บทที่ 194.2 กำจัดปีศาจและปราบมาร

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 194.2 กำจัดปีศาจและปราบมาร โดย ProjectZyphon

ร่างจิ้งจอกสีแดงเพลิงที่อยู่บนศีรษะเฉาจวิ้นระเบิดเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็กลับคืนสภาพเดิมอยู่บนหลังคา เพียงแต่ว่าชั่วเสี้ยววินาทีร่างของมันก็ระเบิดอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา จากหลังคาบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉาไปจนถึงบ้านข้างๆ แล้วก็ลากยาวไปเรื่อยจนกระทั่งออกจากตรอกหนีผิง จิ้งจอกแดงเพลิงถึงพ้นจากหายนะ ประกายสดใสในดวงตาของมันหม่นมัว เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันนั่งขัดสมาธิอยู่บนชายคาบ้านหลังหนึ่งแล้วเริ่มเข้าฌานทำสมิ

เฉาซีไม่มีเมล็ดแตงให้แทะแล้ว จึงปัดมือลุกขึ้นยืน เดินกลับเข้าไปในลานบ้านพร้อมสั่งความเฉาจวิ้น “ช่วงนี้เจ้าก็เลิกร้อนรุ่มวุ่นวายใจได้แล้ว ตอนนี้ราชวงศ์ต้าหลีคือสถานที่ที่ต้องช่วงชิง ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด”

เฉาจวิ้นเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เข้าใจแล้ว”

“เข้า ใจ แล้ว?”

เฉาซีเน้นย้ำทีละคำ สุดท้ายหัวเราะหยัน “สามคำนี้ เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดออกมาจากปากด้วยซ้ำ” (เข้าใจแล้วในที่นี้คือ 知道了หากแยกทีละคำจะแปลว่า รู้/เข้าใจ ในมรรคา แล้ว)

เฉาจวิ้นเอ่ยอย่างไม่แยแสโลก “รู้แล้วน่า”

เฉาซีก้าวยาวๆ เข้าไปในบ้านพลางสบถอย่างเคียดแค้น “สวะขอบเขตเก้า!”

เฉาจวิ้นสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน

เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของบ้านติดกัน ยื่นถังน้ำคืนให้กับเด็กสาว ถามชวนคุย “ซ่งจี๋ซินไม่ได้กลับมาด้วยหรือ?”

นางตอบไม่ตรงคำถาม “แม่ไก่กับลูกเจี๊ยบฝูงนั้นของข้าอยู่ที่ไหน?”

เฉินผิงอันทำหน้าเหรอหลา “ข้าไม่รู้หรอก”

เด็กสาวมองประเมินเด็กหนุ่มอย่างละเอียดแล้วพลันยิ้มกว้างสดใส ไม่ซักไซ้ถามเรื่องเดิมอีก แต่นางยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ทำมือวาดท่าประกอบ “ตอนนี้ซ่งมู่สูงกว่าเจ้าตั้งเท่านี้แล้ว”

เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งทีแล้วหมุนตัวเดินกลับบ้านตัวเอง

เขาเพิ่งจะไขกุญแจเดินเข้าไปในบ้าน ก็เห็นทันทีว่าตัวอักษร ‘ฝู’ กลับหัวที่แปะไว้เหนือประตูบ้านตัวเองหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาพลันโมโหเดือดดาล เดินดิ่งเข้าไปที่กำแพงบ้านซึ่งกั้นกลางระหว่างสองบ้านทันที “จื้อกุย ตัวอักษรฝูในบ้านข้าหายไปไหน?!”

จากนั้นเขาที่เดือดจัดก็กลับหัวเราะ ที่แท้ตัวอักษรฝูตัวนั้นไปแปะอยู่บนประตูบ้านของบ้านข้างๆ

โจรคนนี้ช่างใจกล้าเทียมฟ้าซะจริง

เด็กสาววางถังน้ำไว้ในห้องครัวแล้วเดินนวยนาดออกมา พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าไม่รู้หรอก”

คำตอบเหมือนกันกับเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเดือดดาล “คืนมาให้ข้า!”

