ตอนที่ 43 แพะรับบาปหวัง
“จวงกง?”
ฟางผิงพูดเสียงแผ่ว
อู๋จื้อหาวที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ได้ตกใจ พยักหน้าว่า “ใช่ ทายาทรุ่นสองของผู้ฝึกยุทธ์มักจะฝึกท่าจวงกง”
จวงกงนั้นไม่ใช่ความลับ มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้รวบรวมจวงกงทั้งหมดสิบหกท่า
แต่ในสังคม ยังมีท่าจวงกงมากมาย อยากจะเรียน ก็หาเรียนได้
แม้จะเป็นจวงกงที่อยู่ใน (จวงกงสิบหกท่า) ใช้เงินเล็กน้อย ก็ได้มาอยู่ในมือแล้ว
อู๋จื้อหาวไม่ใส่ใจว่าฟางผิงจะคิดอะไร “รู้หรือยังว่าทำไมทายาทรุ่นสองพวกนี้ถึงไม่ค่อยมีชื่อเสียงในโรงเรียนนัก? ก็เพราะเหตุผลนี้แหละ! จวงกงต้องดูประสิทธิภาพในระยะยาว ผลสัมฤทธิ์ที่แท้จริงนั้นจะเกิดหลังจากเข้ามหาวิทยาลัย พอเข้ามหาวิทยาลัย คนที่ฝึกฝนจวงกงมาก่อนก็จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้เร็วกว่าคนทั่วไป ดังนั้นทายาทรุ่นสองพวกนี้ จึงไม่คิดจะอวดตัวก่อนเวลานั้นไง ในมหาวิทยาลัยคือโอกาสที่เหมาะสมที่สุด”
อู๋จื้อหาวพูดพร้อมสั่นศีรษะ “แต่พวกเราไม่จำเป็นต้องเอาอย่างพวกเขา ฝึกจวงกงเสียทั้งกำลังและเวลา เรียนในระยะสั้นๆ ยังเทียบกับการออกกำลังกายทั่วไปไม่ได้ อาหารยาบำรุงกำลังก็ต้องเตรียมไว้ให้เพียงพอ ปกติก็มีแต่ทายาทผู้ฝึกยุทธ์รุ่นสองที่ฝึกจวงกงตอนมอปลายเท่านั้น”
จวงกงต้องดูผลในระยะยาว
ทั้งเมื่อฝึกรวมกับ (เคล็ดหลอมกระดูก) ก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อาศัยแค่การฝึกจวงกง ค่าปราณยังเพิ่มสู้กับการออกกำลังกายทั่วไปไม่ได้
แน่นอนว่า นี่หมายถึงจวงกงระดับไม่สูงมาก
หากจะฝึกจวงกงให้ถึงระดับหนึ่ง ก่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ผลลัพธ์ก็แตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปแล้ว
ทายาทของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามลงไป จึงไม่คิดจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อนสอบเกาเข่า
เป้าหมายของพวกเขาคืออนาคตต่างหาก
ฝึกจวงกงก่อน เมื่อปราณแตะค่ามาตรฐานของมหาวิทยาลัย พอเข้าเรียน มีพื้นฐานของจวงกงแล้ว ก็ฝึกร่วมกับ (เคล็ดหลอมกระดูก)
เวลานี้ผลก็เห็นได้ชัดแล้ว
ทั้งสามารถหยิบยืมทรัพยากรของมหาวิทยาลัย ไม่จำเป็นต้องอาศัยทุนของพวกเขาฝ่ายเดียว
แค่จวงกงอย่างเดียว สิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยกว่าฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) อยู่แล้ว
ทั้งสามารถลดความกดดันให้กับพวกผู้ฝึกยุทธ์ระดับต่ำกว่าขั้นสาม อู๋จื้อหาวพูออย่างง่ายๆ ฟางผิงก็นึกถึงเรื่องพวกนี้ได้
ตอนนี้ฟางผิงเข้าใจแล้วว่า ทำไมพวกอู๋จื้อหาวรู้เรื่องจวงกง แต่ก็ไม่คิดจะฝึกฝน
เป้าหมายของทุกคนคือการสอบศิลปะการต่อสู้
การออกกำลังกายทั่วไปทำให้ปราณเพิ่มเร็วกว่าการฝึกจวงกง แล้วทำไมยังต้องฝึกจวงกงล่ะ?
