Ep.554 – ความในใจของผู้เข้าสู่วิถีมาร

 

ราชามารวิญญาณมรณะ ไม่คิดปกปิดกลิ่นอายตนเอง ระเบิดฝีเท้าพุ่งเข้าสู่สภาวะเดือดดาลในทันใด

 

เพราะด้วยความแข็งแกร่งของมัน แน่นอนว่าย่อมไม่มีเรื่องใดที่จำเป็นจะต้องมาคิดกังวล

 

การสังหารสองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงทางขึ้นเขา เพียงใช้ออกด้วยความพยายามเล็กน้อย … ก็จบแล้ว

 

มันวิ่งข้ามผ่านสายลมและหิมะ โฉบตัวลงมาจากยอดเขา

 

กู่ฉิงซานกับลอร่าสามารถตระหนักได้ถึงกลิ่นอายของราชามารวิญญาณมรณะได้อย่างรวดเร็ว

 

ทั้งสองเงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดสีดำบนท้องฟ้า

 

แม้ว่าภูเขาหิมะลูกนี้จะเป็นลูกที่สูงที่สุด แต่ความเร็วในการลดระดับลงมาของร่างเงาดังกล่าว กลับว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

“ฝ่าบาทรู้สึกถึงมันไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

ลอร่าตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “กลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึ่งเช่นนี้ … ศัตรูสามารถปลดปล่อยมันออกมาได้อย่างไรกัน!?”

 

“เจ้าพยายามคิดหาหนทางเร็วเข้า!” เธอกล่าวด้วยความวิตก “สำหรับตัวเรา ถึงแม้ว่าจะพอมีสิ่งประดิษฐ์เทวะอยู่หลายชิ้นที่สามารถใช้ต่อกรกับมันได้ ทว่าการกระตุ้นสิ่งประดิษฐ์เทวะเหล่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ากับเรา มันยังไม่เพียงพอ”

 

กู่ฉิงซานปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป กวาดเข้าใส่ร่างของราชามารวิญญาณมรณะ

 

“ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ตนนี้ มันเหนือล้ำยิ่งกว่ากระหม่อมกับพระองค์เป็นสิบเท่า พวกเราคงไม่มีทางที่จะต้านทานมันได้หรอก .. ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา

 

เขานั่งอยู่บนหลังม้า และมองออกไปยังทุ่งสีดำทะมึน

 

เป็นเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารที่รายล้อมภูเขาน้ำแข็งจากทุกทิศทาง

 

และทั้งหมดก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

ผู้เข้าสู่วิถีมารเหล่านี้ มิใช่ตัวตนธรรมดา แต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดจากหลากหลายโลกลำดับชั้น

 

ภายใต้ระดับเดียวกัน ด้วยความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน การจะเอาชนะศัตรูแบบ 1 : 100 มันยังพอเป็นไปได้

 

แต่หากมีศัตรูมากยิ่งกว่านั้น กระทั่งตัวเขาก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้

 

โดยลำพัง แต่ต้องต่อกรกับศัตรูนับไม่ถ้วนในระดับเดียวกัน ไม่ช้าก็เร็วคงจะต้องเกิดอาการบาดเจ็บ และอาการบาดเจ็บก็จะสั่งสมมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสมดุลลของการต่อสู้ก็จะค่อยๆเอนเอียง และจบลงด้วยความตายในที่สุด

 

หากลองย้อนถอยกลับมาสักหนึ่งก้าว มาพูดกันถึงในตอนที่เขายังไม่ได้รับบาดเจ็บ ต่อให้ตนครอบครองสมญาเทพสงคราม หรือสกิลเทวะอย่าง ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว และร่างเงาแทนที่ก็ตามที แต่พละกำลังกายตนย่อมมีจำกัด และไม่เพียงพอที่จะสังหาร 200 ล้านผู้เข้าสู่วิถีมารได้

 

นี่แหละความเป็นจริงของสถานการณ์ในตอนนี้

 

ไม่ต้องกล่าวถึง 200 ล้านคน เพียงแค่เผชิญหน้ากับ 800 ผู้เข้าสู่วิถีมาร กู่ฉิงซานก็ยังต้องนำเอาค่ายกลดาบไท่หยี ออกมาขู่อีกฝ่ายเลย

 

ตูม!

