บทที่ 272
บทที่ 272

เรื่องที่ถังหยินมาเยี่ยมเยียนตระกูลอู่ แน่นอนอู่เหมยก็รู้เช่นกัน ซึ่งมันก็ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจแล้วก็รู้สึกดีใจในเวลาเดียวกัน จนคิดอยากจะออกไปหาถังหยินเสียเดี๋ยวนั้น ! แต่แล้วนางก็พลันนึกโมโหในความไร้หัวใจของถังหยิน ที่ไม่เพียงแต่จะละทิ้งตระกูลอู่ไป หากแต่ยังบังคับให้นางอยู่แต่ในชุนโจวนี่ด้วย !

หญิงสาวเดินไปมาในห้องของนาง ทำท่าอยากจะเดินออกไปข้างนอก ด้วยกลัวว่าถังหยินจะจากไปและเสียโอกาสที่จะได้พบอีกฝ่ายไป หากแต่นางกลับไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้ และเมื่อถังหยินมาถึง เขาเห็นเข้ากับอู่เหมยที่เอาแต่เดินไปมาอยู่ในห้องของตัวเอง พร้อมกับพึมพำบางคำที่ไม่สามารถได้ยินได้อย่างถนัดนัก

แท้ที่จริงแล้วยังมีอีกคนที่อยู่ในห้องกับนางคือ และนั่นก็คืออู่อิง !

แม้ว่าอู่อิงจะเป็นน้องสาวของอู่เหมย แต่ฝ่ายหลังก็มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดมากกว่า ส่วนอู่อิงจะดูสงบเสงี่ยมมากกว่า ซึ่งตัวนางนั้นก็ไม่เคยคิดว่าถังหยินทำสิ่งที่ผิด เพราะการใช้เล่ห์เหลี่ยมดึงเอาอำนาจทางการทหารจากทั้ง 3 ตระกูลไป ก็เพื่อโค่นล้มซ่งเทียน !

อู่อิงพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมอู่เหมยให้เลิกโกรธถังหยินเสียที แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่มองว่านางช่วยพูดแทนเขา

ดังนั้นในเวลานี้เมื่อถังหยินมาเยี่ยมสองสาวถึงหน้าประตู มันก็ทำให้พวกนางต่างตกตะลึงกันไปหมด

อู่อิงมองอู่เหมยที่มีท่าทีประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะพลางกล่าวว่า “ถังหยินพยายามที่จะมาหาเจ้าเชียวนะ จะไม่คุยกับเขาหน่อยหรือ ?”

อู่เหมยรู้สึกประหลาดใจมากที่ถังหยินเป็นฝ่ายมาที่นี่ และนั่น มันก็คงเพราะภายในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกต่อตนเป็นแน่ ! ทว่าแม้หญิงสาวจะคิดแบบนี้ในใจ หากแต่นางก็ไม่ยอมพูดออกไปตรง ๆ “ข้าไม่สน !”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงขอตัวก่อน !”

เสียงดังมาจากถังหยินที่ยืนอยู่นอกประตู ก่อนเป็นชายหนุ่มที่หันหลังกลับ ตั้งท่าเตรียมจะจากไป

“ไม่ ! กลับมาก่อน !”

ก่อนที่เขาจะก้าวออกไป ประตูที่ปิดแน่นหนาก็เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าแดงระเรื่อของอู่เหมย ที่กำลังยืนมองจ้องไปยังถังหยินด้วยสายตาที่น่าหลงใหลของนาง

ถังหยินหลุดขำก่อนที่จะหันหลังกลับมา “ยังโกรธข้าอยู่อีกหรือ ?”

“ทำไมจะไม่ล่ะ เจ้าบังคับให้ข้าไปถึงชุนโจวก็เพื่อฟานหมิน ! แล้วไหนจะที่เจ้าหลอกคนของตระกูลอู่อีก !” สิ่งที่ทำให้อู่เหมยโกรธอย่างที่สุด ก็คือการที่ถังหยินพานางมายังเมืองชุนโจว

ถังหยินยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “การเดินทัพและการต่อสู้นั้นยากลำบาก แถมยังเต็มไปด้วยอันตราย ข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่ในกองทัพได้อย่างไรกัน ?”

