ตอนที่ 166 หอซี่หยู่

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 166 หอซี่หยู่

ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินฟังมิเข้าใจ ส่วนเรื่องของหนังสือความฝันในหอแดงนั้นพวกนางมิชอบเรื่องราวในตอนจบ เหตุใดเซวี๋ยเป่าชายจึงแต่งงานกับเจี๋ยเป่าหยู น่าสงสารน้องสาวหลินยิ่งนัก พวกเขาทั้งสองเข้าหอวิวาห์ ส่วนตนได้แต่เสียใจจนช้ำใจตายเพียงลำพัง ทั้งสูญเสียเงินทองและชีวิต ช่างไม่คุ้มค่าเสียจริง !

หยูเวิ่นเต้ามิได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเนื่องจากเขาไม่ได้สนใจนัก เขาเพียงได้ยินเสด็จแม่และฟู่เสี่ยวกวนสนทนากัน แม้จะมิได้ตั้งใจฟังนัก แต่ก็พอจะจับใจความได้

ดังนั้นเขาจึงมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน คาดว่าที่เสด็จแม่เรียกให้ฟู่เสี่ยวกวนมาพบ เนื่องจากต้องการดูว่าฟู่เสี่ยวกวนมีนิสัยอย่างไร

เจ้าหมอนี่ช่างฉลาดนัก เดิมทีข้าเป็นคนร่าเริง อืม มองดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็ร่าเริงไม่น้อย

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเองก็ทรงมีพระประสงค์เช่นนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางใจ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีไหวพริบ แสงแดดจะต้องส่องไปยังที่มืดมนอยู่วันยังค่ำ……เยี่ยม ! แต่แท้จริงแล้วบนโลกใบนี้ยังมียังมีอีกหลายพื้นที่นักที่แสงแดดส่องไม่ถึง อย่างเช่น……ต้นหญ้าที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ !

จากสถานการณ์ตอนนี้ ต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นบดบังแสงแดด บรรดาวัชพืชเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กำลังกัดกินรากของราชวงศ์หยูที่เปรียบเสมือนต้นไม้นั้น หากมิรีบจัดการถอนทิ้งไปเสีย เกรงว่าทุกสิ่งที่ทำไปจะสูญเปล่า

“เมื่อครั้นที่เยี่ยนซีเหวินส่งเรื่องราวนี้มาให้ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยยิ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั่งลงดื่มน้ำชา นางหยิบแก้วชาขึ้นมาแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน

ฎีกาฉบับนั้นฟู่เสี่ยวกวนเคยเห็น เขียนได้ดีทีเดียว เหตุใดฝ่าบาททรงมิพอพระทัยกัน? เขาจึงส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “ขอพระสนมโปรดชี้แนะ”

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยยิ้มแล้ววางแก้วชาลง ตรัสว่า “เจ้าหนอ……เจ้าคิดเช่นใดฝ่าบาทและข้าล้วนเข้าใจดี ที่จริงเยี่ยนซีเป่ยอีกทั้งเยี่ยนซือเต้าก็เช่นกัน เจ้าคิดว่าจะหลอกลวงฝ่าบาทง่ายดายเพียงนี้หรือ? เยี่ยนซีเหวินร่วมมือกับเจ้าในการจับกุมลูกสมุนของกงเซินฉางทั้งสองคน อีกทั้งสามารถฆ่าโจรกว่าแปดร้อยคนงั้นหรือ?”

“เขามิมีความสามารถนั้นหรอก แต่เจ้ามี”

บัดนี้ต่งชูหลานจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ทำเรื่องราวอันน่ากลัวเช่นนั้น ในใจนางรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันใด นางมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนแล้วตำหนิเขาในใจ เหตุใดเรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้เขาจึงไม่บอกนางกัน !

หากเขากลัวว่านางจะเป็นกังวล นางยังพอจะเข้าใจได้ แต่นางไม่ชอบการกระทำเช่นนี้ หากเขาเป็นอะไรไปนางจะไม่กังวลได้อย่างไร ? หากเขามิบอกกล่าว นางคงกังวลใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม !

เหตุผลง่ายดายเพียงนี้เหตุใดเขาไม่เข้าใจ เมื่อกลับถึงจวนคอยดูว่านางจะจัดการเขาอย่างไร !

และด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน ในสายตาของฝ่าบาทแล้วนี่เป็นการกระทำที่ไม่จำเป็น !