 

พื้นน้ำแข็งสั่นสะเทือนเล็กน้อย

 

มอนสเตอร์หัวหมาป่าสูงหลายเมตรปรากฏตัวขึ้น

 

มันยืนอยู่ตรงข้ามกู่ฉิงซานกับลอร่า จ้องมองพวกเขาอย่างเงียบๆ

 

ดวงตาของมันเย็นชาและไร้ซึ่งความปราณี เฉกเช่นเดียวกันกับกำลังดูแมลงวันสองตัวบินอยู่ และจะตบตายด้วยฝ่ามือเมื่อไหร่ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

 

ในที่สุดราชามารวิญญาณมรณะก็มาถึง

 

ลอร่าหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของกู่ฉิงซาน ปากพึมพำเสียงกระซิบ “พวกเรากำลังจะตายสินะ?”

 

กู่ฉิงซานลูบหลังเธอ และหันไปถามนักรบเทพที่อยู่บนหัวมัน “นายมาทำอะไรที่นี่?”

 

“ข้ามาทำอะไรงั้นหรอ? คำถามของเจ้านี่มันช่างโง่เง่าเสียจริง มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วมาข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับน้องชายทั้งสองของข้า!!” นักรบเทพกล่าว

 

“ไม่ใช่ต้นกำเนิดหรอกหรือที่เป็นคนฆ่าน้องชายของนาย” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย

 

“พวกเราต้องการที่จะเข้าร่วมกับระบบของราชามาร!” นักรบเทพตะคอกด้วยความโกรธ “แต่กลับกลายเป็นว่าเจ้าดันมาหลอกลวงพวกเรา โป้ปดว่าสิ่งนั้นคือของปลอม แล้วทุกคนก็เชื่อคำเจ้า!”

 

“เจ้านั่นแหละคือตัวการหลักที่ทำให้พวกเขาต้องตาย!”

 

ว่าจบ นักรบเทพก็หันมามองลอร่า

 

“เจ้าหญิงหนาม! กระทั่งข้าก็ยังเชื่อในคำของท่าน แต่เพราะเหตุใดท่านถึงได้ลวงหลอกพวกเรา!?” 

 

“หากท่านไม่ช่วยยืนยันว่าชายผู้นี้เป็นตัวแทนของราชวงศ์หนาม ข้าย่อมไม่มีทางเชื่อคำผายลมของมันเด็ดขาด!”

 

ลอร่าเงยหน้าขึ้น ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเพราะข้าเกลียดไอ้ระบบนั่น มันเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวของข้าต้องถูกสังหาร!”

 

“งั้นหรือ … ข้าเข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะต้องทรมาณ-ท่าน-ทั้ง-เป็น จนกว่าจะสาแก่ใจสินะ”

 

นักรบเทพเอ่ยคำต่อคำ

 

กู่ฉิงซ่อนผลักลอร่าไปซ่อนไว้ข้างหลังและกล่าว “อันที่จริงฉันล่ะคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมนายถึงยินดีที่จะก้าวเข้าสู่วิถีมาร”

 

นักรบเทพจ้องมองกู่ฉิงซาน “อยากจะรู้? แล้วเจ้ามาจากโลกไหนกัน?”

 

“ฉันมาจากโลกกระจัดกระจาย”

 

นักรบเทพเบิกตามองเขาอย่างไม่คาดคิดและกล่าว “งั้นเจ้าก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าเองก็เป็นผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นเดียวกันกับเจ้าหญิงหนาม”

 

สถานะ … กู่ฉิงซานสูดหายใจคิด และแสดงสีหน้าจริงจังออกมา

 

“เจ้าก็เห็นอยู่ ว่าพวกเราไม่สามารถเอาชนะอสูรกายตนนี้ได้อย่างแน่นอน ไม่นาน พวกเราคงจะต้องตายด้วยเงื้อมมือของมัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

นักรบเทพกัดฟัน “ถ้าหากเป็นเรื่องนั้นล่ะก็วางใจเถอะ มั่นใจได้เลยว่าข้าจะทรมานพวกเจ้าจนสาสม ไม่ยินยอมปล่อยให้ตายลงง่ายๆอย่างแน่นอน”

 

กู่ฉิงซานมองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งเฉย และเริ่มเอ่ยต่อ “ในเมื่อโชคชะตาของฉันไม่ถูกฆ่าตายก็ต้องกลายเป็นมารอยู่แล้ว ถ้างั้นก่อนอื่น อย่างน้อยช่วยบอกเหตุผลที่นายยินดีเปลี่ยนเป็นมารให้ฉันรู้จะได้ไหม ไม่อย่างนั้นแล้วฉันคงจะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปจวบจนตัวตาย”

 

นักรบเทพกพอได้ฟังก็ตะลึงงัน

 

นี่มันยอมรับว่าตัวเองกำลังจะตายได้หน้าตาเฉยเลยหรือ? มันไม่หวาดกลัวความตายเลยหรือไร?