แม้จะเป็นเรื่องของอนาคต แต่ก็ยังเร็วไป
ถ้าสอบศิลปะการต่อสู้ไม่ติด คงจะเป็นปัญหามากกว่า
แต่ทายาทผู้ฝึกยุทธ์นั้นแทบจะมีเป้าหมายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด
คนพวกนี้จึงยอมเสียเวลาในการฝึกจวงกงได้ แม้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ได้ แต่พวกเขาก็เดินในเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ต่อไปได้อยู่ดี
—
ในขณะที่ทั้งสองคนกระซิบกระซาบ ฟางผิงก็สำรวจท่ายืนของทั้งสามคน
ชายสองหญิงหนึ่ง ผู้ชายสองคนนั้นฝึกท่าหม่าปู้เหมือนฟางผิง
แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับฝึกท่าฮุนหยวน
ท่าจวงกงนั้นแยกแยะอย่างชัดเจน แค่ท่ายืนก็มองออกได้แล้ว
ฟางผิงกำลังมองพวกเขา คนที่ฝึกจวงกงก็เห็นพวกอู๋จื้อหาวเหมือนกัน
ในผู้ชายสองคนนั้น มีคนหนึ่งที่หน้าตาดูนักเลง ตัดผมสั้น จู่ๆ ก็หยุดฝึก หัวเราะขึ้นมา “อู๋จื้อหาว ไม่ได้เห็นหน้าตั้งหลายวัน ค่าปราณเท่าไหร่แล้ว!”
“หลายวันนี้ไม่ได้ตรวจเลย นายล่ะถานเฮ่า?”
“หนึ่งร้อยสิบแปดแคล!”
น้ำเสียงของถานเฮ่าไม่ได้เบาเลย เขาคว้าผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อ ปากก็บ่นไปพลาง “ถ้าเป็นมาตรฐานของปีก่อน ตอนนี้ก็คงนอนอยู่บ้านได้แล้ว! แต่ปีนี้ได้ยินว่า ค่าปราณของทุกคนสูงขึ้นมาก ร้อยสิบแปดแคลยังไม่ปลอดภัย ตอนนี้ทำได้เพียงพยายามให้มากขึ้น ให้แตะสักหนึ่งร้อยยี่สิบแคลคงจะดี”
ถานเฮ่าหน้าตากักขฬะ มีรูปร่างพอๆ กับหยางเจี้ยน
ขณะที่พูดก็กวาดสายตามองฟางผิง
แต่เพราะไม่คุ้นเลยไม่ทักออกไป
อู๋จื้อหาวกลับเป็นฝ่ายแนะนำฟางผิงก่อน “นี่คือฟางผิง คนดังของห้องเรา ค่าปราณยังสูงกว่าฉันอีก!”
ระหว่างที่พูดก็เอ่ยกับฟางผิงด้วยรอยยิ้ม “นี่คือถานเฮ่าห้องสอง ทายาทผู้ฝึกยุทธ์รุ่นสอง!”
“ไปไกลๆ เลย ทายาทผู้ฝึกยุทธ์รุ่นสองอะไรกัน!”
ถานเฮ่าก่นด่า พูดอย่างไม่พอใจ “ฉันเป็นทายาทรุ่นสองที่ไหน พ่อฉันเพิ่งจะขั้นแรก ทั้งยังเป็นขั้นแรกที่มาจากคลาสฝึกศิลปะการต่อสู้ เงินก็ไม่มี ฉันยังได้กินยาบำรุงน้อยกว่านายเถอะ!”
อู๋จื้อหาวหัวเราะเสียงดัง “อย่ามาทำหน้าไม่อายแถวนี้ ใครกินมากกินน้อยคงรู้อยู่แก่ใจ?”
“ฮ่าๆ…ไม่พูดกับนายแล้ว นายบอกว่าค่าปราณของฟางผิงมากกว่านายอย่างนั้นเหรอ?”