“เดิมทีนี่เป็นผลงานของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงทำอวดดีได้มอบคุณงามความดีเช่นนี้ให้แก่เยี่ยนซีเหวินกัน? หรือเจ้าอยากเห็นตระกูลเยี่ยนสืบทอดอัครมหาเสนาบดีสี่รุ่นเกิดขึ้น?”

คำพูดของซั่งกุ้ยเฟยค่อนข้างรุนแรง ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจว่าเขาได้ทำตัวอวดดีเกินไป

เขารู้ว่าชาวฮวงที่ชื่อว่าท่าป๋าชิวนั้นส่งนักฆ่ามาฆ่าเขา ความสงสัยที่ว่าเป็นฝีมือของตระกูลเยี่ยนได้ลบล้างไป เขาเพียงต้องการใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ยน เนื่องจากต่อไปในภายภาคหน้าตนทำการใด ๆ ในเมืองหลวงจะได้ราบรื่น แต่กลับมองข้ามผู้ที่จะสามารถช่วยเขาได้ในเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งทั้งแคว้นได้อย่างแท้จริงผู้นั้นได้อย่างไร !

องค์จักรพรรดิจึงจะทรงเป็นต้นไม้ใหญ่แห่งใต้ฟ้านี้ แต่เขากลับไปอาศัยร่มไม้อื่น เขาฟังคำกล่าวของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยที่หยิบยกเนื้อหาหนังสือมาอ้าง เปรียบเปรยว่าราชวงศ์หยูกำลังพบเจอปัญหาเดียวกับจวนเจี่ย ในเมื่อกล่าวแล้วว่าเดิมทีโชคชะตาของจวนเจี่ยสามารถแก้ไขได้ เช่นนั้นราชวงศ์หยูก็สามารถแก้ไขได้เช่นกัน นี่เป็นความหมายว่ามิต้องการให้เขาไปพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่ต้นอื่นนอกจากฝ่าบาท !

ซึ่งหากฟู่เสี่ยวกวนต้องการเป็นขุนนาง เขาจะได้เป็นเพียงขุนนางกูเฉิน ! ต้องเป็นกูเฉินเท่านั้น !

ความหมายของฝ่าบาทนั่นคือ ทรงมีพระประสงค์ให้เขาเป็นเช่นแสงอาทิตย์ที่สาดส่องไปยังใต้ก้อนหิน หรือแม้แต่ทุกที่ที่มืดมิด ให้พวกเขาได้เผยตัวตนที่แท้จริง ให้พวกเขาอันตรธานหายไป

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้น จากนั้นคารวะพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย

“กระหม่อมขอบพระทัยพระสนมยิ่ง กระหม่อมเข้าใจแล้วว่าควรทำอย่างไร ! ”

ซั่งกุ้ยเฟยทรงยิ้มอย่างพอใจ เขามีความคิดที่หลักแหลม หากได้รับใช้ฝ่าบาทคงจะดี

เพียงแต่……ขุนนางกูเฉินมิได้เป็นกันง่าย ๆ เขายังอายุไม่ถึง 17 ปีเสียด้วยซ้ำ โครงร่างของเขามองดูแล้วไม่เลว แต่อุปสรรคมากมายที่จะต้องพบเจอ เขาจะป้องกันมันได้อย่างไร?

“เวิ่นเต้า”

“ขอรับเสด็จแม่ ! ”

“หอชิงเฟิงซี่หยู่……หอซี่หยู่นั้นมอบให้ฟู่เสี่ยวกวน”

หยูเวิ่นเต้าตกตะลึง เขาเอ่ยถามด้วยความมิเข้าใจว่า “เสด็จแม่ขอรับ……หอซี่หยู่……?”

“ถูกต้องแล้ว ข้าหมายถึงหอซี่หยู่ นับแต่นี้จงมอบหอซี่หยู่ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนดูแล แม้แต่เจ้าเองก็มิอาจเข้าไปจัดการเรื่องใด ๆ หรือนำสิ่งของใด ๆ ออกมา”

หยูเวิ่นเต้าหยิบดาบรูปนกฟีนิกซ์สีทองออกมามอบให้แก่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ภายในใจของเขายังเต็มไปด้วยความสงสัย

เขามิได้เสียดายแต่อย่างใด แต่ว่าหอซี่หยู่นั้นสำคัญมาก เหตุใดเสด็จแม่จึงให้ฟู่เสี่ยวกวนดูแล นางเชื่อใจฟู่เสี่ยวกวนมากเช่นนั้นเชียวหรือ?”