 

โง่เง่า แถมยังปากกล้าบอกว่าตนเองไม่กลัวความตายอีก!

 

ไอ้ขยะนี่ …

 

ไอ้ขยะนี่มันไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย!

 

แต่มันกลับถึงขั้นสามารถหลอกลวงทุกคนได้ …

 

ความไม่ยินยอมอย่างรุนแรง คุกรุ่นอยู่ในทรวงอกของนักรบเทพ

 

นักรบเทพพยายามข่มอารมณ์ของเขา และเงียบไปครู่หนึ่ง

 

“เจ้ามันโง่เง่า!”

 

เขาตะโกนไปทางกู่ฉิงซาน

 

“ในตลอดทั้งโลก 900 ล้านชั้นมีเพียงการเข้าสู่วิถีมารเท่านั้น ที่จักสามารถชักนำความยุติธรรมมาสู่พวกเราที่อยู่ในระดับล่างสุดได้”

 

“ความยุติธรรม?” คราวนี้สีหน้าของกู่ฉิงซานเผยถึงความประหลาดใจ

 

“ใช่ สำหรับหลายพันล้านปีมาแล้ว ที่โลกระดับบนได้ถูกแบ่งปันกันโดยตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ และพวกเขาก็มีชีวิตมาอย่างยาวนาน ร่วมตัวกันเป็นกลุ่มอำนาจ จนไม่มีใครสามารถไปสั่นคลอนพวกเขาได้อย่างง่ายดาย”

 

“และตัวอย่างที่จริงที่สุด ก็คือสถานที่ๆทุกคนรู้จักกันดี -โลกมิติอนันต์ที่ถูกยึดครองไปแล้วโดยตัวตนทรงอำนาจ”

 

“นอกเหนือจากโลกมิติอนันต์ โลกอื่นๆก็ยังมีตัวตนทรงอำนาจเป็นศูนย์กลางอยู่ดี และเบื้องหลังตัวตนทรงอำนาจเหล่านั้น ก็คือเจ้าพวกระดับจ้าววงการ!”

 

กู่ฉิงซานแสดงออกถึงความคาดไม่ถึงมากขึ้น และส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย “ว่าต่อสิ”

 

“รู้ไหมนี่มันหมายความว่ายังไง? มันหมายความว่าทรัพยากรทั้งหมดตกอยู่ในมือของผู้ที่แข็งแกร่งอย่างพวกจ้าววงการ และหากพวกเราเหล่าหน้าใหม่ต้องการได้มันมาครอบครอง ก็เป็นการยากลำบากยิ่ง! พวกเราจะต้องทำสิ่งต่างๆมากมายเพื่อโลกของพวกเขา ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรที่ปรารถนามา”

 

“ถ้าเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็จะถูกเอาเปรียบจากผู้อื่นที่แข็งแกร่งกว่า และจำต้องทุ่มเททั้งเวลาและแรงงานอย่างหนัก”

 

“นี่คือความเจ็บปวดของพวกหน้าใหม่ทุกคน เจ้าเข้าใจรึเปล่า?”

 

“ไร้ซึ่งหนทางที่จะต่อต้าน ต้องจำใจยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่ายอย่างอดกลั้น ทนทำงานหนักให้แก่พวกเขา หากเป็นเจ้า เจ้าจะยินดีหรือไม่? จงตอบข้ามา!!”

 

“หากเป็นเงื่อนไขที่ยุติธรรม มันก็เป็นเรื่องปกตินี่ที่จะได้รับค่าตอบแทน” กู่ฉิงซานกล่าวจริงจัง

 

“โง่เง่า! นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่รู้ต่างหากว่าการได้เข้าสู่วิถีมารมันเป็นอย่างไร!”

