เล่ม 1 ตอนที่ 215 ผู้ช่วยชีวิต!

ราชินีพลิกสวรรค์

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเฟิงสิงอวิ๋นกลับซ่อนคำเตือนและเจตนาฆ่ารวมอยู่ด้วย ทำให้แววตาขององค์ชายรองหม่นหมองลง

 

 

น่าเสียดายที่เขามิสามารถปลดปล่อยอาวุธ ณ ที่แห่งนี้ได้

 

 

เพราะสถานที่แห่งนี้คือสถานบันไป๋หยวน!

 

 

แม้ว่าเขาจะเป็นมียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงองค์ชาย มาถึงที่แห่งนี้ก็ไม่สามารถนำทหารองครักษ์เข้ามาได้

 

 

การปรากฏตัวของเฟิงสิงอวิ๋น ทำให้สีหน้าของโจวยวนตึงเครียดทันที

 

 

นางไม่รู้จักเฟิงสิงอวิ๋นมาก่อน แต่นางรู้ว่าเพราะการปรากฏตัวของเขาอย่างกะทันหัน ทำให้แผนการของนางล้มเหลว การได้พบเจอกับลู่เสวียนและคนอื่นๆ เป็นเรื่องบังเอิญ และนางก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าลู่เสวียนและคนอื่นๆ จะมาที่ซีเฉียน

 

 

แน่นอนว่าขณะที่เผชิญหน้ากัน เปลวไฟแห่งความอยากแก้แค้นในใจของนางก็เริ่มลุกโหมขึ้นมาอย่างรุนแรง เดิมทีนางต้องการยั่วยุความขัดแย้งระหว่างลู่เสวียนและคนอื่นๆ ในสถาบัน แต่การปรากฏตัวขององค์ชายรอง ทำให้นางรู้สึกว่าทั้งสามคนนี้อาจจะตายอย่างอนาถกว่าเดิมเสียอีก เพียงแต่มิได้คาดคิดว่าทุกอย่างจะหยุดชะงักไป เพราะการปรากฏตัวของเฟิงสิงอวิ๋นก่อกวนจนนางต้องเปลี่ยนแผน

 

 

“มาล้อมวงอะไรกันตรงนี้ ว่างกันมากเลยหรือ” อาจารย์จากสถาบันไป๋หยวนซีเฉียนที่มาพร้อมกับเฟิงสิงอวิ๋นมองไปทางทุกคนและกล่าวเตือน

 

 

ฝูงชนแยกย้ายอย่างรวดเร็วจากสถานที่แห่งนี้

 

 

องค์ชายรองและโจวยวนต่างมิได้เดินจากไป ทั้งสองจ้องมองไปที่พวกเจียงหลีทั้งสามซึ่งอยู่ตรงข้ามด้วยแววตาเป็นประกายไฟอย่างต่อเนื่อง

 

 

ทันใดนั้น อาจารย์ที่เอ่ยปากเตือนยืนขวางอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสองฝ่ายได้ปิดกั้นการมองเห็นของพวกเขา “พวกเขามีความแค้นอะไรส่วนตัว ข้าไม่สนใจ แต่ ณ สถาบันไป๋หยวนทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎของสถาบันแห่งนี้ มิเช่นนั้น…ฮึ” เสียงเย็นเยือกที่เต็มไปด้วยคำเตือนอันหนักแน่น ทำให้ในดวงตาอันหม่นหมองขององค์ชายรองสงบลง

 

 

เขายิ้มให้เจียงหลีโดยไม่ทราบสาเหตุและจับมือของโจวยวนแล้วหันหลังเดินจากไป “ยวนเอ๋อร์ ไปกันเถอะ”

 

 

โจวยวนมองไปที่ลู่เสวียนอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็หันหลังจากไปพร้อมกับองค์ชายรอง

 

 

ทันทีที่พวกเขาเดินจากไป อาจารย์จากสถาบันไป๋หยวนแห่งซีเฉียนก็พยักหน้าให้แก่เฟิงสิงอวิ๋น และเดินก้าวยาวจากไปเช่นกัน

 

 

เวลานี้ เจียงหลีจึงได้โอกาสเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์หนานเป็นห่วงพวกเราหรือ”

 

 

“ใช่” เฟิงสิงอวิ๋นพยักหน้า “เจ้าเป็นลูกศิษย์หัวแก้วหันแหวนของพี่ใหญ่ของข้า พอพวกเราได้รับข่าวว่าโจวยวนมาที่สถาบันไป๋หยวนและสนิทสนมกับองค์ชายยรอง พี่ชายใหญ่กลัวว่าจะมีคนมาหาเรื่องเจ้า จึงให้ข้ามาปกป้องเจ้าเป็นพิเศษ

