่อสู้ตลอดทั้งคืน ต่างคนต่างก็หิวไส้กิ่วกันหมดแล้ว

“ฉันอยากเข้าร่วมกับคฤหาสน์ตระกูลฉู่” ณ โต๊ะอาหาร อยู่ดีๆ จักรพรรดิยา ก็หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ทำให้ทุกสายตาจดจ้องไปที่เขาและมีข่าวลือว่าจักรพรรดิยานั้นไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและรักอิสระ ซึ่งคำพูดขอของเขาไม่สอดคล้องกับข่าวลือที่ว่ามาเลยแม้แต่น้อย

“ยินดีต้อนรับ!” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับทันที

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ต่อให้ไม่คำนึงถึงฝีมือระดับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิแต่ทักษะการแพทย์ของเขาก็เป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคต การที่มีเขาอยู่ด้วยเท่ากับว่ามีโรงพยาบาลเคลื่อนที่ติดตัวไปด้วย โอกาสการรอดชีวิตของพวกเขาก็จะเพิ่มสูงขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ภาพลักษณ์ของจักรพรรดิยาเองก็เป็นที่น่าเชื่อถือในยุทธภพอยู่แล้วด้วย

“ฉันเร่ร่อนเพนจรมานานกว่าครึ่งชีวิตแล้ว ได้รวมตัวกับคนอื่นสักครั้งในชีวิตก็ไม่เสียหายอะไร” จักรพรรดิยายิ้มให้ทุกคน

ทุกคนไม่เชื่อเขานัก ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ

“จักรพรรดิยา บอกฉันมาหน่อยสิ ว่าทำไมนายถึงอยากเข้าร่วมกับท่าน?” เหยียนชงถามอย่างสงสัย

จักรพรรดิยามองไปยังหญิงหม้ายและพูดออกมาอย่างจริงจังว่า “ฉันอยากร่วมด้วยไม่ได้หรือไง? ฉันแค่อยากหาที่จะปักหลัก นอกจากนี้แล้วฉันก็ไม่ได้แซ่หวง*” (*หวง(皇) หมายถึง จักรพรรดิ)

“อย่างงั้นเหรอ?” เหยียนชงไม่เชื่อและจ้องมองอย่างกดดัน

จักรพรรดิยาเองก็เห็นว่าคนอื่นๆ ไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดนัก เขาจึงพูดออกมาว่า “เออก็ได้ๆ ฉันเห็นพวกนายติดตามฉู่ชวิ๋นแล้วได้สมบัติกัน ฉันก็อิจฉาอยากได้บ้างอะ ทำไม ไม่ได้หรือไง!”

เหลยเป้าเดินเข้ามาตบบ่าของจักรพรรดิยา “ยากหน่อยนะ นายท่านคงยังไม่ให้ของกับนายหรอก ด้วยพลังของนายแล้วต้องใช้เวลาสัก 8 ปีหละมั้ง กว่าเขาจะมองสมบัติให้กับนาย”

“ไสหัวไป!” จักรพรรดิยาถลึงตาใส่ “เท่าที่ฉันรู้มา นายพึ่งติดตามฉู่ชวิ๋นมาไม่ถึงเดือนเอง? แล้วทำไมฉันต้องใช้เวลาตั้ง 8 ปีด้วย?”

“เพราะนายมันน่าเกลียดไงละ” เหลยเป้าดึงหน้า พร้อมกับลูบเคราของตนราวกับกวนอู

คำพูดนี้ทำใครหลายคนแทบพ่นข้าวออกมา

หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จ ฉู่ชวิ๋นก็ให้เหยียนชงและหญิงหม้ายกลับไปยังวังมังกรเพลิงก่อน ส่วนคนอื่นๆ ให้ตรงไปยังสำนักภูผาทมิฬได้เลย

ประตูวิญญาณสลาย สำนักดาบพิฆาต เทียนหลงเป่า…ฉันจะตามเก็บพวกแกที่ละกลุ่มเลย!

ในตอนเที่ยงวัน พวกเขาก็แยกย้ายกันที่เมืองกว่างหยาง

ฉู่ชวิ๋นและคนอื่นๆ ก็รีบเดินทางไปยังสำนักภูผาทมิฬทันที

ภูเขาหวูจิน ที่ตั้งของสำนักภูผาทมิฬอยู่ทางตอนใต้ของเมืองผิงฉุน ไกลออกไปกว่า 100 กิโลเมตร

ประตูวิญญาณสลายให้เวลาสำนักภูผาทมิฬ 1 เดือนเพื่ออพภยออกจากภูเขาลูกนี้ ซึ่งตอนนี้ผ่านมา 20 กว่าวันแล้ว

ซึ่งเท่ากับว่าตอนนี้เหลือเวลาไม่มากแล้ว ฉู่ชวิ๋นตั้งใจจะให้พวกประตูวิญญาณสลายลุยมายังภูเขาแห่งนี้ก่อน

เมื่อรถเดินทางมาถึงเขตอุตสาหกรรมที่เกือบจะออกจากเมืองผิงฉุนแล้ว อยู่ๆ ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกใจเต้น

“เป็นอะไรของนายน่ะ?” จิ่วโยวที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามด้วยความสงสัย

ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าเป็นคำตอบ เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ไม่นานมานี้เขารู้สึกแปลกๆ อยากจะร้องออกมาแต่ก็ร้องไม่ได้ ความรู้สึกนี้เป็นเหมือนการได้เห็นฮวาชิงหวู่นอนอยู่ในโลงคริสตัล

“หรือว่า เสี่ยวหวู่…” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นวูบวาบด้วยลมปราณอย่างน่ากลัว

“ไปรวมตัวกับสำนักภูผาทมิฬก่อนเลย แล้วเดี๋ยวฉันจะรีบตามไป” เสียงของฉู่ชวิ๋นดังขึ้น เขาประตูรถเปิดออกและพุ่งตัวออกไปจากรถหายไปจากสายตาของจิ่วโยวทันที

เธอได้แต่ทำเสียงไม่สบอารมณ์ออกมา สีหน้าของเธอนั้นดูไม่พอใจอย่างมาก

ความเร็วของฉู่ชวิ๋นมากจนน่ากลัวเพียงระยะหลายร้อยเมตรคือ 1 ก้าวของเขา! รอบตัวของเขาของระเบิดอย่างรุนแรง เขาเส้นทางคดเคี้ยวทางเขตเมืองไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อนึกถึงสิ่งที่สัมผัสกับหัวใจของเขาได้มันก็คือการที่วิญญาณของฮวาชิงหวูหายไป !!