ตอนที่ 858 หญิงสาวคนนี้ใจกล้าไม่น้อย

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะอาหารราวกับสิ่งต่างๆ ระหว่างพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนไป

 

 

แต่ในจังหวะต่อมา เฉวียนจื่อเยี่ยก็ได้รับสายจากคุณนายเฉวียน เขาไม่ได้ปิดบังหลินเฉี่ยน แต่พูดคุยอย่างเปิดเผยกับปลายสายต่อหน้าเธอ “ครับ ผมย้ายบ้านแล้ว มันสะดวกกับการทำงานมากกว่าน่ะครับ”

 

 

“พ่อของลูกก็อายุเกือบจะหกสิบแล้วนะ ไม่ว่ายังไงก็หาเวลากลับมาเยี่ยมกันบ้างสิ”

 

 

“ไว้เราค่อยพูดเรื่องนี้กันตอนที่ใกล้ถึงเวลาเถอะครับ” เขาตอบก่อนกดวางสาย

 

 

ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงโทรศัพท์หลินเฉี่ยนก็ดังขึ้น เป็นคนเดียวกับคนที่โทรมาก่อนหน้านี้ หลินเฉี่ยนชะงักไปชั่วครู่ก่อนกดรับสาย “ค่ะแม่…”

 

 

“พ่อของเธออายุจะหกสิบแล้ว กลับบ้านมาเยี่ยมกันบ้าง” คุณนายเฉวียนเอ่ยเสียงเรียบและกดวางสายโดยไม่รอให้เธอตอบ

 

 

เธอวางโทรศัพท์ลงและทานมื้อเย็นต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันกลับชวนให้เฉวียนจื่อเยี่ยสังเกตท่าทีของเธอ

 

 

“โกรธเหรอ”

 

 

“ฉันไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้นสักหน่อย!” เธอสวนกลับ “นายกับแม่นายเป็นคนละคนกัน ฉันรู้เรื่องนี้ดีน่า”

 

 

“อย่างนั้นก็กินอีกสิ ของโปรดของเธอทั้งนั้นเลย…”

 

 

เดิมทีหลินเฉี่ยนอยากจะบอกให้เขารู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะมาทำเช่นนี้เพราะพวกเขาคงไม่อาจไปด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีความสุขขนาดนั้นก็ไม่กล้าพูดคำเหล่านี้กับเขา

 

 

ไม่ใช่ว่าเธอมองโลกในแง่ร้ายและไม่ยินดีที่จะต่อสู้เพื่อความสุขของตัวเอง แต่เธอกลัวว่าเฉวียนจื่อ

 

 

เหยี่ยจะได้รับรอยแผลเป็นที่ไม่มีวันจางหาย เธอไม่ต้องการทำร้ายคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอต่างหาก

 

 

 

 

หลังจากมื้อกลางวัน ในที่สุดโม่ถิงกับถังหนิงก็มาถึงเกาะส่วนตัวที่เฉียวเซินอาศัยอยู่ และรีบชี้แจงกับครอบครัวของเขาว่าทำไมพวกเขาจึงมาที่นี่

 

 

ทว่าลูกสาวของเฉียวเซินเอ่ยปฏิเสธถังหนิงและขอให้เธอกลับไป “มันไม่ง่ายที่พ่อของฉันจะปล่อยวางและหายจากอาการป่วยเลยนะคะ ฉันไม่ต้องการให้ท่านเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการหนังอีก ชีวิตที่เป็นอิสระของเขาในตอนนี้ดีกับตัวเขามากกว่าค่ะ”

 

 

“คุณเฉียว ฉันรู้ค่ะว่ากำลังขุดคุ้ยเรื่องน่าหดหู่ในอดีตขึ้นมา แต่ไม่ว่าผู้กำกับเฉียวจะทำเหมือนว่าตัวเขาเองยอมแพ้แล้วแค่ไหน ความฝันสูงสุดในชีวิตของเขาก็คือการสร้างหนังไซไฟที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมาตลอดอยู่ดี มันคือสิ่งที่เขาพยายามมาเป็นสิบปี ยากแค่ไหนที่จะมาล้มเลิกเอาตอนนี้คะ

 

 

“ถ้าคุณไม่ปล่อยให้เขาได้ลอง เขาอาจจะแกล้งทำว่ามีความสุขเพื่อให้คุณสบายใจก็ได้นะคะ แต่ต่อไปเขาก็จะรู้ตัวในที่สุดว่าตัวเองไม่สามารถปล่อยวางความหวังและความฝันของเขาได้…

 

 