 

 

เจียงหลีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

 

“พอแล้ว ไม่ต้องแปลกใจ ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปดูที่พัก” เฟิงสิงอวิ๋นนำพัดเคาะไปที่มวยผมของเจียงหลีและหันหลังนำทาง

 

 

ศิษย์พี่ที่นำทางมา ไม่รู้หายไปไหนเสียแล้ว

 

 

เกรงว่าจะเดินหายไปท่ามกลางความวุ่นวายนั้น

 

 

 

 

เจียงหลีกำลังฝึกฝนอยู่ที่ห้องพักในเวลากลางคืน

 

 

ช่วงเวลานี้ นางได้ฝึกฝนในเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อโดยตลอด ดูเหมือนว่านางจะรีบเร่งฝึกฝนในทุกช่วงเวลาจนติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว

 

 

ทันใดนั้น ขณะที่นางฝึกฝนอยู่ ก็รู้สึกจุกเสียดจากภายในร่างกาย

 

 

ความรู้สึกที่แหลกสลายในจิตใจ ทำให้นางกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และถูกบังคับให้ยุติการฝึกฝน แล้วล้มลงกับเตียง

 

 

“บัดซบ! ข้าเกือบจะบรรลุแล้วเชียว! ” เจียงหลีขดตัวแล้วจับผ้าห่ม เหงื่อไหลซึมออกมาจากผิวหนัง

 

 

นี่คือผลกระทบตามมาของการกลืนร่างวิญญาณ!

 

 

ช่วงหลายเดือนมานี้ นางฝึกฝนเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ โดยกาลเวลาได้ไหลเร็วไปมาก แต่ก็ไม่เกิดกระทบใด นึกไม่ถึงว่าวันนี้นางเพิ่งออกฝึกฝน ก็เกิดผลข้างเคียงนี้ขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

 

 

เจ็บ! เจ็บมาก! แต่ลู่เจี้ยกลับไม่อยู่ที่นี่! เจียงหลีสบถในใจ

 

 

ต่อมา พลังที่คุ้นเคยได้พุ่งออกมาจากลำคอของนางทันที และห่อหุ้มร่างกายของนางไว้ หลังจากที่ร่างกายดูดซับพลังงานนี้ไว้แล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่ต้องการให้เกิดก็บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว

 

 

“นี่มัน…” เจียงหลีฟื้นตัวเล็กน้อยและรีบหยิบจี้หยกที่คอออกมา ลู่เจี้ยมอบให้นางก่อนที่นางจะออกเดินทางและกำชับให้นางสวมใส่มันไว้ตลอดเวลา

 

 

พลังในจี้หยกนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นพลังลึกลับในร่างกายของลู่เจี้ย

 

 

“เขาทำได้อย่างไรกัน” เจียงหลีคิดไม่ตก นางไม่รู้ว่าลู่เจี้ยผนึกพลังนั้นไว้ในจี้หยกเช่นนี้ได้อย่างไร

 

 

ความเจ็บปวดบนร่างกายของเจียงหลีหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายของนางหายเป็นปกติแล้ว นางก็กำจี้หยกไว้ในมือและพึมพำ “เจ้าได้เตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”

 

 

พฤติกรรมที่เงียบสงบของลู่เจี้ย ทำให้ก่อเกิดความอบอุ่นในใจของนาง หวานปนขมเล็กน้อย

 

 

 

 

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ

 

 

เพียงพริบตาเดียว พวกเจียงหลีทั้งสามมาที่สถาบันไป๋หยวนซีเฉียนเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ช่วงเวลานี้พวกเขาต่างแยกกันฝึกฝน และไม่ข้องเกี่ยวกับคนอื่นๆ ซึ่งแม้แต่โจวยวนก็มิได้มาหาเรื่องอีก

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความน่าเกรงขามของเฟิงสิงอวิ๋นหรือกฎเหล็กของทางสถาบันไป๋หยวนกันแน่

 

 

ขณะเดียวกัน ณ ราชวงศ์จยาเซียนอันไกลโพ้นด้านทิศใต้ มีพระราชวังอยู่ลึกเข้าไปในอุทธยานหลวงบุปผาที่เงียบสงบ ชายสองคนที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นและงดงามผิดมนุษย์มนากำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้และแข่งหมากล้อมกันอยู่

 

 