 

“ฉันอยากจะรู้รายละเอียดเพิ่มเติม”

 

ใบหน้าของนักรบเทพแสดงออกถึงความสุข เขากล่าวทันที “หากต้องทนอยู่แบบนั้น เมื่อเทียบกันกับการต้องเข้าสู่วิถีมารแล้ว มันไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย”

 

“เพราะตราบใดเจ้าอยู่ในวิถีมาร เจ้าก็จะสามารถอาศัยเพียงแต้มพลังวิญญาณ เพื่อแลกเปลี่ยนกับทุกชนิดของอุปกรณ์ที่ต้องการได้เลยโดยตรง แม้กระทั่ง ‘แปะๆ’ — เพียงแค่ใช้แต้มพลังวิญญาณเท่านั้น”

 

ระหว่างกล่าวนักรบเทพก็ตบลงบนหัวของราชามารวิญญาณมรณะ ปากอ้าตะโกนคลั่ง “ตราบใดที่มีแต้มพลังวิญญาณมากพอ เจ้าก็จะสามารถแลกเปลี่ยนกับพลังอำนาจที่ล้างโลกทั้งใบได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำประโยชน์ต่างๆให้แก่ตัวตนทรงอำนาจ นี่ต่างหากที่เป็นความยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่สุด!”

 

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่แต้มพลังวิญญาณที่นายว่ามา มันได้รับมาจากชีวิตของคนอื่นนะ”

 

“ก็แล้วยังไง? เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องรับใช้ตัวตนทรงอำนาจนานเพียงใดกัน กว่าที่จะได้รับอุปกรณ์ที่เหมาะสมกันกับตนเองมา? 10ปี! ข้าจำต้องใช้เวลายาวนานกว่า 10 ปี ถึงจะได้รับมันมา!”

 

“แล้วดูระบบของราชามารสิ – เจ้าก็แค่ต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณของเจ้าออกไปเท่านั้น เพียงเท่านั้นทุกอย่างก็จบแล้ว”

 

“ตราบใดที่แต้มพลังวิญญาณของเจ้ามากพอ เจ้าก็จะสามารถแลกเปลี่ยนอุปกรณ์อันทรงพลังที่เหนือล้ำที่สุดในเวลาใดก็ได้!”

 

นักรบเทพกำหมัดแน่น “นี่ต่างหากคือความยุติธรรม! วิธีที่จะสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกตัวตนทรงอำนาจได้!”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างครุ่นคิด “แต่ฉันได้ยินมาว่า ที่ดินแดนชิงอำนาจการปฏิบัติต่อกันนั้นค่อนข้างจะดีมาก ตราบใดที่นายสามารถต่อสู้ได้-”

 

“ผายลมเถอะ!” นักรบเทพขัดจังหวะเขา “แบบนั้นมันอันตราย! อันตรายมากเกินไป!! แต่กลับกัน ถ้าเจ้าเลือกที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณเจ้าก็จะปลอดภัย ที่ต้องทำก็เพียงแค่ฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่ง แล้วเตรียมการณ์ให้พร้อม เฝ้ารออยู่ในที่ปลอดภัยเท่านั้น”

 

กู่ฉิงซานพยายามอธิบาย “แต่การเข้าร่วมกับต้นกำเนิด ต้นกำเนิดมันจะถือว่านายเป็นทาสของมันนะ”

 

คราวนี้เทพนักรบสวนกลับทันควัน “มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วหากเราไม่ทรยศมัน เจ้าก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบาย”

 

“รอให้ระดับของนายสูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆดูเถอะ แล้วนายจะต้องเผชิญกับค่าประสบการณ์ที่มากมายจนไม่อาจคาดคำนวณได้ แล้วนายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง” กู่ฉิงซานถามอีกครั้ง

 

“ก็เป็นเจ้ามิใช่หรือ ที่อาศัยเหตุผลนั้น ลวงหลอกผู้คนจำนวนมากจนหลายคนคิดว่าต้นกำเนิดเป็นของปลอม” นักรบเทพเยาะหยัน

 

เขาพูดต่อ “ข้าได้ลองขบคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างจริงจังแล้ว และพบว่าคำตอบของมันมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือการฆ่า!”

 

“ภายในโลกนับล้านๆ ย่อมที่จะต้องมีโลกที่อ่อนแออยู่บ้างล่ะน่า ข้าก็เพียงโยนตนเองไปยังโลกใบนั้น และเริ่มฆ่าสังหาร แลกเปลี่ยนความแข็งแกร่งให้ยิ่งสูงขึ้น เพียงเท่านี้โชคชะตาของข้าก็จะถูกควบคุมโดยตนเอง และไม่จำเป็นต้องไปไว้หน้าพวกจ้าววงการอีกต่อไป!”

