บทที่ 65 เป็นลูกของข้าหรือไม่

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 65 เป็นลูกของข้าหรือไม่
กู้โม่หานตกตะลึง เขามองไปยังเด็กน้อยทั้งสองที่จากไป ความคิดในใจมากมายมิอาจบรรยายได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เลือกที่จะอยู่ในห้องต่อ แล้วหาเก้าอี้มาวางนั่งลง

หนานหว่านเยียนก็ประหลาดใจเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่นางมิรู้ว่าสองพี่น้องกำลังวางแผนการใดอยู่

ช่างเถอะ นางขี้เกียจจะไปครุ่นคิด นางปล่อยกู้โม่หานไว้ตรงนั้นแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเอง

ในครั้งนี้กู้โม่หานมิได้หันไปมองจริงๆ เขาเพียงแค่ได้ยินเสียงของเสื้อผ้านาง สมองนั้นก็จินตนาการว่าได้ใกล้ชิดกับหนานหว่านเยียนเหมือนเมื่อครู่

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกหงุดหงิดทันที

ระหว่างทางที่สองพี่น้องเดินไปยังห้องครัว เดินไปเดินมา ซาลาเปาก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย

ต่อมาน้ำเสียงของนางก็เอ่ยขึ้นอย่างบางเบาว่า “ท่านพี่……เดิมทีข้าคิดว่าเขาเป็นคนเลว เป็นคู่ชีวิตของท่านแม่ เขาหน้าตาหล่อเหลา คู่ควรกับท่านแม่ที่เป็นหญิงงามเหลือเกิน”

“ในวันนั้นพี่เซียงอวี้บอกกับข้าว่าเขาเป็นเทพแห่งสงครามในซีเหย่ เขากำจัดศัตรูนับมิถ้วน ข้าคิดว่า……เขาจะสามารถปกป้องท่านแม่ปกป้องพวกเราได้ ครั้งแรกที่ข้าเห็นเขายืนอยู่ข้างกายท่านแม่นั้น ก็รู้สึกว่าช่างเหมาะสมกับท่านแม่เหลือเกิน”

“ท่านพี่ ข้าโง่หรือ? เหตุใดจึงมิเข้าใจว่าเขาเลวร้ายเช่นนั้น รังแกท่านแม่เช่นนั้น แต่ข้าก็รู้สึกอึดอัดใจ มิอยากให้เขารังแกท่านแม่……”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฝีเท้าของเกี๊ยวน้อยก็หยุดลง นางรู้สึกปวดใจกับน้องสาวแสนโง่คนนี้ เรื่องมาถึงบัดนี้แล้ว นางยังคงคิดหาข้อแก้ตัวให้กับเจ้าวายร้ายอย่างกู้โม่หานอีก

แต่นางก็รู้ดีว่าซาลาเปาเป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยนมาตั้งแต่เด็ก และอยากจะมีพ่อ ในวันนั้นที่พี่เซียงอวี้อธิบายฉากที่กู้โม่หานสังหารศัตรูในสนามรบ ดวงตาของซาลาเปาแวววาวเพียงใด นางเองก็เห็น

ซาลาเปามิได้โง่ นางเพียงแค่เสียดายและมิอยากยอมรับเรื่องราวความจริงนี้ก็เท่านั้น

เกี๊ยวน้อยเอื้อมมืออันอ้วนท้วมของนางออกไปจับซาลาเปาไว้แล้วปลอบโยนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ซาลาเปามิได้โง่ พวกเรามิได้ผิด ท่านแม่ก็มิผิด เจ้าคนเลวนั่นต่างหากที่มิคู่ควรกับท่านแม่ คนเลวร้ายเช่นนั้นมิคู่ควรที่จะเป็นท่านพ่อของเรา!”

ซาลาเปาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น หางตาเปียกปอนไปด้วยน้ำตา

นางกุมมือเกี๊ยวน้อยไว้แน่น “ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว พวกเราจะต้องให้บทเรียนสั่งสอนเขาเสียบ้าง แก้แค้นให้ท่านแม่ เขามิเหมาะสมกับท่านแม่ของเรา ซาลาเปามิอยากได้พ่อที่ชอบทำร้ายแม่แบบนี้!”

“อืม!”

ขณะเดียวกันภายในห้อง

กู้โม่หานมีความคิดมากมายอยู่ในใจ ท้ายที่สุดแล้วเมื่อนึกถึงภูมิหลังของเจ้าหนูทั้งสองที่มิรู้ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ในใจรู้สึกคันยิบๆ และยิ่งคิดยิ่งโมโห

จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองดูหนานหว่านเยียน ดวงตานั้นช่างมืดมน มองมาทางนางอย่างลึกซึ้ง

หนานหว่านเยียนเห็นแววตาของเขาที่จับจ้องมาทางตน สายตาทั้งคู่ประสานกัน นางรีบสะบัดหน้าหนี

จู่ๆ ชายเจ้าเล่ห์ผู้นี้มองนางแบบนั้นทำไมกัน ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห หงุดหงิดจริงเชียว

นางเอ่ยปากขึ้นก่อนแล้วพูดกับกู้โม่หานอย่างไร้ความอดทนว่า “ข้าจะไปดูอาการให้เสิ่นอี่ว์เอง หากท่านอ๋องมิมีเรื่องใดแล้ว มาทางไหนจงไปทางนั้น อย่ามาระรานข้าที่นี่อีกเลย ข้าวใหม่ปลามันควรที่จะไปบ่มเพาะความรักกันมิใช่หรือ?”

