Ch.40 – การโจมตีขององค์กรร้าย

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.40 – การโจมตีขององค์กรร้าย

 

ภายในงาน แน่นอนว่าต้องมีจ้าวหยวนหยวนกับเฉินหมิง

 

ในสถาบันระดับกลาง จะจบการศึกษาที่อายุ 16 ปี แต่ละชั้นเรียนมี 30 คน และในห้องนี้ มีโต๊ะอยู่สองตัวซึ่งเป็นศูนย์กลางความสำคัญอย่างชัดเจน

 

ศูนย์กลางความสนใจของทุกคน คงไม่พ้นโต๊ะของจ้าวหยวนหยวนและเฉินหมิง ที่กำลังรับการแสดงความยืนดีจากเพื่อนๆ หนึ่งคือผู้ที่สามารถปลุกพลังพิเศษได้ อีกหนึ่งได้กลายเป็นสมาชิกของทีมทหารรับจ้าง แถมยังแว่วข่าวมาว่าเขาได้รับเงินมากถึง 50,000 ในเดือนนี้!

 

เงิน 50,000 เหรียญ มันคือสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับในสายตาของเหล่านักเรียนมัธยมเหล่านี้ เพราะพวกเขาเพิ่งจะได้เข้าสู่สังคมจริงๆเพียงไม่ถึงเดือน ก่อนหน้านี้ล้วนได้รับเงินจากพ่อแม่ทั้งสิ้น

 

และยิ่งเป็นนักเรียนยากจนบางคน แค่คิดถึงเงินที่พ่อแม่ต้องทำงานตั้ง 5 ปี ถึงจะได้รับเงินเท่ากันกับเฉินหมิงที่หามาได้เพียงเดือนเดียว มันช่างปวดใจจริงๆ

 

แล้วแบบนี้จะไม่ให้รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร?

 

“โจวฮ่าว , ฉินเฟิง พวกนายมาแล้ว!” เฉินหมิงตะโกนทักทายเสียงดัง แต่จากนั้น คิ้วของเขาก็ต้องขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

 

เพราะตนได้เห็นว่าโจวฮ่าวกำลังสวมใส่ชุดต่อสู้

 

“โจวฮ่าว ชุดต่อสู้ของนายเยี่ยมไปเลยนี่นา อย่าบอกนะว่านายสามารถปลุกพลังพิเศษได้แล้ว?” เฉินหมิงเอ่ยถาม

“ยังหรอก แต่พลังวรยุทธโบราณน่ะ ถ้าคิดจะปลุกจริงๆ ยังไงมันก็ง่ายๆอยู่แล้ว ระหว่างนี้ฉันมัวแต่ฝึกฝนอยู่ เลยไม่รู้ว่านายไปคลุกคลีกับอะไรไม่ดีมา ถึงได้ดิบได้ดีขนาดนี้” โจวฮ่าวกล่าวด้วยรอยยิ้มปลอมๆ

 

“ไม่ ไม่ ไม่ คลุกคลีอะไรกัน มันก็แค่การหาเลี้ยงชีพเท่านั้นเอง นายก็รู้นี่ ว่าเด็กกำพร้าอย่างฉันที่พอจะทำได้ก็มีแต่งานแบบนี้!” เฉินหมิงยิ้มจางๆ หากแต่ในใจของเขากำลังคิดว่า ‘พ่อของโจวฮ่าวทำงานในศูนย์ฝึกอบรม มันคือสถานที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งต่อการปลุกพลัง แต่อีกฝ่ายก็ยังปลุกพลังไม่ได้ ฉะนั้นก็ไม่คงไม่แข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องคอยพะวงแต่อย่างใด’

เมื่อคิดได้ดังนั้น คิ้วของเฉินหมิงก็คลายออก ไม่ได้กังวลอีกต่อไป

 

สายตาของเขาขยับไปที่ร่างของฉินเฟิง มองไปยังอีกฝ่ายที่ยังคงสวมเสื้อขาวและกางเกงยีนส์ที่ซักจนซีด ความภาคภูมิใจบนใบหน้าของตนก็ยิ่งเด่นชัด ขณะเดียวกัน ก็เริ่มปรากฏถึงความสุข