 

กู่ฉิงซานรับฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แล้วตกลงสู่ความเงียบ

 

หลังจากที่เข้าสู่วิถีมาร ผู้คนเหล่านั้นก็ย่อมสามารถที่จะหลบเลี่ยงความพยายามทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย และตราบใดที่ฆ่าสังหาร พวกเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ต่อไป

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบางคนถึงเลือกที่จะเข้าสู่วิถีมาร

 

สิ่งนี้มันแตกต่างไปจากในชีวิตก่อนหน้าของเขาจริงๆ

 

ในช่วงเวลานั้น ผู้คนไม่มีใครคาดคิดเกี่ยวกับการฆ่ากันเองเลย ที่พวกเขาทำก็เพียงรวมกลุ่มกันต่อสู้เท่านั้น

 

ในช่วงเวลานั้นผู้คนต่างอุทิศตนเพื่อสะบั้นศีรษะมารล้างบางมอนสเตอร์ – ปรารถนาที่จะต่อต้านวันสิ้นโลก

 

ในช่วงเวลานั้น ทุกๆคนร่วมมือกับขบคิดอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาค่าประสบการณ์ที่มากเกินไป แต่ไม่มีใครหันมาคิดจะทำร้ายพันธมิตรเลย

 

เพราะฆาตกรที่สังหารพันธมิตร จะต้องชดใช้ด้วยชีวิตตนเอง

 

นี่คือข้อตกลงร่วมกันของทุกคน และเป็นหลักการพื้นฐานที่สุดในสังคมมนุษย์ที่ได้ปฏิบัติตามมานานหลายปี

 

ทว่ากับโลก 900 ล้านชั้น สถานการณ์ดูจะแตกต่างกันออกไป

 

ระหว่างอารยธรรมมีความแตกต่างกัน ความคิดก็แตกต่างกัน แนวคิดในการคร่าชีวิตจึงย่อมต่างกันเป็นธรรมดา

 

แม้แต่ในอาณาจักรอาชูร่าแห่งโลกหกวิถี อาชูร่าก็ยังเชื่อกันว่าความตายในสนามรบนับว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติ

 

ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกฆ่าตายในสนามรบ หรือว่าผู้ที่เป็นคนฆ่า ทุกคนล้วนเป็นนักรบอันทรงเกียรติ

 

หากกระทั่งในโลกหกวิถียังเป็นเช่นนั้น แล้วจะนับประสาอะไรกับโลกนับล้านๆ!

 

กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย

 

คนเหล่านี้คือผู้เข้าสู่วิถีมาร

 

พวกเขายังไม่เคยได้เผชิญหน้ากับวันสิ้นโลก ดังนั้นพวกเขาเลยคิดและตัดสินใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย

 

เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้เวลาไปกับการฝึกฝนอย่างหนัก

 

หรือไม่ก็

 

ใช้ชีวิตของผู้อื่น เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างรวดเร็ว

 

ตัวเลือกนี้จะเป็นการทดสอบกิเลศของมนุษย์มากเกินไป และบังเอิญว่าพวกเขาก็ดันถูกโยนเข้าไปในอ้อมแขนระบบของราชามารพอดิบพอดี

 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม กระทั่งแสงแห่งรุ่งอรุณทริสเต้ก็ยังหันไปพึ่งพิงเผ่ามาร

 

นักรบเทพกล่าว “เจ้าเข้าใจแล้วรึยัง? ไอ้คนโง่เง่า กระทั่งเรื่องแบบนี้ก็ยังไม่ล่วงรู้ จงถูกทรมานจนตายซะที่นี่เถอะ น่าเสียดายจริงๆที่เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นข้าเติบใหญ่ขึ้นเป็นตัวตนทรงอำนาจในภายภาคหน้า …”

 

ว่าจบ เขาก็ตบลงบนหัวราชามารวิญญาณมรณะและกล่าว “จงไปหักแขนขาของพวกมัน แล้วจากนั้นค่อยปล่อยให้ข้าได้ทรมานพวกมันอย่างช้าๆ”

 

ทว่าราชามารวิญญาณมรณะกลับยังคงนิ่ง

 

“เกิดอะไรขึ้น? ไปจัดการพวกมันสิ!” นักรบเทพตะโกน

 

“ใจเย็นๆก่อน ระบบของราชามารต้องการที่จะสนทนากับเขาสักเล็กน้อย” ราชามารวิญญาณมรณะตอบกลับไป