อู่เหมยหน้ามุ่ย “ลืมไปแล้วหรือว่าสถานการณ์ตอนที่เราพบกันครั้งแรกเป็นเช่นไร ข้าไม่ใช้ลูกคุณหนูที่สู้ไม่เป็นนะ !”

ถังหยินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ การต่อสู้ของอู่เหมยถือได้ว่าไม่เลวเลย แต่การบัญชาการกองทัพมันคนละเรื่องกัน ถ้านางไม่ใช่ลูกสาวคนโตของตระกูลอู่ มีหรือว่าเขาจะยอมให้นางนำทัพ ?

เพียงแค่ว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดออกไป ดังนั้นแล้วถังหยินจึงทำได้เพียงแค่ยิ้มจาง ๆ กลับไปและไม่พูดอะไร

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร อู่เหมยก็คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายมีเหตุผล จึงรีบเงยหน้าขึ้นแล้วถามอย่างหยิ่งผยอง “อะไร หมดเรื่องที่จะพูดแล้วหรือ ?!”

ถังหยินเหล่ตาของเขาและเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนในท้ายที่สุดชายหนุ่มจะถอนหายใจเบา ๆ และส่ายหัว “ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าไม่ควรมา !”

หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็หันหลังกลับไปในทันที ซึ่งคราวนี้ชายหนุ่มก็ไปจริง ๆ ไม่ได้แกล้งหยอกเล่นเช่นครั้งก่อน

ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่อู่เหมย เขาก็คงไม่มายืนพูดอยู่แบบนี้ แต่เมื่อเป็นอู่เหมย ความรู้สึกภายในมันก็ซับซ้อนมากเกินไป ด้วยมีทั้งความกตัญญู ความเอ็นดู และความรู้สึกอื่น ๆ อีกมากมายที่ปนเปกันจนไม่สามารถบรรยายได้

“เจ้ากำลังจะไปไหน ?” อู่เหมยเผลอตะโกน พร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าจับแขนเสื้อชายหนุ่มไว้โดยไม่รู้ตัว

ถังหยินไม่ได้หันกลับมาในทันที เช่นเดียวกับที่ก็ไม่ได้สลัดอู่เหมยออก เพียงหันหลังให้นางเช่นเดิมแล้วพูดขึ้นเบา ๆ “ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าอยากกลับไปพักซะหน่อย” นี่เป็นเรื่องจริง ด้วยชายหนุ่มจำไม่ได้แล้วว่าเขานอนหลับเต็มอิ่มครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และวันที่ยาวนานจากการเดินทัพกับการพูดคุยเรื่องทางการทหารก็ทำให้เขาหมดแรง จนกล่าวได้ว่าเขาเหนื่อยยิ่งกว่าตอนที่ต่อสู้ในสนามรบเสียอีก

ความเหนื่อยล้าในน้ำเสียงของเขาทำให้หัวใจของอู่เหมยปวดร้าว จนเผลอจับแขนเสื้อของชายหนุ่มแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

พวกเขาสองคนยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไร ซึ่งความเงียบอย่างกะทันหันเช่นนี้มันก็ทำให้ทั้งสองคนสงบลง

…ในเวลานี้อู่อิงกำลังแอบออกจากห้องของอู่เหมยออกมา และเมื่อท่าทีของทั้งสอง นางก็รีบเดินกลับไปที่ห้องของนางในพลัน

หลังจากที่ช่วงเวลาอันเงียบงันผ่านไปสักระยะ ก็เป็นอู่เหมยที่พูดออกมาก่อน “เจ้า… จะพักที่ห้องข้าก่อนก็ได้นะ !”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ถังหยินก็พลันหันศีรษะกลับไป ก่อนจะเอ่ยถามเบา ๆ พร้อมกับสบตาอีกฝ่าย “ได้จริงงั้นหรือ ?”

“ใช่ !” อู่เหมยตอบเบา ๆ และพยักหน้าในเวลาเดียวกัน

“ขอบคุณนะ !”