ถานเฮ่าสนใจฟางผิงขึ้นมา มองอย่างพินิจ
ในตอนนี้นักเรียนชายอีกคนที่หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา ผมยาวกว่าถานเฮ่าเล็กน้อยก็หยุดฝึกเหมือนกัน
ได้ยินพวกอู๋จื้อหาวพูดคุยกัน นักเรียนชายหน้าตาดีคนนั้นก็เอ่ยอย่างแปลกใจ “นายพูดจริงเหรอ อู๋จื้อหาว?”
อู๋จื้อหาวไม่ได้รีบตอบในทันที บอกกับฟางผิงว่า “นี่คือถานเทา อยู่ห้องสองเหมือนกัน ปีนี้ทายาทผู้ฝึกยุทธ์รุ่นสองของชั้นเราก็คือพวกเขาสองพี่น้องนี่แหละ อย่ามองว่าค่าปราณของเขาต่ำกว่าโจวปินเลย รอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว สองพี่น้องนี้คงจะดังระเบิดแน่…”
ทายาทผู้ฝึกยุทธ์รุ่นสองมัธยมปลายปีสามโรงเรียนหยางเฉิงอันดับหนึ่งก็คือพวกเขาสองคน
ส่วนนักเรียนหญิงที่อยู่ด้านข้างอยู่มัธยมปลายปีสอง เห็นพวกเขาคุยกัน ก็ไม่สอดเรื่องยุ่ง ฝึกฝนของตัวเองไป
“สองพี่น้อง?”
ฟางผิงมองสองคนตรงหน้า คนหนึ่งสูงใหญ่กักขฬะ อีกคนสุภาพหล่อเหลา
ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน
ฟางผิงลอบนินทาในใจ ใบหน้าไม่ปรากฏอะไร ส่งยิ้มทักทาย
ไม่รอให้สองพี่น้องเอ่ยปาก ฟางผิงก็ถามอย่างสงสัย “พวกนายกำลังฝึกท่าหม่าปู้ใช่หรือเปล่า?”
“ใช่ นายรู้เรื่องนี้ด้วย?” ถานเฮ่าหัวเราะ “ฟังเหมือนจะเจ๋ง แต่ก็ไม่ได้พิเศษอะไร ถ้าพ่อฉันไม่บังคับ ฉันคงเลิกฝึกไปนานแล้ว ฝึกเหมือนกับพวกอู๋จื้อหาว ป่านนี้ค่าปราณอาจจะสูงกว่าโจวปินแล้วก็ได้!”
“หยุดโม้ก่อนเถอะ”
ถานเฮ่าพูดจบ ถานเทาก็ตัดบทอย่างเอือมระอา “โจวปินค่าปราณหนึ่งร้อยยี่สิบห้า เจ้าหมอนั่นต้องไม่ธรรมดาอยู่บ้าง หนึ่งร้อยยี่สิบคืออุปสรรคชิ้นใหญ่ ถึงพวกเราจะฝึกแบบเขา ก็อาจไม่สามารถทะลวงหนึ่งร้อยยี่สิบแคลขึ้นไปได้”
‘หนึ่งร้อยยี่สิบคืออุปสรรคชิ้นใหญ่?’
ฟางผิงพึมพำในใจ อุปสรรคอะไรกัน?
ทำไมเขาถึงไม่รู้?
อีกอย่าง สองพี่น้องนี้คุยเก่งไม่น้อย กำลังพูดเรื่องท่าหม่าปู้อยู่ จู่ๆ ก็กระโดดข้ามไปเรื่องโจวปินซะงั้น
ฟางผิงนินทาในใจ สุดท้ายสองพี่น้องก็กลับเข้าประเด็นเดิม
ถานเทามองฟางผิงอย่างสงสัยอยู่บ้าง “ฟางผิง ค่าปราณของนายยังสูงกว่าอู๋จื้อหาวอีก?”