“ฉันหวังว่าคุณจะเอาเรื่องนี้กลับไปคิดนะคะ ฉันพักอยู่ที่โรงแรมห่างจากเกาะไปสิบกิโลฯ ฉันจะรอคุณติดต่อมาค่ะ”

 

 

หญิงสาวรับนามบัตรของถังหนิงและโยนลงถังขยะในทันที

 

 

“ฉันไม่เชื่อใจคนในวงการบันเทิงหรอก

 

 

“กรุณาออกไปและไม่ต้องกลับมาอีกนะคะ”

 

 

ลมทะเลพัดลอดเข้ามาในเสื้อคลุมของถังหนิงพาให้เธอหนาวสั่น หากแต่ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่เธอคาดการณ์เอาไว้

 

 

โม่ถิงดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดและกดจูบที่หน้าผาก “ไปกันเถอะครับ เราจะรอกันที่โรงแรม ที่นี่หนาวเกินไป”

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะยืนอยู่ตรงนี้สักพัก” ถังหนิงตอบ “ฉันมาถึงที่นี่แล้ว จะกลับไปมือเปล่าไม่ได้ ฉันเข้าใจครอบครัวเขานะคะ ฉันเลยรู้ว่าต้องแสดงจุดยืนของตัวเองให้พวกเขาเห็น”

 

 

โม่ถิงไม่ได้พูดอะไรออกมาขณะที่ขับรถมาเพื่อบังลมให้ถังหนิง

 

 

ในตอนนี้เขาคือที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของถังหนิง

 

 

ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงได้ยืนอยู่ริมทะเลจนกระทั่งพลบค่ำ ดูท่าแล้วอีกฝ่ายจะยังไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ

 

 

“ขึ้นรถมาได้แล้วครับ ไม่งั้นคุณจะเป็นหวัดเอานะ”

 

 

หลังจากยืนรับลมอยู่หลายชั่วโมง ถังหนิงรู้ว่าโม่ถิงหมดความอดทนแล้ว และยังรู้ว่าเธอไม่อาจละเลยสุขภาพของตัวเองได้ ทว่าในเวลานั้นเองที่ประตูเหล็กของบ้านได้เปิดออก พร้อมลูกสาวของเฉียวเซินที่เอ่ยกับทั้งคู่อย่างไม่เต็มใจนัก “พ่อฉันเชิญพวกคุณเข้ามาด้านในค่ะ”

 

 

ถังหนิงหันไปมองโม่ถิงก่อนที่จะเดินตามคนพูดเข้าไปในบ้าน

 

 

ในตอนนั้นเฉียวเซินกำลังยุ่งอยู่กับการตกปลา ช่วงกลางคืนเป็นเวลาที่เหมาะกับการตกปลาเพราะฝูงปลามักจะมาหาอาหารบริเวณผิวน้ำในช่วงนี้

 

 

“ผู้กำกับเฉียวคะ” ถังหนิงทักทายอย่างนอบน้อม

 

 

“งั้นนี่ก็คือนายใหญ่แห่งไห่รุ่ยผู้ลึกลับ โม่ถิง ที่มาที่นี่เพื่อพบฉันสินะ” เฉียวเซินส่งยิ้มให้โม่ถิงขณะที่ยังตกปลาต่อไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คุ้นหน้าถังหนิง “ทำไมไห่รุ่ยถึงมาสนใจคนแก่ๆ อย่างฉันกันล่ะ”

 

 

“เราไม่ได้มาที่นี่ในนามไห่รุ่ยครับ เธอคือภรรยาผม” โม่ถิงแนะนำ

 

 

คนฟังเหลือบมองถังหนิงเพียงแวบหนึ่ง “ประธานโม่ อย่าบอกนะว่าภรรยาของคุณคือคนที่อยากให้ฉันกลับเข้าวงการน่ะ”

 

 

“ฉันรู้ว่าคุณมีความฝันที่จะสร้างหนังไซไฟชื่อดังค่ะ หนังที่จะทำให้ทุกคนต้องจดจำ”

 

 

“กับคุณน่ะเหรอ” เขาจ้องมองถังหนิงด้วยความสงสัย “คุณอยากจะลงทุนให้หนังของฉันเหรอ”

 

 

“ฉันอยากมีส่วนร่วมกับการสร้างมันขึ้นมาค่ะ” ถังหนิงตอบอย่างไม่อ้อมค้อม

 

 

“คุณประเมินตัวเองสูงเกินไป…”

 

 

