หลัวเยี่ยนแสดงอำนาจออกมาแล้ว โกรธขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่เข้ามาในตระกูลหลัวจนมาถึงที่นี่ต่างก็ได้รับสายตาแปลกๆ จากใครหลายคน ต่อให้จางอวิ๋นคนนั้นจะดูถูกเหยียดหยามเธอตรงหน้าประตูของที่พักอาศัยของยายทวด หลัวเยี่ยนก็ไม่โกรธ เย่เทียนเฉินเห็นว่าในที่สุดแม่ของเขาก็โกรธขึ้นมาบ้างแล้ว ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี เพราะว่าเขามองออกนานแล้วว่า คนตระกูลหลัวพวกนี้ ไม่ใช่คนดีอะไร ทุกคนต่างก็หวาดกลัวแม่ของตน เกรงว่าถ้าหากยายทวดลมหายใจขาดห้วงไป พวกเขาก็คงไม่สามารถเดินออกไปจากตระกูลหลัวได้อย่างราบรื่นขนาดนั้น หากต้องการที่จะรับมือกับพวกคนสารเลว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้อ่อน จำเป็นจะต้องใช้ไม้แข็ง
แน่นอนว่าที่หลัวเยี่ยนโกรธนั้น เป็นเพราะผ่านไปยี่สิบปีแล้วถึงจะได้กลับมาที่ตระกูลหลัว เดิมทีก็คิดจะมาดูใจคนบ้าเป็นครั้งสุดท้าย ทำความปรารถนาในใจให้สำเร็จ ไม่ได้คิดจะมาแย่งชิงอะไร และไม่ได้ต้องการต่อสู้กับใคร แต่ในตอนที่คุณย่าป่วยหนัก เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต จะถึงกับมีคนตระกูลหลัวที่ไม่ยอมหยุด ยังเพ่งเล็งมาที่เธอ ยังต้องการทะเลาะกับเธอ ทำให้หญิงชราจากไปโดยไม่สงบ ไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหว
“คุณ…คุณก็เป็นแค่คนที่ถูกตระกูลหลัวของพวกเราไล่ออกไปเท่านั้น มีคุณสมบัติอะไรที่จะมาตะโกนโหวกเวกอยู่ที่นี่…” หลัวชิงหงอับอายจนใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังมองไปยังหลัวเยี่ยนแล้วพูดขึ้นอย่างไร้ยางอาย
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอทั้งนั้น ถึงทีที่เธอจะสอfปากพูดได้ที่ไหนกัน ต่อให้พ่อของเธออยู่ที่นี่ก็ยังไม่กล้าส่งเสียง ดูแล้วกฏบ้านตระกูลหลัวคงจะไม่ได้ใช้มานานแล้ว หยิบออกมาเตือนเธอหน่อยก็คงดี!”
หลัวเยี่ยนคล้ายกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ได้ให้ความรู้สึกอ่อนแออีกต่อไปแล้ว ดูเข้มแข็งเป็นอย่างมาก เหมือนกับวีรสตรีหญิงที่ผ่านสนามรบมานานอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นสายตา หรืออำนาจที่แสดงออกมา ต่างก็เพียงพอที่จะกดข่มหลัวชิงหง นี่ทำให้คุณลุงทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ต่างก็ต้องมองจนตกตะลึง วันเวลาผ่านไปนานหลายปี ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมานี้หลัวเยี่ยนก็ช่วยเหลือสามีและสั่งสอนมาโดยตลอด บางทีใครหลายคนคงจะคิดว่าความฉลาดของเธอคงจะลดลงไปไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้ พอได้จริงจังขึ้นมาจะรับมือไม่ง่ายเลย
“คุณ…คุณ…” หลัวชิงหงพูดอะไรไม่ออกโดยสิ้นเชิง เพราะว่าเราคุณลุงที่อยู่ที่นี่ก็ไม่กล้าส่งเสียงสนับสนุนเธอแล้ว หลัวเยี่ยนพูดตามสถานการณ์และตามหลักเหตุผลได้อย่างถูกต้องเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแม่เฒ่าที่ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว หากว่าส่งเสียงทะเลาะอั๋นขึ้นมาจริงๆ หรือจะไม่คิดถึงครอบครัวเลยแม้แต่น้อย?