“ข้าแพ้อีกแล้ว” หรงจิ่งชักหมากในมือกลับ ยิ้มจางๆ และแววตามิได้แสดงความรู้สึกดีใจหรือโกรธเคืองหลังจากการแพ้ในครั้งนี้เลย

 

 

“เป็นเพราะโชคช่วย” ลู่เจี้ยพูดเบาๆ พร้อมกับหยิบหมากบนกระดานขึ้นมาแล้วโยนเลงไปในกล่องเก็บหมากล้อม

 

 

ใบหน้าของเขาก็นิ่งเฉยเช่นเดียวกันหลังจากได้รับชัยชนะ

 

 

หรงจิ่งมองไปที่เขาพลางครุ่นคิดแล้วกล่าว “ข้าไม่เข้าใจเลยว่าบัดนี้เจ้ามีอำนาจตัดสินทุกอย่างในราชวงศ์จยาเซียน เหตุใดเจ้าถึงไม่ขึ้นครองราชย์เองเล่า”

 

 

ลู่เจี้ยเงยหน้าขึ้นมองเขาและยิ้ม “เจ้าบอกเองว่าราชวงศ์จยาเซียนอยู่ภายใต้การปกครองของข้า ดังนั้นจะแตกต่างกันอย่างไรหากข้ามิได้ขึ้นครองราชย์เอง”

 

 

หรงจิ่งถึงกับตะลึง แล้วส่ายหัวและหัวเราะ จากนั้น เขายืนขึ้นและกล่าวอำลาลู่เจี้ย “เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน ไว้ข้าค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่”

 

 

“เดินทางปลอดภัย” ลู่เจี้ยพยักหน้า

 

 

หรงจิ่งเดินจากไป และเงาก็เดินออกมาจากความมืด เขาไม่เข้าใจเล็กน้อย นับตั้งแต่การประลองยุทธในครั้งที่แล้ว หรงจิ่งมักจะมาที่วังหลวงแห่งนี้เพื่อมาหานายน้อยของเขา โดยทั้งสองจะเล่นหมากล้อมและพูดคุยกันเหมือนเพื่อนเก่าก็ไม่ปาน แต่เขากลับมีความรู้สึกที่ไม่สงบสุขรวมอยู่ด้วย

 

 

“เงา เจ้านำหยกชิ้นนี้ไปที่ซีเฉียนและแลกชิ้นของหลีเออร์กลับมาอย่างเงียบๆ” ลู่เจี้ยหยิบจี้หยกที่มีลักษณะเดียวกันกับที่มอบให้เจียงหลีและส่งให้เงา

 

 

“นายน้อย! ” เงาขมวดคิ้ว

 

 

เขาเป็นเงาองค์รักษ์ผู้ติดตาม จะห่างจากเจ้านายได้อย่างไร

 

 

“ไปเถอะ” ลู่เจี้ยโบกมือให้เขาถอยออกไป

 

 

หลังจากขึ้นครองราชย์ จักรพรรดิลู่วั่งชวนซึ่งหายตัวในราชวงศ์จยาเซียนได้เดินมาทางนี้พร้อมกับคนๆ หนึ่ง

 

 

เงาถอยออกไปอย่างเงียบๆ ขณะที่ ลู่จี้ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

 

 

สายตาของเขากำลังจ้องมองไปที่คนแปลกหน้าผู้นั้น และสัมผัสได้เพียงความแข็งแกร่งและ… ความหยิ่งผยองของคนๆ นั้นด้วย

 

 

“เจี้ยเอ่อร์” ลู่วั่งชวนเดินมาหาเขาด้วยท่าทางตื่นเต้น “เจ้ารอดแล้ว! ”

 

 

นัยน์ตาสีเขียวครามของลู่เจี้ยกะพริบและเงยหน้าขึ้นมองชายแปลกหน้า

 

 

ขณะที่ชายผู้นั้นสังเกตเห็นแสงนัยน์ตาของลู่เจี้ย ใบหน้าของเขาดูโอหังมากขึ้น และพลังอำนาจในตัวของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นด้วย

 

 

หลิงหวัง! ลู่เจี้ยประเมินในใจ

 

 

ลู่วั่งชวนรีบแนะนำให้แก่ลู่เจี้ย “เจี้ยเอ่อร์ ใต้เท้าผู้นี้เป็นคนที่ข้าเคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้”

 

 

ใคร…จะช่วยเขาได้กัน

 

 

ภายใต้ความเงียบสงบในแววตาของลู่เจี้ยก็สว่างไสวขึ้น…