 

เนื่องจากเขามักจะถูกกดดันภายใต้ความสามารถของฉินเฟิงอยู่เสมอ ดังนั้นเลยต้องแกล้งทำเป็นเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่าย แสดงท่าทีบ้าๆบอๆ เป็นมิตรต่อกัน

 

ซึ่งนี่เป็นวิธีการเจ้าตัวใช้ฉกฉวยความรู้ , การฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพมาจากโจวฮ่าวและฉินเฟิง

 

“ฉินเฟิง นายไปทำอะไรมาบ้างล่ะเมื่อเร็วๆนี้ ทำไมฉันถึงไม่เห็นหน้านายเลย หรือว่าเจองานที่ถูกใจแล้ว?”

 

เมื่อกล่าวถึงช่วงท้าย เฉินหมิงก็แสดงออกถึงความภาคภูมิโดยไม่รู้ตัว

 

“งานอย่างงั้นหรอ? อืม … พอดีว่าฉันยังปลุกพลังไม่ได้เลย พวกเราเอาไว้ค่อยพูดถึงเรื่องงานหลังจากนี้ดีกว่าไหม?” ฉินเฟิงกล่าวอย่างสงบ “เพราะบางครั้ง … ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอาจจะเป็นการหัวเราะในตอนท้ายก็ได้!”

 

เมื่อถูกประโยคที่ทั้งตอกกลับและประชดประชัน สีหน้าของเฉินหมิงแข็งทื่อไป

 

“ฉินเฟิง มานั่งตรงนี้สิ!”

 

อีกเสียงหนึ่งลอยมา เมื่อฉินเฟิงหันไป เขาก็พบว่าเป็นเสี่ยวจิง

 

ในครั้งนี้ เสี่ยวจิงเองก็มางานปาร์ตี้คืนสู่เหย้าเหมือนกัน แถมเธอยังตั้งใจขอวันลามาเป็นพิเศษ

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปัจจุบันเธอได้กลายเป็นทหารรักษาการณ์ และไม่สามารถออกจากตำแหน่งได้โดยง่าย แต่เมื่อคิดว่าฉินเฟิงเองก็น่าจะมาที่นี่ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจมาร่วมงานในครั้งนี้

 

และเสี่ยวจิงไม่ได้บอกกับใครเลย ว่าตอนนี้เธอได้งานเป็นทหารไปแล้ว ดังนั้นตรงโต๊ะของเธอ จึงไม่มีคนมาร่วมแสดงความยินดี

 

แตกต่างจากอีกโต๊ะหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยผู้คน ทั้งหมดต่างสนทนากับจ้าวหยวนหยวนกับเฉินหมิงอย่างครื้นเครง และทุกคนที่ว่าล้วนเป็นคนที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวย

 

เพราะสำหรับพวกนั้น แม้จะยังไม่สามารถปลุกพลังพิเศษหรือพลังวรยุทธโบราณได้ หากแต่ก็ยังเป็นเรื่องง่ายดาย ที่จะจบลงที่การเป็นมือปืน

 

แน่นอน ว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยสำหรับครอบครัวที่ร่ำรวยเหล่านี้ อีกอย่าง พวกเขาก็ไม่ชอบการต่อสู้อยู่แล้ว ปลุกพลังไปก็เท่านั้น พวกเขามาอยู่ที่สถานที่ชุมชนทางตอนเหนือเพื่อทำธุรกิจต่างหาก!