ซั่งกุ้ยเฟยรับดาบนั้นมา จากนั้นมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “หอชิงเฟิงซี่หยู่มีทั้งสิ้นสองหอ ต่อจากนี้เจ้าจะรู้เอง หอซี่หยู่เป็นหนึ่งในนั้น ใช้สำหรับตรวจสอบข่าวสารคำร้องทุกข์จากทั่วแคว้น ก่อตั้งอยู่นอกราชวัง ไม่เกี่ยวข้องกับขุนนางใด ๆ เมื่อเจ้าไปที่นั่นจะเข้าใจเอง บัดนี้ผู้ที่ดูแลหอซี่หยู่ก็คือ……ขันทีเหนียน”

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมอบดาบนั้นแก่ฟู่เสี่ยวกวน แต่เขามิได้หยิบขึ้นมาพิจารณา ขันทีเหนียนที่อยู่ข้าง ๆ พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยก้าวขึ้นมา คารวะฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนตกใจจึงรีบลุกขึ้นทำท่าคารวะกลับ แต่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยโบกมือห้ามแล้วกล่าวว่า “บัดนี้เจ้ามีดาบเฟิ่งเจี้ยนอยู่ในมือ ขันทีเหนียนต้องฟังคำบัญชาจากเจ้า”

“ข้าน้อยคารวะนายน้อย”

“เอ่อ……ท่านขันทีเหนียนเชิญนั่งเถิด”

“ข้าน้อยมิบังอาจ”

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเขาให้เจ้านั่งลงก็จงนั่งลงเถิด ก่อนหน้านี้เจ้ารับใช้ข้าจึงได้ฟังคำสั่งข้า บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นี่ เจ้าทำตามเขาก็พอ”

“ขอบพระคุณ นายน้อย”

ขันทีเหนียนนั่งลงตามคำสั่ง ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามเรื่องราวใด ๆ แต่ได้ก้มหน้าพิจารณาดูดาบนั้น จากนั้นเก็บลงไป

มองดูแล้วหอชิงเฟิงซี่หยู่คงก่อตั้งโดยหยูเวิ่นเต้า

พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย……แม่ยายผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก !

หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ตกตะลึงไม่น้อย พวกนางคิดมาตลอดว่าหอชิงเฟิงซี่หยู่นั้นองค์ชายห้าใช้เก็บสะสมผลงานด้านศิลปะต่าง ๆ เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีความสำคัญเช่นนี้

ในเมื่อพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมอบหอซี่หยู่ให้ฟู่เสี่ยวกวน นั่นหมายความว่านางไว้วางใจเขา ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจะต้องดูแลหอซี่หยู่นี้ให้ดีตามความคาดหวังของนาง

ซั่งกุ้ยเฟยลุกขึ้นจากโต๊ะ ตรัสว่า “เวิ่นเต้า เวิ่นหยุน ชูหลาน พวกเจ้าออกไปเดินชมหิมะเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย”

ดังนั้นจึงเหลือฟู่เสี่ยวกวนและขันทีเหนียนเพียง 2 คน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมีพระประสงค์ให้ฟู่เสี่ยวกวนทำความคุ้นเคยกับหอซี่หยู่ได้รวดเร็วขึ้น

“เชิญท่านขันทีเหนียนกล่าว”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อ้อมค้อม เขารินน้ำชาแก่ขันทีเหนียนแล้วเอ่ยปาก

 “เรียนนายน้อย หอซี่หยู่หาได้มีสำนักงานใหญ่ไม่ นายน้อยอยู่ที่ใด ที่นั่นคือสำนักงานใหญ่ แต่ภายในมีการแบ่งโครงสร้าง ชั้นล่างของหอซี่หยู่มีหลงจู๊ 12 คน นับแต่เดือนหนึ่งถึงเดือนสิบสอง  ห้าในสิบสองคนนี้ดูแลเรื่องข่าวสารคำร้องทุกข์ หลงจู้เดือนที่หนึ่งและสองดูแลแคว้นอี๋ เดือนสามเดือนสี่ดูแลแคว้นฮวง เดือนห้าดูแลราชวงศ์อู่ ส่วนที่เหลืออีก 7 คนนั้น หกคนดูแลเขตต่าง ๆ ในราชวงศ์หยู หลงจู๊เดือนสิบสองอยู่ที่จินหลิง”

ฟู่เสี่ยวกวนรับฟังอย่างตั้งใจ นี่คือระบบการทำงานอย่างง่าย ๆ โดยเรียกชื่อแทนเป็นชื่อเดือน ไม่เลวเลยทีเดียว มิน่าเล่าขันทีผู้นี้จึงได้มีชื่อเรียกว่าเหนียน ซึ่งหมายถึงปีนั่นเอง