ถังหยินเป็นเด็กกำพร้า ดังนั้นเขาจึงอยู่คนเดียวและเคยชินกับการอยู่เช่นนั้นมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการครอบครัว ด้วยลึก ๆ แล้วในใจเขากระหายอยากมีครอบครัวมากกว่าใคร ๆ และถึงจะมีจวนหลังใหญ่เป็นของตัวเอง แต่มันก็ไม่อาจกลบเกลื่อนความโดดเดี่ยวที่มีได้เลย

ในขณะที่ชายหนุ่มนอนบนเตียงของอู่เหมย กลิ่นน้ำหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากร่างกายของหญิงสาวก็พลันทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

บางทีอาจเป็นเพราะเขาเกิดมาในโลกที่แตกต่าง ดังนั้นความอยากรู้อยากเห็นจึงมากกว่าคนทั่วไป แต่ทุกคราที่เขาได้อยู่เคียงข้างอู่เหมย เขาก็จะสามารถปล่อยวางลงได้ดั่งเช่นตอนนี้ ก่อนที่ต่อมาไม่นานชายหนุ่มจะหลับไป

อู่เหมยไม่จากไปไหน เพียงนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างเตียง เฝ้าดูการนอนหลับของถังหยินและค่อย ๆ หลับไปด้วยอีกคน

สำหรับหญิงสาวแล้ว ถังหยินคล้ายกับลมพายุ ที่ถึงแม้ว่าตัวนางจะอยากอยู่ใกล้หรือพยายามเข้าหามาเพียงใด นางก็สัมผัสได้แค่เพียงกระแสลมที่ไร้รูปร่าง ไม่อาจเข้าถึงอีกฝ่ายได้จริง ๆ

ถังหยินเข้าไปหานางในยามบ่ายและกลับจากไปในยามเย็น ซึ่งอันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มนั้นคิดจะไปยังจวนตระกูลเหลียงและจี้หยางต่อ แต่เมื่อมันเย็นแล้ว เขาก็ได้แต่กลับไปยังจวนที่พักของตน

ตอนนี้ฟ่านหมินไม่ได้อยู่ในจวนผู้ว่ามณฑล แต่กำลังติดตามฟ่านจูผู้เป็นบิดาไปยังปิงหยวน เนื่องด้วยที่แห่งนั้นมีการค้าขายกับเบสซ่า อันเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ตระกูลฟานจะไม่มีวันพลาดมันไปอย่างแน่นอน !

และเนื่องจากฟานหมิงไม่อยู่นี่เอง ที่ทำให้จวนแห่งนี้รกร้างว่างเปล่ากว่าที่เคย จนพานให้ถังหยินนอนไม่หลับ ได้แต่ออกมาเดินเล่นรอบ ๆ สวน

เมื่อถังหยินเดินเข้าไปในลานกว้าง เขาก็พลันเห็นเข้ากับคนที่กำลังเดินมาทางตนอย่างช้า ๆ ในขณะที่ฮัมเพลงเบา ๆ และแกว่งกระเป๋าใบเล็กในมือไปมา

ชายหนุ่มเหล่ตามองผู้มาใหม่ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ใครอื่น ที่แท้ก็คือหนึ่งในที่ปรึกษาผู้มากความสามารถ ซงหยวนนั่นเอง !

“มันดึกมากแล้ว ทำไมถึงเพิ่งกลับมากัน ?” ถังหยินถามอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ

ซงหยวนไม่มีความสามารถในการมองที่มืดเช่นชายหนุ่ม ดังนั้นแล้วเขาจึงมองไม่เห็นถังหยิน และเมื่อได้ยินเสียงนั่น เขาก็พลันเปลี่ยนท่าทีเป็นกระวนกระวาย ก่อนจะพูดออกมา “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาชุนโจว ดังนั้นข้าเลยกลับมาช้าหน่อย ”

“งั้นเหรอ ?!” ถังหยินพยักหน้าและไม่ได้ตั้งคำถามใดต่อ ด้วยเขาไม่สนใจอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรมา ซึ่งเดิมทีชายหนุ่มก็กะจะเดินจากไปแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าซงหยวนซ่อนกระเป๋าใบเล็กไว้ด้านหลัง เขาก็เริ่มสงสัยขึ้นมา “ถืออะไรอยู่ในมือ ?”

