ตอนที่ 330 ใจกระจ่างจักเห็นนิสัย

พันธกานต์ปราณอัคคี

“ไยจึงกังวล?” มั่วชิงเฉินคิดว่าใจเต๋าของตนเข้มแข็งพอ ทว่าห่างจากก่อกำเนิดเพียงแค่ก้าวเดียวแล้ว ในใจก็กังวลขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ

 

 

มั่วชิงเฉินค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองสามีที่อยู่เคียงข้างนางมายาวนาน ต่อให้ผ่านไปนานหลายปีเพียงนี้ ใจเต้นในยามนั้นก็ไม่ได้จืดจางลง ตรงกันข้ามกลับยิ่งลึกซึ้งขึ้นตามการตกตะกอนของกาลเวลา

 

 

นางพิงศีรษะไว้บนบ่าของเขาช้าๆ ว่า “พี่กู้ ข้ารู้สึกว่าทุกอย่างนี้ดีงามเกินไป ดีงามจนเหมือนความฝัน เมื่อตื่นจากฝัน สิ่งเหล่านี้ก็จะสลายเป็นหมอกควัน”

 

 

ใช่แล้ว นางถือกำเนิดในตระกูลบำเพ็ญเพียรตระกูลมั่วตั้งแต่เยาว์วัย ตระกูลมั่วแม้ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ อีกทั้งนางเกิดมาก็ไม่มีบิดามารดา กลับได้ความรักจากท่านปู่ การปรองดองของพี่ๆ น้องๆ

 

 

ยามเมื่ออายุได้สิบกว่าปีถูกพรรคเหยากวงอันเลื่องชื่อเลือกเป็นศิษย์เหยากวง คนในตระกูลไม่มีสักคนที่ไม่อิจฉา ด้วยโอกาสวาสนาได้กราบนักพรตจื่อซีเป็นอาจารย์ กลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิเพียงคนเดียวในบัดนี้ของนาง ชั่วขณะหนึ่งมีหน้ามีตาไม่มีใครเปรียบ

 

 

ต่อมานางสร้างรากฐานแล้ว กลับได้พบกับชายหนุ่มที่ทำให้นางใจเต้นตึกตักคนหนึ่งโดยบังเอิญ กู้หลี หรือก็คือนักพรตเหอกวงแห่งพรรคเหยากวง อาจารย์อาของนาง

 

 

นี่ไม่มีอะไร หลายสิบปีต่อมานางเลื่อนเข้าขั้นแก่นทอง จึงไม่ต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อาอีก หากแต่เป็นศิษย์พี่

 

 

อาจเพราะเป็นบุพเพที่สวรรค์กำหนดไว้ นักพรตเหอกวงที่ดูสงบหลุดจากโลกีย์ไม่คิดว่าจะพึงใจนางเช่นกัน

 

 

มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครเช่นกัน ท่วงท่าสง่างามเช่นกัน การผูกสัมพันธ์ของทั้งสองคนถูกเล่าลือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ได้รับการอวยพรจากคนนับไม่ถ้วน

 

 

ต่อมาเคียงคู่เกื้อกูลกัน ยามฝึกตนไม่ใช่ไม่เคยพบอันตรายมาก่อน ยามบำเพ็ญเพียรก็ไม่ใช่ไม่เคยเจอช่วงคอขวด ทว่าเหล่านี้ล้วนเดินผ่านมาแล้ว เรื่องมาถึงบัดนี้ ตกลงนางกังวลอะไรอยู่กันแน่นะ?

 

 

“ชิงเฉิน เจ้ามาฟังดู” กู้หลีลากมั่วชิงเฉินมาที่หน้าอกของเขาอย่างนุ่มนวลว่า “ได้ยินอะไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าแดงเรื่อว่า “พี่กู้ คือเสียงใจเต้นของท่าน”

 

 

กู้หลีเกยคางไว้บนผมมั่วชิงเฉินแล้วถูเบาๆ ว่า “เด็กโง่ ไม่ต้องคิดเหลวไหลแล้ว นี่ไม่ใช่ความัน ใจของข้าเต้นมาตลอด มันเต้นเพื่อเจ้า”

 

 

พูดถึงสี่คำสุดท้ายเสียงได้เบาลงแล้ว เสียงทุ้มต่ำ สะท้านใจคน

 

 

มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นว่า “มันเต้นเพื่อข้า?”