 “ภายใต้หลงจู๊ทั้งสิบสองเดือนมีหอ 360 แห่ง หลงจู๊แต่ละคนดูแล 30 แห่ง หอเหล่านี้เป็นอุตสาหกรรมของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเป็นส่วนมาก ที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมของผู้อื่น เพียงแต่สิบกว่าปีมานี้ คนของเราเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย”

“เรื่องต่าง ๆ ในแคว้นจะถูกรวบรวมมาไว้ที่หอทั้งสามร้อยหกสิบแห่งนี้ จากนั้นส่งต่อไปยังหลงจู๊ จากการพิจารณาของหลงจู๊ทั้งหลาย พวกเขาจะนำมาสรุปให้แก่ข้าน้อย และข้าน้อยนำส่งมาให้นายน้อย”

“หากนายน้อยมีสิ่งใดรับสั่ง เพียงแค่กล่าวกับข้าน้อย ข้าน้อยจะนำคำสั่งของท่านไปบอกต่อแก่หลงจู๊ทั้งหลาย ให้พวกเขาทำตามคำสั่ง”

 “ส่วนรายชื่อคนในหอซี่หยู่มิได้อยู่ในมือของข้าน้อย หากนายน้อยต้องการดู วันรุ่งขึ้นข้าน้อยจักนำไปมอบให้ที่จวน”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า การทำงานเกี่ยวกับข่าวสารนั้นเขาค่อนข้างจะคุ้นเคย ส่วนเรื่องแผนการทำงานของหอซี่หยู่นั้นเขายังมิได้วางแผนเปลี่ยนแปลง เนื่องจากยังมิได้ไปสัมผัสด้วยตนเอง”

“บัดนี้ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้ซี่หยู่ตรวจสอบ”

“เชิญนายน้อยกล่าว”

 “ช่วยตรวจสอบอดีตท่านนายพลที่ประจำการกองทหารตะวันตกที่บัดนี้ปลูกข้าวอยู่ที่เขตหนานหลิงให้ข้าที ข้าต้องการรู้สองเรื่อง เรื่องแรกนั้นคือในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 2 ฤดูใบไม้ผลิ สงครามระหว่างกองทหารราบของกองทัพชายแดนทางใต้กับกองทัพชายแดนของราชวงศ์อู๋ในเทือกเขา ฉีซานซึ่งมีพรมแดนติดกับราชวงศ์อู๋ กล่าวกันว่าราชวงศ์หยูชนะสงคราม และมีหัวศัตรูถึงเจ็ดแปดร้อยคนถูกส่งไปยังเมืองหลวง สิ่งที่ข้าต้องรู้ก็คือหัวมนุษย์เจ็ดแปดร้อยนี้……เป็นหัวของทหารราชวงศ์อู๋จริงหรือ?”

ขันทีเหนียนตกตะลึง จากนั้นรีบพยักหน้า

“เรื่องที่สอง ข้าต้องการให้ชิงเฟิงซี่หยู่จับตามองท่านนายพลนี้ให้ดี แม้แต่เขาเข้าห้องน้ำเวลาใดก็ต้องรายงาน”

ขันทีเหนียนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นพยักหน้าตอบรับ

สีหน้าอันเคร่งขรึมของฟู่เสี่ยวกวนจางหายไป เหลือไว้แต่รอยยิ้มอันสดชื่น

“เรื่องนี้หากท่านขันทีเหนียนรู้สึกลำบากใจ จงบอกข้ามาโดยตรง ข้ามิโทษท่าน”

ขันทีเหนียนเงยหน้าขึ้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ที่จริง……เรื่องแรกนั้นได้ปิดไปแล้ว เนื่องจากบัดนี้เฟ่ยอันได้ยื่นหนังสือลาออกด้วยตนเองและเดินทางออกจากเมืองหลวงไปยังเขตหนานหลิง ส่วนเรื่องที่สอง……ก่อนหน้านี้ชิงเฟิงซี่หยู่ได้จับตามองเฟ่ยอันตลอดเวลา กระทั่งเมื่อปีที่แล้วจึงได้เลิกจับตามองเขา เนื่องจากสี่ปีมานี้เฟ่ยอัยได้ทำนาอยู่จริง ๆ ”

“ผิดแล้ว เรื่องแรก แม้จะปิดไปแต่ยังมิได้ข้อสรุป ประชากรราชวงศ์หยูเจ็ดแปดร้อยคนเชียว……จะให้พวกเขาตายโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้มิได้ ! ”