ค่าปราณของอู๋จื้อหาวไม่น้อยเลย ก่อนหน้านี้คือหนึ่งร้อยสิบห้า ไม่ต่างจากพวกเขามาก
ตอนนี้อู๋จื้อหาวไม่ได้บอก พวกเขาจึงไม่รู้ตัวเลขที่แน่ชัด
ฟางผิงสูงกว่าอู๋จื้อหาว นั่นก็เท่ากับว่า พอๆ กับพวกเขาสองพี่น้องเหมือนกัน?
ในโรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่ง คนที่ค่าปราณหนึ่งร้อยสิบห้าขึ้นไปมีไม่กี่คน เมื่อก่อนกลับไม่เคยได้ยินชื่อฟางผิงมาก่อน
“จื้อหาวก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ฉันไม่เคยไปตรวจมาก่อน ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ฟางผิงไม่อยากพูดมากเรื่องนี้ จึงพยายามเบี่ยงประเด็น “เห็นการฝึกของพวกนาย คงจะยืนมานานแล้ว ตอนนี้พวกนายประคองได้นานเท่าไหร่กัน?”
“ประมาณครึ่งชั่วโมงละมั้ง”
“หมายความว่าอยู่ในระดับหนึ่งยืนมั่นคงแล้ว?”
“เอ๊ะ เรื่องนี้นายก็รู้ด้วย…”
ถานเฮ่าตกใจขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฝึกยืนสามปี เพิ่งอยู่ระดับยืนมั่นคงได้ไม่นาน…”
ถานเทาเป็นคนใส่ใจรายละเอียดกว่าพี่ชาย ได้ยินแบบนั้นก็มองพินิจฟางผิงอีกครั้ง ผ่านไปสักพัก ก็เอ่ยว่า “ฟางผิง นายก็ฝึกจวงกงเหมือนกัน?”
“หา?”
อู๋จื้อหาวอดมองฟางผิงไม่ได้
ฟางผิงก็ไม่ปฏิเสธ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ฉันก็ฝึกเหมือนพวกนาย ท่าหม่าปู้ แต่ยังไม่ถึงระดับหนึ่ง เมื่อกี้เห็นพวกนายยืนได้มั่นคงกว่าฉันเลยอิจฉาอยู่บ้าง”
ฝึกจวงกงท่าไหน ถ้าดูผ่านๆ คงแยกไม่ออก
แต่เมื่อดูอย่างละเอียด จากการเดินและลักษณะท่วงท่าแล้ว ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
ฟางผิงไม่ได้เดินอยู่ ถานเทาจึงได้ถามอย่างสงสัย
พอฟางผิงยอมรับว่าเขาฝึกท่าหม่าปู้เหมือนกัน ชั่วขณะนั้นถานเทาก็เกิดความสนใจขึ้นมา “นายฝึกนานเท่าไหร่แล้ว?”
“ฝึกมาระยะหนึ่งแล้ว”
ฟางผิงก็ไม่บอกเวลาที่แน่ชัด เปลี่ยนประเด็นอีกครั้ง “ฉันคลำเอาเองมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่ามีคนในโรงเรียนฝึกท่าจวงกงด้วย ฉันเพิ่งจะเคยเห็นคนที่ฝึกท่าจวงกงอย่างพวกนายเป็นครั้งแรก ถ้าครั้งหน้าพวกนายฝึกอีก ฉันมาดูได้หรือเปล่า?”