 

ฉินเฟิงเดินมาตามเสียงเรียก นั่งห่างจากเสี่ยวจิงสองเก้าอี้ โจวฮ่าวก็นั่งลงตามข้างๆ

 

“เฮ้ฉินเฟิง นายไปสนิทกับเสี่ยวจิงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงแม้เสี่ยวจิงจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่เธอทั้งสูง ขาก็ยาว เธอจะต้องเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่น่ารักให้กับลูกนายแน่นอน”

 

ฉินเฟิงกระทุ้งศอก บอกให้โจวฮ่าวหุบปากลง

 

เสี่ยวจิงสามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณขึ้นมาได้แล้ว ประสาทการมองเห็นและรับฟังของเธอย่อมดีขึ้นอย่างมาก ได้ยินคำพูดหยอกล้อของโจวฮ่าวทะลุเต็มสองหู เจ้าตัวกลายเป็นบื้อใบ้ พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง

 

“ฮะฮ่า! โจวฮ่าว ดูเหมือนว่าเกือบเดือนที่ผ่านมานายจะมีแต่ช่วงเวลาดีๆสินะ งั้นพวกเรามาประลองกันซักตั้งเป็นไง? ฉันเองก็เพิ่งจะปลุกพลังวรุยทธโบราณขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่ยังหาคู่ฝึกฝนไม่ได้เลย!”

 

เธอลดเสียงลงก็จริง แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะให้โจวฮ่าวได้ยิน ในแววตาของเธอสาดไปด้วยความมุ่งร้าย

 

“ไอหย๋า นี่มันเสี่ยวจิงที่ฉันรู้จักจริงๆน่ะหรอ?” โจวฮ่าวหัวเราะและกล่าว “องค์ราชินี โปรดให้อภัยผู้น้อยด้วยเถิด”

 

ด้วยคำหยอกล้อนี้ บรรยากาศจึงค่อนผ่อนคลายลง ทั้งสามสนทนากันจนกระทั่งอาหารยกมาเสิร์ฟ

 

ในช่วงท้ายของวัน บรรดาเหล่านักเรียนที่ต่อให้จะปลุกพลังได้หรือไม่ ก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆต่อการดำรงชีวิตล้วนสนุกเฮฮา หัวเราะเบิกบานใจ

 

แต่ความเบิกบานที่ว่า ก็แตกสลายลงอย่างรวดเร็ว!

 

“ตูม!”

บังเกิดเสียงระเบิดครั้งใหญ่ ตลอดทั้งโรงแรมสั่นสะเทือน โต๊ะสะท้อนลอยขึ้นไปในอากาศด้วยแรงเขย่ามหาศาล อาหารและจานร่วงตกลงกับพื้น เสียงดังเพล้งพล้าง!

 

เหนือขึ้นไปในห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว โคมระย้าหักลง ร่วงกระแทกกับพื้น

 

แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด!

 

และเสียงระเบิดกระหึ่มออกมาจากผนัง กำแพงห้องขนาดใหญ่ถูกเป่าปลิวออกไป เนื่องจากห้องจัดเลี้ยงรุ่นของฉินเฟิง มันอยู่ในชั้นหนึ่ง ถนนด้านนอกเลยปรากฏสู่สายตาโดยตรง

 

“กรี๊ดดดดดดด!”

 

เพื่อนร่วมชั้นเริ่มกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

แต่ในทิศทางตรงกันข้ามเสียงกรีดร้องเหล่านี้ มันคือเสียงหัวเราะอันแสนป่าเถื่อนของกลุ่มคน พร้อมกันกับเสียงเครื่องจักรสาดกระสุนออกมา

 

“หลบเร็ว รีบหมอบลงกับพื้น!”

 

เสี่ยวจิงตะโกนเสียงดัง โฉบมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังอย่างรวดเร็ว และดึงอาวุธจักรกลออกมา

 

ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์เท่ากับปืนพลังงาน หากแต่แค่ปืนจักรกลก็เพียงพอแล้ว

 

“ปัง! ปัง!! ปัง!!!”