 

 

กู้หลียิ้มแล้ว บีบจมูกนางอย่างเอ็นดูว่า “ใช่ มันเต้นเพื่อเจ้า ข้าเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด อายุขัยถึงสองพันปี หากเจ้าไม่ก่อกำเนิด ข้าจะทำเช่นไร?”

 

 

มองดูดวงตาเศร้าโศกเล็กน้อยของกู้หลี มั่วชิงเฉินรู้สึกปวดในใจ

 

 

กู้หลีลากมั่วชิงเฉินยืนขึ้นมา จัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยให้นางอย่างอ่อนโยนว่า “ชิงเฉิน ไม่ต้องกังวลแล้ว รีบไปเถอะ ข้ารอเจ้าก่อกำเนิดออกมาอย่างราบรื่น เพื่อที่เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้แน่นอน”

 

 

ประตูหินที่กู้หลีชี้ ราวกับมีแรงดึงดูดมหาศาล เรียกมั่วชิงเฉินเข้าไป

 

 

มั่วชิงเฉินยืนอยู่ตรงนั้น มองใบหน้าของกู้หลีตาไม่กะพริบ สีหน้าแยกแยะความรู้สึกไม่ออก

 

 

“เป็นอันใดหรือ ชิงเฉิน?” กู้หลีถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย

 

 

“นี่ไม่ถูก” มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะช้าๆ

 

 

“อะไรไม่ถูก?” กู้หลีสงสัยหนักขึ้น จากนั้นยื่นมือตบมั่วชิงเฉินเบาๆ ว่า “เด็กโง่ เจ้าคิดเหลวไหลอีกแล้ว เหตุใดตั้งแต่เด็กก็ทะเล้นตึงตังเช่นนี้ ไม่เคยเปลี่ยนเลย”

 

 

มั่วชิงเฉินถอยหลังก้าวหนึ่ง มองกู้หลีอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง ถึงยิ้มว่า “ชิงเฉินอยากอยู่กับท่านไปตลอดจริงๆ”

 

 

กู้หลียิ้ม เข้ามาก้าวหนึ่ง

 

 

“อย่าเข้ามา” มั่วชิงเฉินถอยหลังอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ยิ้มอยู่ ดูแล้วกลับโศกเศร้าเหลือเกินว่า “ทว่า ข้าไม่ได้บำเพ็ญเพียรเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันตลอด!”

 

 

กู้หลีชะงัก

 

 

รอยยิ้มของมั่วชิงเฉินนิ่งเรียบยิ่งขึ้นว่า “ควรจะพูดว่า ข้าไม่ได้บำเพ็ญเพียรเพื่อใคร หรือเรื่องใดๆ ทั้งนั้น ข้าเพียงแต่ทำตามหัวใจของตนเอง ไปสำรวจทางแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ลำบากและอันตรายแต่กลับศักดิ์สิทธิ์ อาจเพื่อท่าน เพื่อท่านปู่ เพื่อสหาย เมื่อพวกท่านพบอันตรายข้าจะเข้าช่วยโดยไม่เสียดายชีวิต ทว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าหยุดฝีเท้าในการบำเพ็ญเพียร ในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน ทุกคนและทุกเรื่องก็ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าก้าวขึ้นและเดินหน้าต่อไปบนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร”

 

 

พูดถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินชะงักครู่หนึ่ง สายตามองไปที่กู้หลีอย่างอ่อนโยนว่า “ชิงเฉินเชื่อว่าท่านก็เช่นกัน ท่านว่าถูกไหมเจ้าคะ อาจารย์?”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ก็เห็นกู้หลีที่อยู่ตรงหน้ายิ้มพลางกลายเป็นแสงสีขาวกระจายหายไป ส่วนนางหลับตาลงอย่างบังคับตนเองไม่ได้เพราะแสงสีขาวที่แสบตา

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าฟื้นแล้ว” เสียงอ่อนโยนและสงบดังขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา ลังเลเล็กน้อยว่า “อาจารย์…”

 

 

“เจ้าธาตุไฟเข้าแทรกยามบำเพ็ญเพียร บัดนี้แม้ฟื้นขึ้นมา ทว่ายังต้องพักฟื้นให้ดี พักผ่อนก่อนเถอะ” กู้หลีหยิบผ้านวมขึ้นห่มให้นางอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วลุกเดินออกไป

 

 

มั่วชิงเฉินลุกขึ้นนั่งช้าๆ พิงหมอนอิงใบใหญ่สีดำค่อยๆ ลูบหน้าอก ที่แท้ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นความฝันหรือนี่ มิน่าถึงดีงามถึงเพียงนั้น ดีงามจนนางรู้สึกกลัวแล้ว

 

 

เพียงแต่ในใจ ไยถึงรู้สึกว่างเปล่า

 

 

มั่วชิงเฉินจมดิ่งอยู่ในความฝันที่แสนวิเศษนั้นยังไม่ได้สติกลับมา ประตูเปิดออกดังเอี๊ยด สาวใช้ฝาแฝดคู่หนึ่งเดินเข้ามา

 

 

“คุณหนู ท่านกินโจ๊กหน่อยนะเจ้าคะ” เหม่ยจิ่งนั่งลงที่ขอบเตียง ยกโจ๊กขึ้นป้อนมั่วชิงเฉิน

 

 

เหลียงเฉินหัวเราะคิกคักขึ้นมาว่า “คุณหนู โจ๊กอร่อยไหมเจ้าคะ นี่ท่านนักพรตต้มให้ท่านด้วยตนเองเชียวนะเจ้าคะ”

 

 

มั่วชิงเฉินสำลักทีหนึ่ง หน้าแดงเล็กน้อย

 

 

“เหลียงเฉิน” เหม่ยจิ่งถลึงตาใส่นางเป็นการตำหนิ แล้วมองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “คุณหนู ท่านรีบดื่มตอนร้อนๆ ไม่ต้องสนใจนาง ท่านนักพรตพูดแล้ว กินโจ๊กทิพย์มากๆ ร่างกายจะได้หายเร็วๆ”

 

 

สองสามวันให้หลัง ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็หายดีแล้ว ใส่เสื้อผ้าเสร็จเดินออกไป

 

 

เหลียงเฉินและเหม่ยจิ่งกำลังยุ่งอยู่ในสวนยา

 

 

“อาจารย์ล่ะ?” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

“ท่านนักพรตเหมือนไปเขาโฮ่วเต๋อแล้ว มีศิษย์ผู้ดูแลคนหนึ่งพาท่านไปเจ้าค่ะ” เหลียงเฉินเอ่ย

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า บอกให้รู้ว่ารู้แล้ว

 

 

ไม่นานนักกู้หลีก็ย้อนกลับมา สีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย

 

 

“อาจารย์ ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินถามขึ้น

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าเก็บสัมภาระที เราต้องไปเขตแดนนิกายเจิ้นโซ่ว เผ่าปีศาจเริ่มวิกฤตอสูรแล้ว” กู้หลีเอ่ย

 

 

มั่วชิงเฉินตกตะลึงเล็กน้อย เพิ่งเก็บของเสร็จเจ้าสำนักเหยากวงก็เรียกทุกคนรวมตัวกันแล้ว จากนั้นออกเดินทางภายใต้การนำของเสวียนหั่วเจินจวิน เริ่มการรบที่โหดร้ายอันยาวนานนับสิบกว่าปี