“ฉันรู้ว่าในสายตาผู้กำกับเฉียว ฉันเป็นแค่คนรวยที่น่าเบื่อ แต่ฉันหวังว่าคุณจะได้ดูหนังที่ฉันเคยแสดงนะคะ ถ้าคุณอยากจะคุยกับฉันต่อด้วยทัศนคติแบบนี้ ฉันก็ไม่คิดว่าเราจะทำงานร่วมกันได้เช่นกันค่ะ ฉันกับสามีจะรออยู่ที่โรงแรมนะคะ” พูดจบถังหนิงก็จดชื่อหนังที่เธอเคยร่วมแสดงก่อนวางไว้ข้างเท้าของเฉียวเซิน

 

 

“ถิงคะ…ไปกันเถอะค่ะ”

 

 

โม่ถิงไม่สบอารมณ์กับท่าทางของชายสูงวัยแต่เขาก็ไม่ได้ตอบโต้กลับ ได้แต่พาถังหนิงมุ่งหน้ากลับไปที่โรงแรม ภรรยาของเขาทนกับลมหนาวที่พัดแรงมาหลายชั่วโมงแล้ว เขาไม่อยากให้เธอต้องเป็นหวัด

 

 

ในขณะที่ชายมีอายุไม่ได้ขยับตัวไปไหน

 

 

ว่ากันตามจริงคือเขาไม่ได้สนใจจะหยิบกระดาษที่ถังหนิงทิ้งไว้มาดูเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นลูกสาวของเขาที่หยิบมันขึ้นมาและนำไปค้นหาในอินเทอร์เน็ตด้วยความสงสัย

 

 

หนังเรื่องแรกที่เธอดูคือ ฉีฟู ด้วยความที่ชอบดูหนังภัยพิบัติ

 

 

เดิมทีเธอตั้งใจหัวเราะเยาะถังหนิงเพราะอีกฝ่ายดูมีดีแค่ที่หน้าตา

 

 

แต่เมื่อได้ดูหนังไปเพียงไม่กี่นาที เธอก็พบว่าตัวเองไม่อาจเลิกดูได้…

 

 

หลังจากนั้นชายแก่เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมปลาที่เขาตกมาได้ เมื่อเห็นลูกสาวตัวเองกำลังดูหนังอยู่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมอง

 

 

“หนังเรื่องอะไรน่ะ”

 

 

“หนังที่ถังหนิงเล่นน่ะค่ะ คนที่ให้นามบัตรกับพ่อเมื่อบ่ายนี้ไง เรื่องฉีฟู เธอแสดงได้ดีเลยล่ะค่ะ”

 

 

เขาวางเบ็ดตกปลาก่อนจะนั่งลงบนโซฟาข้างๆ ลูกสาว และลงเอยด้วยการดูหนังอยู่สองชั่วโมงเต็ม

 

 

“สมัยนี้ยากที่จะหาคนที่แสดงได้ดีเหมือนเธอในจีน ไม่คิดอย่างนั้นเหรอคะ พ่อ” ลูกสาวของเฉียวเซินถอนใจออกมาพลางมองพ่อของตัวเองที่ย่นหน้าผากอย่างคิดหนัก

 

 

เขารู้สึกว่าจุดยืนในการแสดงของถังหนิงนั้นอยู่ในระดับเดียวกับจุดยืนในการสร้างหนังของตัวเอง

 

 

เขาจึงรู้สึกผิดที่ปรามาสเธอไปเช่นนั้น

 

 

“เธอแสดงหนังเรื่องอื่นด้วยนะคะ พ่ออยากจะดูไหม”

 

 

“เปิดสิ!” เขาสั่งออกมาทันที อยู่ๆ ถังหนิงก็ได้จุดประกายจิตวิญญาณของเขาให้ลุกโชนขึ้น

 

 

หากจะมีใครสักคนที่มีอุดมการณ์ในการสร้างหนังไซไฟเรื่องเยี่ยมเหมือนกับเขาด้วยใจจริง และทุ่มเทให้กับมันอย่างเต็มที่ อย่างนั้น… เขาก็เชื่อว่าจีนจะสามารถผลิตภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้วงการฮอลลีวูดได้อย่างแน่นอน

 

 

หรือถังหนิงจะเป็นคนคนนั้นกัน

 

 

หากเป็นเธอจริง อย่างนั้นชื่อของเธอจะต้องถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์แน่

 

 

แน่นอนว่าเขามั่นใจในหนังของตัวเอง

 

 

ทว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากมันไม่สำเร็จกันล่ะ เขารู้ว่าไม่ใช่เพียงแค่ตัวเขา แต่ถังหนิงก็จะจบลงด้วยการกลายเป็นตัวตลกเช่นกัน

 

 

เขาจึงรู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ใจกล้าไม่น้อย!