ตอนนี้เขายังฝึกไม่ถึงระดับที่หนึ่ง จะฝึกพร้อม (เคล็ดหลอมกระดูก) ยังเป็นเรื่องยาก ความเสี่ยงก็มีมากเช่นกัน
ดังนั้นฟางผิงจึงคิดว่า ถ้าฝึกยืนระดับที่หนึ่งได้แล้ว ค่อยลองฝึกทั้งสองควบคู่กันไป
แค่ดูรูปภาพประกอบ เขาไม่ค่อยเข้าใจละเอียดเท่าไหร่
หากมีตัวอย่างให้เห็นจริงๆ นั่นก็คงง่ายขึ้นแล้ว
แม้หวังจินหยางจะช่วยชี้แนะได้ แต่คนนั้นอยู่ที่เจียงเฉิง ทั้งอีกฝ่ายยังใกล้ทะลวงขั้นแล้ว ฟางผิงไม่อาจรบกวนเขาได้
ตอนนี้บังเอิญพบสองพี่น้องนี่พอดี ต่างก็ฝึกยืนในระดับที่หนึ่งได้แล้ว ทั้งยังเป็นท่าหม่าปู้เหมือนกัน
ถ้าฟางผิงได้มองพวกเขาฝึกสักระยะ คงได้อะไรกลับมาไม่น้อย
ถานเฮ่าฟังจบก็หัวเราะ “ได้สิ ไม่ใช่ความลับอะไรสักหน่อย ที่จริงหลักของจวงกงก็คือพยายามยืนหยัด ฉันและถานเทาเริ่มฝึกยืนตั้งแต่มอปลายปีหนึ่ง เพิ่งจะทะลวงท่ายืนระดับหนึ่งไม่นานมานี้เอง”
เมื่อรู้ว่าฟางผิงฝึกท่าจวงกงเหมือนกัน สองพี่น้องตระกูลถานก็ชวนคุยมากขึ้น
การฝึกเมื่อครู่เพิ่งจะจบลง พวกเขาก็ไม่คิดจะฝึกต่ออะไร มาคุยเรื่องท่าหม่าปู้กับฟางผิงแทน
นักเรียนมอปลายไม่คิดซับซ้อนอะไรต่อกันอยู่แล้ว
แม้สองพี่น้องจะเจอฟางผิงเป็นครั้งแรก แต่ก็บอกเคล็ดลับที่พวกเขาได้ประสบพบเจอให้ฟางผิงฟังอย่างหมดเปลือก
ตอนนี้ฟางผิงค่อยรู้สึกว่า เขาตัดสินใจถูกแล้วที่มาเปิดหูเปิดตาที่นี่
ฟางผิงยังลองฝึกจวงกงโดยมีสองพี่น้องช่วยกันจัดท่าให้ตรงนั้น
—
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
สองพี่น้องตระกูลถานก็ขอตัวกลับก่อน อู๋จื้อหาวมองฟางผิงอย่างแปลกใจอยู่บ้าง
“ฟางผิง นายก็ฝึกท่าจวงกง?”
“อืม”
อู๋จื้อหาวอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่ก็หยุดไว้ โดยปกติการฝึกท่าจวงกงจะทำให้ปราณเพิ่มได้ช้า ทั้งยังต้องใช้ยาบำรุงไม่น้อย
เจ้าฟางผิงไปหาเงินสนับสนุนมาจากที่ไหนกัน?
ฟางผิงราวกับรู้ความคิดเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อก่อนก็แค่ลองฝึกเล่นๆ ไม่ได้คาดหวังว่าจะพัฒนาอะไร ไม่งั้นค่าปราณก็คงลดฮวบแล้ว ตอนหลังกินยาบำรุง ปราณเลยเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ตอนนี้เลยลองเอาท่าจวงกงมาฝึกอีกครั้ง”
ถึงอู๋จื้อหาวจะสงสัยอยู่บ้าง ก็ไม่ถามอีก คิดว่า เจ้าฟางผิงคงจะซ่อนความลับไว้ไม่น้อย
ฟางผิงก็ไม่สนใจ ปล่อยให้เขาคิดไป อย่างมากถึงเวลานั้นก็โยนให้หวังจินหยางแบกหม้อเป็นแพะรับบาปไป เขาไม่กลัวว่าคนอื่นจะสงสัยอะไร
เจ้าพวกนี้จะกล้าไปถามหวังจินหยางงั้นเหรอ?
หรือถึงแม้จะถาม หวังจินหยางก็คงแบกหม้อได้อยู่ดี เรื่องของหวงปิน หวังจินหยางคงบริการหลังขายได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว
—
เมืองเจียงเฉิง
หวังจินหยางที่เพิ่งจะทะลวงขั้นสำเร็จ จู่ๆ ก็จามออกมา!
เขาสะบัดศีรษะเล็กน้อย รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดียังไงไม่รู้
แต่พอนึกถึงเรื่องที่เขาเพิ่งทะลวงขั้นสามได้ หวังจินหยางก็เบะปากหัวเราะ ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีก
——————-