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าดูสิ ด้านนั้นดูเหมือนมีคนสู้กันอยู่” บนฟ้า ต้วนชิงเกอชี้ไปที่ที่หนึ่งว่า

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยว่า “เหมือนจะเป็นอาจารย์ข้า”

 

 

“ว้าย เช่นนั้นเรารีบไปดูกัน”

 

 

“อืม” มั่วชิงเฉินและต้วนชิงเกอบินเข้าไปเงียบๆ

 

 

ฉากตรงหน้ากลับทำให้นางตกใจเหลือคณา

 

 

หญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งมือถือกระบี่ โบยบินอยู่บนฟ้าแทงตรงมาที่กู้หลี กู้หลีกลับหลับตาไม่ขยับเขยื้อน

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนยังไม่ทันได้เอ่ยปาก กระบี่เล่มนั้นก็แทงไปถึงเสื้อกู้หลีแล้ว จากนั้นเคร้งเสียงหนึ่งตกลงพื้น

 

 

หญิงสาวชุดขาวร้องไห้ฮือๆ ขึ้นมา

 

 

กู้หลีลืมตาขึ้น ก้มตัวพยุงหญิงสาวชุดขาวขึ้นมาว่า “ปิงหลาน อย่าร้องอีกเลย”

 

 

หญิงชุดขาวเงยหน้าขึ้น ไฝแดงกลางหว่างคิ้วสะท้านใจคนว่า “กู้หลี เห็นข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าดีใจหรือไม่?”

 

 

กู้หลียิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุดว่า “แน่นอน ตลอดหลายปีมานี้ข้านึกว่าเจ้าไม่อยู่แล้ว ว้าวุ่นใจจนนอนไม่หลับทุกวัน บัดนี้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ นั่นก็คือความเมตตาที่สวรรค์มีต่อข้า”

 

 

“เจ้าพูดเหลวไหล ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดวิกฤตอสูรในสิบกว่าปีนี้ เจ้าถึงโหดเ**้ยมเช่นนี้? ในใจเจ้าไม่มีเข้าเลยใช่หรือไม่?” หญิงชุดขาวกัดริมฝีปากเบาๆ

 

 

กู้หลีจูงมือของหญิงชุดขาวขึ้นมาว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร จุดยืนไม่เหมือนกันนั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ทว่าเจ้า อยู่ในใจข้ามาตลอด”

 

 

หญิงชุดขาวยิ้มหวาน จู่ๆ ก็หันหน้าไป ตะคอกเสียงร้ายกาจว่า “ใคร?” แล้วสะบัดแขนเสื้อผ้าซัดขาวผืนหนึ่งออกไป

 

 

กู้หลียื่นมือรั้งไว้ว่า “ปิงหลาน นี่คือศิษย์ของข้า”

 

 

มั่วชิงเฉินมองทั้งสองคน ในใจรู้สึกสับสนอธิบายไม่ถูก จึงฝืนยิ้มว่า “ซือจุน ชิงเฉินยังมีเรื่องต้องรายงานต่อท่านอาจารย์ปู่ ก็ไม่รบกวนท่านกับท่านผู้อาวุโสผู้นี้แล้ว…ท่านเชิญตามสบาย…”

 

 

พูดจบ ก็หนีหัวซุกหัวซุนไป

 

 

“ชิงเฉิน…” ต้วนชิงเกอรีบไล่ตามไป

 

 

ด้านหลังยังได้ยินเสียงของหญิวสาวชุดขาวดังมาว่า “กู้หลี ศิษย์เจ้าคนนี้ ไม่คิดว่าจะเหมือนข้าหลายส่วน…”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่รู้วิ่งไปถึงข้างทะเลสาบได้อย่างไร นั่งลงแล้วหยิบก้อนหินเล็กๆ โยนไปบนผิวน้ำเล่น

 

 

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง ต้วนชิงเกอนั่งลงข้างๆ

 

 

ทั้งสองนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ต้วนชิงเกอเอ่ยปากว่า “ชิงเฉิน เจ้าเสียใจมากใช่หรือไม่?”