 

เสี่ยวจิงสะบัดหลังมือ เริ่มโจมตีสวนกลับไป

 

แต่อีกฝ่ายกลับสามารถหยุดการโจมตีของเธอได้อย่างรวดเร็ว แม้จะตระหนักได้ แต่เธอก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

 

ทางด้านฉินเฟิง เขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วยิ่งกว่า เจ้าตัวแทบไม่ต้องใข้สมองคิดสั่งการ สองมือคว้าขอบโต๊ะแล้วจับมันพลิกกลับขึ้นมา แม้ตัวโต๊ะจะทำจากไม้หนาและหนัก หากแต่ปัจจุบันร่างกายของเขาแกร่งพอที่จะยกมันได้ -เจ้าตัวหยั่งเท้ารักษาสมดุลอย่างรวดเร็ว และระเบิดพละกำลังเหวี่ยงโต๊ะใหญ่ไปปิดรูกำแพงที่สาดกระสุนเข้ามา

“ปุ ปุ ปุ!”

 

พริบตานั้น โต๊ะตัวดังกล่าวก็เป็นหลุมบ่อไปด้วยรูกระสุน

 

“อ๊าาาาา!”

 

บรรดาเพื่อนร่วมชั้นกรีดร้องอีกครั้ง แต่เนื่องจากโต๊ะของฉินเฟิงช่วยบดบังภัยร้ายถึงตาย พวกเขาจึงรอดพ้น และเริ่มพากันวิ่งหลบหนีไป

 

ทว่าไม่นาน ชายที่เสียงหัวเราะฟังดูน่ากลัวจากข้างนอกก็เหวี่ยงขาเตะโต๊ะอย่างกระทันหัน ภายใต้ฝ่าเท้าของเขา โต๊ะแยกออกจากกันทันที

 

นี่คือพละกำลังระดับผู้ใช้วรยุทธโบราณ!

 

แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามา

 

คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่งกายด้วยชุดสีดำ แต่ละคนสวมหน้ากากสีดำที่มีลวดลายแมงมุมสีขาวที่มีแปดกรงเล็บ ดูน่าเกลียดน่ากลัว

 

“นั่นมันกลุ่มแมงมุมดำ!”

 

“พวกองค์กรร้ายต่อต้านมนุษยชาติ!”

 

ในเวลานี้ นักเรียนทุกคนเหมือนพอจะคาดเดาเหตุการณ์ทั้งหมดกันได้แล้ว

 

“โถ่ ไม่นะ ฉันยังไม่อยากตาย ใครก็ได้ช่วยฉันที!!”

 

ทุกคนกรีดร้อง แต่ท่ามกลางความโกลาหล กลับมีบางคนเปิดฉวยโอกาสเปิดประตูห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว และวิ่งหนีออกไป

 

แต่บางคนที่ยืนอยู่ไกลก็ทำได้เพียงยกมือกุมหัว นอนราบกับพื้น หลบเลี่ยงกระสุนปืน ไม่กล้าแม้จะเงยหน้าขึ้นมอง

 

นอกจากนี้ ยังมีเพื่อนร่วมชั้นบางคนเพิ่งถูกยิงด้วยปืนจักรกลจากในตอนแรก ล้มลงนอนกับพื้นโหยหวนอย่างน่าเวทนา

 

เมื่อเห็นถึงฉากนี้ แววตาของฉินเฟิงก็พลันแดงฉาน!

 

พวกสารเลว!

 

เขากำมือแน่น เอื้อมไปคว้ากล่องทรงกระบอกด้านหลัง เปิดฝามัน และดึงมีดกษัตริย์ครามออกมา!

 

“ไอ้บัดซบตัวไหนกันที่มันกล้ายิงปืนกลับมา ทำให้บิดาเสียเวลาซะได้!”

 

ท้ายที่สุดแล้ว เสี่ยวจิงยังคงเป็นเพียงนักเรียนที่เพิ่งปลุกพลังได้เท่านั้น และการยิงปืนก็ไม่ใช่จุดแข็งของเธอ และปัจจุบันปืนในมือของเธอก็พังลงแล้ว มิสามารถใช้ต่อสู้ได้อีกต่อไป

ชายในกลุ่มแมงมุมดำหันไปมองรอบๆ และตะโกนอย่างกระทันหัน “ลากตัวผู้หญิงทั้งหมดมาให้บิดา ส่วนตัวผู้เชือดทิ้งให้หมด!”