“ออกไปซะ!” หลัวเยี่ยนตะโกนเสียงดัง ทำให้หลัวชิงหงตกใจจนอดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปจนเกือบจะสะดุดล้มจนต้องลงไปนั่งที่พื้นแล้ว
หลัวชิงหงโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ เดินออกไปจากห้อง คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดอะไรอีก เพราะว่าหลัวเยี่ยนทำตามเหตุผล ต่อให้มีใครหลายคนที่ไม่ต้องการที่จะใช้เหตุผล แต่ก็ไม่กล้าก่อเรื่องขึ้นมาในตอนที่แม่เฒ่าใกล้จะจากโลกนี้ไป สาเหตุนั้นง่ายมาก นั่นก็คือหลัวเหยียนซงพ่อของหลัวเยี่ยน ซึ่งก็คือผู้เป็นหัวเรือใหญ่แห่งตระกูลหลัว บางทีเขาอาจจะทะเลาะกับหลัวเยี่ยนและตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกันไปแล้ว แต่หลัวเหยียนซงเป็นคนที่กตัญญูมาโดยตลอด ถ้าหากรู้ว่าในช่วงเวลาที่แม่กำลังป่วยหนัก เป็นวาระสุดท้ายของชีวิต ยังมีคนกล้าก่อเรื่องขึ้นมา จะต้องลงโทษตามกฎตระกูลแน่นอน
กฏตระกูล ในยุคสมัยโบราณของประเทศจีน จะมีอยู่ในตระกูลใหญ่หลายตระกูล เมื่อพัฒนามาถึงทุกวันนี้ ตระกูลใหญ่หลายตระกูลก็ยังคงมีกฎของตระกูลที่เข้มงวด นี่เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลใหญ่ เพื่อที่จะควบคุมคนในตระกูลได้ง่าย ตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งสามารถมาถึงจุดที่ยิ่งใหญ่ได้ สามารถมาถึงช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ได้ จะต้องสามารถควบคุมสมาชิกในตระกูลได้ โดยเฉพาะญาติพี่น้อง นั่นเป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก จึงต้องใช้กฎตระกูลเข้ามาควบคุม หากทำผิดกฎตระกูลก็จะต้องลงโทษตามกฎของตระกูล นี่ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้คนบางคนใช้ความสัมพันธ์เครือญาติมาหาผลประโยชน์ได้ ซึ่งจะเป็นการทำร้ายการพัฒนาและความรุ่งเรืองของตระกูลให้ย่อยยับ
เมื่อตอนนี้หลัวชิงหงจนต้องออกไปจากห้องแล้ว ในใจของหลัวเยี่ยนก็ไม่ได้ดีอะไรนัก ยี่สิบปีก่อนคนที่เพ่งเล็งเธอมากที่สุดก็คือพี่ชายและน้องสาวแท้ๆ ของเธอ ตอนนั้นหลัวเยี่ยนโดดเด่นมาก ทั้งเยาว์วัย ทั้งสวย มีกลุ่มอำนาจใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างๆ มากมายที่ต้องการมาสู่ขอ เธอเป็นผู้หญิงที่ทั้งฉลาดและหน้าตาดี เริ่มช่วยพ่อของตนจัดการธุรกิจของตระกูลแล้ว พัฒนาไปตามลำดับ และทำออกมาได้อย่างดีอีกด้วย นี่ทำให้พี่ชายและน้องสาวของหลัวเยี่ยนยิ่งรู้สึกถึงอันตราย ยิ่งรู้สึกอิจฉา จนกระทั่งสุดท้ายหลัวเยี่ยนถูกขับไล่ออกไปจากตระกูลหลัว ไม่กลับมาอีกเลยตลอดยี่สิบปี เดิมทีคิดว่าพี่ชายและน้องสาวจะค่อยๆ เลิกอิจฉาและเพ่งเล็งตัวเอง ไหนเลยจะรู้ว่ากลับยิ่งรุนแรงขึ้น
เมื่อดูจากจางอวิ๋นผู้เป็นลูกชายของน้องสาว และหลัวชิงหงผู้เป็นลูกสาวของพี่ชาย ท่าทางที่พวกเขามีต่อตนเองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน พี่ชายและน้องสาวของเธอนำความขับออกคับใจและความอิจฉาของรุ่นตัวเองส่งต่อไปให้รุ่นถัดไป มิฉะนั้นจางอวิ๋นและหลัวชิงหงคงไม่คิดจะเดินออกมาขับไล่ตนเองซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ให้ออกไปจากตระกูลหลัว พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อออกหน้าให้พ่อแม่ของตน
และสิ่งที่ทำให้เสียใจมากที่สุดก็คือ เดิมทีก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ทำไมจะต้องกังวลให้มากด้วย ไม่ว่าจะอย่างไรทุกคนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ต่างก็เป็นญาติพี่น้องกัน ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย? ทำไมต้องเห็นแก่ชื่อเสียงเงินทองเหล่านั้นด้วย?