 

 

เสียงของมั่วชิงเฉินทุ้มต่ำเล็กน้อย กลับชัดเจนทุกถ้อยคำว่า “เสียใจเป็นเรื่องธรรมดา ชิงเกอเจ้าก็รู้ หลายปีมานี้ข้า…ข้าใจผูกพันกับอาจารย์ พยายามอยู่ตลอด อยากได้รับการตอบสนองจากเขา…”

 

 

เสียงของต้วนชิงเกอร้ายกาจขึ้นมาเล็กน้อยว่า “ชิงเฉิน เจ้ารีบตื่นเถอะ ไม่พูดถึงว่านักพรตเหอกวงเป็นซือจุนของเจ้า พวกเจ้าอยู่ด้วยกันคนในใต้หล้าไม่ยอมรับ แม้แต่นักพรตเหอกวงเอง ก็ไม่มีใจต่อเจ้านี่นา! ที่เขาชอบคือหญิงสาวชุดขาวผู้นั้น”

 

 

สายตาของมั่วชิงเฉินเย็นชาเล็กน้อย มองไปที่หน้าต้วนชิงเกอว่า “ข้ารู้ หลายปีก่อนก็ได้ยินนักพรตจื่อซีพูดมาก่อน หญิงสาวชุดขาวผู้นั้นคือคนรักของอาจารย์”

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อย่ายึดติดอีกเลย เจ้าไม่เห็นหญิงสาวชุดขาวผู้นั้นคล้ายกับเจ้าหรือ นักพรตเหอกวงเขา ไม่แน่ก็เพราะเหตุนี้เขาถึงรับเจ้าเป็นศิษย์และรักใคร่เอาใจใส่” ต้วนชิงเกอแม้สงสาร กลับไม่อยากเห็นนางดันทุรังอีก

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง

 

 

“ชิงเฉิน?”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “ข้ารู้ว่าอาจารย์ใจผูกกับผู้อื่น และก็ดูออกว่าข้าและหญิงสาวคนนั้นบุคลิกคล้ายกันอยู่บ้าง ทว่าชิงเกอ ข้าก็รู้เช่นกันว่าในอดีตที่อาจารย์รับข้าเป็นศิษย์ ความห่วงใยที่มีต่อข้า ไม่ใช่เพราะหน้าตาของข้าแน่นอน หากแต่เพราะข้าเป็นข้า”

 

 

ต้วนชิงเกอส่ายศีรษะว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจ”

 

 

“สมัยเด็กข้าขายสุราถูกคนร้ายจับตัวไป ก็ได้อาจารย์ช่วยไว้ ต่อมาถูกนักพรตหานจางกักขัง ก็เพราะอาจารย์รับข้าเป็นศิษย์ ช่วยข้าออกไป ต่อจากนั้นทุ่มเทสั่งสอน ดูแลเอาใจใส่ และในระหว่างนี้ ท่านไม่รู้หน้าตาที่แท้จริงของข้ามาตลอด ชิงเกอ ข้ามองได้ชัดเจน ไม่มีทางเพียงเพราะคนรักของอาจารย์ปรากฏตัวอีกทั้งคล้ายข้าหลายส่วนก็ปฏิเสธความดีที่อาจารย์ปฏิบัติต่อข้าในหลายปีนี้ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็ไม่คู่ควรเป็นศิษย์นักพรตเหอกวง อาจารย์ท่านก็ไม่ใช่คนเช่นนั้นแน่นอน” มั่วชิงเฉินเอ่ยเนิบๆ มุมปากอมยิ้ม

 

 

ต้วนชิงเกอสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาว่า “ต่อให้เป็นเช่นนี้ หรือว่าเจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าในใจนักพรตเหอกวงไม่มีเจ้า สายตาของผู้คนไม่ยอมรับ เจ้าก็ยังจะไล่ตามต่อไป พุ่งชนจนหัวร้างข้างแตกหรือ?”