“ไม่มีอะไรเหรอขอรับ” เมื่อได้ยินคำถามของถังหยิน ซงหยวนก็แอบยิ้ม

“ข้าขอดูหน่อย” ถังหยินยื่นมือออกไป

ซงหยวนทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงวางกระเป๋าใบเล็กไว้ในมือของถังหยินแต่โดยดี

หลังจากที่ได้รับมา ถังหยินรู้สึกได้เลยว่ากระเป๋าใบเล็กนั้นหนักกว่าปกติ และเมื่อเขาเปิดมันออก ชายหนุ่มก็พลันปิดมันกลับ ก่อนจะโบกมือให้พร้อมร้องถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเอาเงินพวกนี้มาจากไหน ?”

“ขอรับ ?” ซงหยวนทำตัวไม่ถูก ด้วยเขาไม่รู้ว่าควรจะบอกดีไหม

ถังหยินกล่าวว่า “เป็นไปได้ไหมว่ามีคนอื่นให้ เพื่อจัดการเรื่องบางเรื่อง”

“ไม่ ! ไม่ ! ไม่ ! นายท่านเข้าใจผิดแล้ว !” ซงหยวนรีบโบกมือและพูด “นี่คือสิ่งที่ข้าได้รับกลับมาจากการไปบ่อน”

“บ่อนเหรอ ?” ถังหยินเลิกคิ้วขึ้น

ซงหยวนที่คิดว่ากำลังจะโดนคาดโทษ รีบโค้งคำนับและกล่าวว่า “ข้าหวังว่านายท่านจะไม่เอาผิดกับเรื่องนี้ขอรับ ได้โปรด !”

แม้ว่ากองทัพเทียนหยวนจะกลับมายังมณฑลเทียนหยวนแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ด้วยในความเป็นจริงแล้วกองทัพทั้งหมดยังคงอยู่ในสภาวะตึงเครียด และหากที่ปรึกษาระดับสูงอย่างซงหยวนไปเล่นพนันที่บ่อน มันก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าใด

ทว่าถังหยินกลับไม่ได้ตำหนิ เขาเพียงก้มศีรษะลงและมองไปที่ถุงเงินจากนั้นก็หัวเราะ “ดูเหมือนว่าคืนนี้ เจ้าจะโชคดีไม่น้อยเลย”

“นายท่านกล่าวเกินไปแล้วขอรับ ฮ่ะ ฮ่ะ” ซงหยวนกล่าวด้วยเสียงต่ำ พร้อมหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าปั้นยาก

“สนใจไปอีกรอบไหม ?”

“ขอรับ ?” ซงหยวนตกตะลึง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ถังหยินด้วยสีหน้าว่างเปล่า

ถังหยินยักไหล่และพูดอย่างเฉยเมย “ข้าอยากไปสังเกตการณ์ที่บ่อนเสียหน่อย !”

ซงหยวนแปลกใจ “นายท่านต้องการจะไปงั้นหรือ ?”

“ใช่สิ? “ทำไมไม่ได้ล่ะ?”

“เปล่าขอรับ !” ซงหยวนส่ายหัวและพูดอย่างกังวล “ถ้านายท่านจะไป ข้าเองก็จะไปด้วย !”

“เอาล่ะ งั้นไปกัน !” ถังหยินเงยหน้าขึ้นและเดินออกไปที่ประตู แต่เมื่อเห็นว่าซงหยวนยังยืนนิ่ง เขาก็พลันร้องถาม “มีอะไร ?”

ซงหยวนมองไปข้างหลังถังหยิน แต่ก็ไม่เห็นผู้ติดตามสักคน ดังนั้นเขาเลยอดไม่ได้ที่จะถาม “นายท่านจะไปคนเดียว ?”

ถังหยินหัวเราะเบา ๆ ก่อนพูดว่า “ก็เจ้ามากับข้าแล้วไง !”