“เยี่ยมเสร็จแล้ว เธอก็ออกไปเองเถอะ พวกเราตะกูลหลัวไม่เก็บเธอเอาไว้แน่!” ในตอนนี้เอง มีคุณลุงคนหนึ่งเอ่ยออกมา
“ฉันรู้ดี ฉันเองก็ไม่อยากที่จะกลับมาตระกูลหลัว สถานที่แห่งนี้ไม่มีความรู้สึกของครอบครัวอยู่เลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่การแย่งชิงชื่อเสียงเงินทองก็เท่านั้น!” หลัวเยี่ยนมองไปยังคุณลุงคนนั้นแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เมื่อพูดจบหลัวเยี่ยนก็ไม่ได้มองไปที่ลุงคนนั้นอีกเลย เดินไปยังข้างเตียงอีกครั้ง แล้วนั่งลงขอบเตียง จับมือของคุณย่าเอาไว้แน่น พูดคุยกับหญิงชราที่ใกล้จะจากโลกนี้ไป ถึงแม้สีหน้าของหญิงชราจะอบอุ่นขึ้นไม่น้อย แต่ใครก็มองออกว่านี่เป็นแสงสุดท้ายของชีวิต เป็นไฟสุดท้ายของชีวิต ขอเพียงดับมอดลงก็จะจากไปตลอดกาล ดังนั้นหลัวเยี่ยนจึงรู้สึกหวงแหน ช่วงเวลาเหล่านี้ ไม่ได้พบกันมายี่สิบปี ควรจะพูดคุยกับคุณย่าอย่างสนุกสนาน ไม่ควรจะให้หญิงชราต้องจากโลกนี้ไปด้วยความถูกใจ
“เยี่ยนเอ๋อร์ หลังจากที่ย่าจากไปแล้ว หลานก็อย่าอยู่ที่นี่อีกเลย กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของตัวเองเถอะ!”
ถึงแม้ว่าแม่เฒ่าจะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่ได้หูตาฝ้าฟาง ยังไม่ได้หลงลืม แม่เฒ่าตระกูลหลัวก็เคยเป็นผู้หญิงที่ต่อสู้ดิ้นรนทำธุรกิจมาด้วยกันกับคุณปู่ของหลัวเยี่ยน หากจะบอกว่าไม่มีความเฉลียวฉลาดหรือความสามารถอะไรเลยนั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลหลัวเธอรู้เหมือนกับรู้ฝ่ามือของตน ใครกตัญญูใครไม่กตัญญู ใครที่ต้องการตำแหน่งหัวเรือใหญ่ของตระกูลหลัว เธอเข้าใจชัดเจนเป็นอย่างมาก เพียงแต่เธอแก่มากแล้ว มีหลายเรื่องที่ต้องปล่อยผ่านให้เป็นเรื่องของคนรุ่นหลัง และให้คนรุ่นหลังมาแก้ไขกันเอง
“คุณย่า ย่าพูดอะไรคะ ย่ายังจะต้องมีชีวิตอยู่ไปได้อีกร้อยปี ย่าเพียงแค่ไม่สบายเท่านั้นเอง!” หลัวเยี่ยนพูดปลอบใจคุณย่าด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ เยี่ยนเอ๋อร์ หลานใจดีเหลือเกิน ไม่ได้เห็นหลานมาหลายปีก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ย่ามีความสุขมาก เพียงแต่ร่างกายของย่า ย่าย่อมรู้ดี หลังจากที่ย่าตายไปแล้ว หลานก็ไม่ต้องมางานศพ ย่าไม่อยากเห็นพวกหลานสองพ่อลูกต้องทะเลาะกันหลังจากที่ย่าตายไป พ่อของหลานก็แก่แล้ว ร่างกายไม่แข็งแรง ยอมให้เขาหน่อย…” แม่เฒ่าทอดถอนใจ ต่อให้ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงลูกหลาน ยังคงคิดถึงหลานสาวของตัวเอง และยังคงคิดเพื่อลูกชายของตน
“คุณย่า วางใจเถอะ หนูจะไม่ทะเลาะกับพ่อแน่นอน จะอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของหนู!” หลัวเยี่ยนกัดปาก พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“งั้นก็ดีแล้ว งั้นก็ดีแล้ว…แค่กๆ …”แม่เฒ่าไอออกมาสองครั้ง ท่าทางจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงแม้เย่เทียนเฉินจะแอบใช้พลังพิเศษช่วย แต่ก็ไม่สามารถทำให้เธอยืนหยัดต่อไปได้นานขนาดนั้น ทุกคนต่างก็ต้องแก่ตายเป็นธรรมดา
“คุณย่า…” หลัวเยี่ยนเครียดมาก มีน้ำตาไหลคลอออกมา หญิงชราใกล้ที่จะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว
“เทียนเฉิน หลานมาหายายนี่…” หญิงชราพยายามลืมตา พูดกับเย่เทียนเฉินอย่างอ่อนแรง
เย่เทียนเฉินในตอนนี้ก็รู้สึกจิตใจสั่นไหว หญิงชราที่ใจดีและเมตตาขนาดนั้น แต่กลับต้องมาจากโลกนี้ไป นี่ทำให้เขายิ่งคิดถึงคำพูดของจางอีเต๋อ บนโลกนี้ไม่เหมาะสมที่จะบ่มเพาะพลัง ไม่มีใครที่สามารถอยู่ได้ยืนยาว หากต้องการที่จะตามหาวิธีการเป็นอมตะ จำเป็นที่จะต้องไปยังดาวที่ธรรมชาติยังไม่ถูกทำลาย ถ้าหากไม่สามารถอยู่เป็นอมตะได้ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดแก่เจ็บตายออกไปได้ ผมต้องการให้มีความอมตะอยู่จริงๆ อยากที่จะสามารถมีอายุยืนยาวต่อไปได้ผ่านเส้นทางแห่งการบ่มเพาะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้เป็นคนที่อยู่ในสังคมไหน โดยเฉพาะคนที่มีญาติพี่น้องที่จากไปแล้ว จะต้องพยายามบ่มเพาะอย่างเต็มที่ เพราะการที่ต้องมองญาติมิตรตายจากไปนั้น ความรู้สึกที่ไร้ซึ่งพลังเช่นนั้น ช่างเป็นการเจ็บปวดถึงจิตวิญญาณจริงๆ
“ยายทวดครับ ผมอยู่ที่นี่แล้ว!” เย่เทียนเฉินจับมือหญิงชราแล้วพูดขึ้น
ในตอนนี้เอง เย่เทียนเฉินก็ยังคิดที่จะพยายามส่งพลังพิเศษเข้าไปช่วยเหลืออีกครั้ง แต่เขาพบว่ามันไร้ประโยชน์แล้ว หากฝืนส่งพลังพิเศษเข้าไปอีก ก็จะทำให้เส้นเลือดในร่างกายของแม่เฒ่าระเบิดเท่านั้น และตายไปยังเจ็บปวด ดังนั้นเย่เทียนเฉินจึงทำอะไรไม่ได้
“สร้อยประคำเส้นนี้ มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งมอบให้ยายทวดมา สามารถคุ้มครองให้ผู้คนสงบสุขได้ ครั้งแรกที่ยายทวดได้เห็น ไม่รู้ว่ามีอะไรโดนใจถึงต้องการมอบมันให้กับหลาน!” แม่เฒ่าหยิบสร้อยประคำบริเวณลำคอออกมาส่งให้เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น
“ยายทวดครับ…” เย่เทียนเฉินรู้สึกตกตะลึง พอเขารู้สึกว่าสร้อยประคำเส้นนี้ไม่ธรรมดาเลย ไม่ใช่ของที่จะเอาไว้หลอกลวงผู้อื่นแบบนั้น
“เอาไปเถอะ ยายทวดใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์!” แม่เฒ่าพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา
เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงรับประคำนั้นมา เพื่อจะทำให้หญิงชราดีใจจึงสวมเข้าไปที่คอของตน ในตอนที่เขาสวมสร้อยประคำเส้นนี้ ถึงกับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศหนักหน่วงยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ที่แอบซ่อนอยู่ในลูกประคำ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
“ขอบคุณยายทวดมากครับ!” เย่เทียนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“แค่กๆ …แค่กๆ …แค่กๆ …” เสียงแม่เฒ่าไอขึ้นมา ชีวิตใกล้จะถึงจุดสุดท้ายแล้ว ยืนหยัดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เธอพิงลงที่หมอน แต่กลับยังคงพยายามพูดออกมา “เหล่าหวัง ทำไมเหล่าหวังยังไม่มาอีก…”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ประตู ในตอนนี้พวกเขาถึงจะเข้าใจว่าลุงหวังไปหยิบของอะไรมา แม่เฒ่าถึงยืนหยัดไม่ยอมตาย ก็จะต้องรอของที่ลุงหวังจะเอามาให้ได้
“กลับมาแล้ว ลุงหวังมาแล้ว!” มีคนพูดขึ้น
ลุงหวังวิ่งขะโหยกขะเหยกเข้ามาในห้อง มีเหงื่อเต็มใบหน้า ในมือขวามีกล่องหยกอันประณีตกล่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรเอาไว้ในนั้น ทุกคนต่างก็มองด้วยความแปลกใจ…
……………………