เมื่อได้ยินดังนั้นกู้โม่หานก็ขมวดคิ้วแน่น “เจ้ากล้าไล่ข้าไปงั้นหรือ ทางด้านของโหรวเอ๋อร์ข้ามีวิธีจัดการของข้าเอง เจ้ามิต้องมายุ่ง!”

สตรีนางนี้นับวันยิ่งทำตัวน่าสงสัยมากขึ้น ราวกับต้องการรักษาระยะห่างระหว่างเขากับสองพี่น้อง

หนานหว่านเยียนหันไปเผชิญหน้ากับกู้โม่หาน น้ำเสียงนั้นดูไร้ความเกรงใจและออกคำสั่งขับไล่เขา

“ใช่แล้ว ข้ากำลังไล่เจ้า ในเมื่อท่านอ๋องมิได้หูหนวกก็จงรีบไสหัวไปเสีย อย่าได้มาเข้าใกล้พวกเราแม่ลูกให้มากนัก ท่านจะไปใกล้ชิดกับโหรวเอ๋อร์ของท่านอย่างไรก็จงไปเถอะ”

กู้โม่หานโมโหมากจนตบลงไปที่โต๊ะ เขานั่งอยู่ตรงนั้นนิ่ง “หนานหว่านเยียน เจ้าจะเกินไปแล้วนะ เจ้าต้องการให้ข้าไปงั้นหรือ เช่นนั้นข้าก็จะมิไป!”

“แม่นางแล้วทั้งสองจะชวนข้ากินข้าวที่นี่ เหตุไดข้าต้องไป”

อีกอย่าง ทุกครั้งที่เขาเดินทางมาเรือนเซียงหลินล้วนเป็นเวลาอาหาร หนานหว่านเยียนสตรีผู้นี้ทำอาหารที่ดูน่ากินเหลือเกิน ทำให้เขาอดมิได้ที่อยากจะลิ้มลอง

ในวันนี้เขามีโอกาสได้ชิมมัน แล้วเหตุใดเขาจึงมิกินเล่า?

เมื่อคิดได้ดังนี้ กู้โม่หานก็รู้สึกว่าตนมีเหตุมีผลมากขึ้น

“หนานหว่านเยียน เจ้าพยายามรั้งข้าหลายครั้งหลายครามิให้เข้าใกล้ลูกของเจ้าทั้งสอง เกรงว่า พวกนางจะมีความสัมพันธ์กับข้า หรือว่า……”

“หรือว่า แม่นางทั้งสองนั้นเป็นลูกของข้า เจ้ากลัวว่าข้าจะจำได้ดังนั้นจึง……”

“แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น” หนานหว่านเยียนหรี่ตาลงทันใด นางเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ ความตื่นตระหนกและรู้สึกผิดเผยขึ้นในแววตา

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหนานหว่านเยียน หัวใจของกู้โม่หานก็เต้นรัว

เดิมทีเขาเพียงแค่อยากลองสืบดู แต่ปฏิกิริยาอันผิดปกติของนางทำให้เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างคลุมเครือ

เขาจ้องมองไปที่นางอย่างกระวนกระวาย ในใจตั้งหน้าตั้งตารอ พยายามระงับอารมณ์หุนหันพลันแล่นของตนแล้วลุกขึ้นเดินไปหาหนานหว่านเยียนซึ่งนั่งอยู่ตรงกำแพง

หนานหว่านเยียนเห็นท่าทางอันดูก้าวร้าวของเขา ฝ่ามือของนางก็เหงื่อออกเปียกชุ่ม “เจ้าจะทำอะไร?”

กู้โม่หานเดินตรงมาหยุดอยู่ที่หน้านางแล้วเอื้อมมือออกมา ผลักไปที่ผนัง กดร่างของนางเอาไว้มิให้ขยับเขยื้อน

“เจ้าจะตื่นตระหนกตกใจทำไม รู้สึกผิดงั้นหรือ?” ผู้ชายบีบคางของหนานหว่านเยียนไว้ด้วยมือข้างเดียว ดวงตาของเขาจ้องมองไปในแววตาของหนานหว่านเยียน

หนานหว่านเยียนจ้องมองตาเขาแล้วตอบออกมา “พวกนางคือลูกของข้าใช่หรือไม่?”

หนานหว่านเยียนพยายามสงบสติอารมณ์แล้วหันไปมองดูกู้โม่หาน ดวงตาสีดำเข้มนั่นดูโมโหโกรธจัด นางกระแทกชายผู้นั้นเข้ากับตู้เสื้อผ้าตรงหน้า

นางจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างจริงจังว่า “กู้โม่หาน ข้าจะพูดอีกเพียงครั้งเดียว ลูกทั้งสองของข้ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย พวกนางเป็นลูกสาวของข้าหนานหว่านเยียน เจ้าอย่าได้คิดมาแตะต้องนางแม้แต่ปลายเล็บ!”

“เจ้าอย่าคิดว่าใช้แผนการหลอกข้าเช่นนี้แล้วจะรู้ถึงภูมิหลังของแม่นางทั้งสองได้ ข้าบอกกับเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าอย่าได้คิดไป พวกนางเป็นลูกข้าที่เกิดมาจากข้า มิใช่ของคนอื่นใด”

ท่าทางของหนานหว่านเยียนดูดุดัน นางเอามือผลักหน้าอกของเขาเอาไว้ ดวงตานั้นโกรธเกรี้ยวแฝงไปด้วยอันตราย

เขามองไปยังใบหน้าอันละเอียดอ่อนของนาง ในใจก็รู้สึกแปลกๆ ท่าทางที่ดูคลุมเครือเช่นนี้แผ่ซ่านออกไปไร้ขอบเขต……