จื้อกุยเบิกตาโต “แล้วทีเจ้าไปขยับหุ่นไม้ที่ข้าตั้งใจวางไว้ในห้องครัว ข้ายังไม่ว่าอะไรเจ้าเลยนะ”

เฉินผิงอันพลันพูดไม่ออก เพราะเขาทำอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ

จู่ๆ จื้อกุยก็ถามว่า “ฉีจิ้ง…ที่โรงเรียนของอาจารย์ฉี เจ้าไปแปะกลอนปีใหม่หรือยัง?”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ไปแปะแล้ว ทั้งกลอนปีใหม่และตัวอักษรฝู”

เฉินผิงอันไม่อยากจะทะเลาะกับนางจึงเดินเข้าไปในห้องแล้วหยิบตัวอักษรฝูที่เหลือออกมา หาบันไดมาวางพาดแล้วติดตัวอักษรฝูกลับหัวตัวใหม่อีกครั้ง

เด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงกำแพงบ้านเอ่ยเตือน “เบี้ยวแล้ว”

เฉินผิงอันไม่สนใจ ใช้ปลายนิ้วแตะแป้งเปียกเข้ากับกระดาษสีแดงสดปลั่งเบาๆ

เด็กสาวกล่าวอย่างร้อนใจ “จริงๆ นะ ข้าจะหลอกเจ้าไปไย ทำไมเจ้าเฉินผิงอันถึงไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นบ้างนะ หากติดตัวอักษรฝูเบี้ยวจะไม่เป็นมงคล”

เฉินผิงอันเดินลงบันได เงยหน้าขึ้นมองด้วยตัวเอง ไม่เบี้ยวจริงๆ

เด็กสาวยังคงพูดจ้อไม่หยุด “เบี้ยวจริงๆ ถ้าไม่เชื่อเจ้าให้พวกผู้ฝึกตนอย่างเฉาซีมาดูสิ แล้วจะรู้ว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า เจ้ามีสายตาของมนุษย์ธรรมดา ต่อให้จะสายตาดีแค่ไหนก็สู้พวกเราไม่ได้”

เฉินผิงอันเดินเข้าไปในบ้าน ปิดประตูตามหลังดังปัง

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เด็กหนุ่มก็เขย่งปลายเท้ามาเปิดประตู ย่องข้ามธรณีประตูออกมาอย่างเงียบเชียบ เบิกตากว้างจ้องเขม็งไปยังตัวอักษรฝูตัวนั้น

ไม่ได้เบี้ยวสักหน่อย

จื้อกุยแง้มประตูเปิดด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ยื่นหน้าออกมาพูดอย่างเคร่งเครียด “เบี้ยวจริงๆ”

เฉินผิงอันรู้สึกอัดอั้นตันใจเล็กน้อย เขาไปยกม้านั่งมานั่งอาบแดดตรงหน้าประตู ผ่านไปครู่หนึ่งก็เริ่มฝึกขึ้นรูปเครื่องปั้น

จื้อกุยยืนอยู่ตรงกำแพงในลานบ้านตัวเอง มองเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เป็นช่างเผาเครื่องปั้นอีกแล้ว มองอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงกลับไปนอนในห้องตัวเอง

นางนอนลงบนเตียง กลืนน้ำลายหนึ่งอึก ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉาเคยมีคนจิ๋วควันธูปก่อกำเนิดมาคนหนึ่ง ระดับสูงมาก ร่างเป็นสีทองอร่าม ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะเป็นสีทองทั้งร่างแล้ว แต่น่าเสียดายที่ยังไม่พอจะยัดซอกฟันของนาง

……

เฉินผิงอันที่อยู่บ้านข้างๆ ฝึกการขึ้นรูปดินเหนียวอย่างคุ้นเคย จิตใจนิ่งสงบดุจผืนน้ำ

ตอนที่หยุดพัก เฉินผิงอันเริ่มวางแผนอนาคตให้กับตัวเอง ภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋นและภูเขาเซียนฉ่าวล้วนอยู่ใกล้กับภูเขาของตระกูลหร่วน เดิมทีตามข้อตกลงเดิมคือจะให้หร่วนฉงเช่าพื้นที่ภูเขาทั้งแถบนั้นโดยไม่คิดค่าตอบแทน เท่ากับช่วยให้หร่วนฉงได้ยึดครองพื้นที่ที่กว้างใหญ่ที่สุดทางฝั่งทิศตะวันตก ส่วนหร่วนฉงก็จำเป็นต้องช่วยเฉินผิงอันดูแลภูเขาทั้งห้าลูก หลีกเลี่ยงไม่ให้เฉินผิงอันมีเงิน แต่ไม่มีชีวิตให้ใช้เงิน สำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันรู้สึกซาบซึ้งใจในบุญคุณของหร่วนฉงอย่างยิ่ง

ไม่พูดถึงภูเขาเจินจู สถานที่ใหญ่เพียงเท่านั้น เป็นดั่งประโยคที่ว่าสตรีที่ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีข้าวก็ทำกับข้าวไม่ได้ *(เปรียบเปรยว่าเมื่อขาดแคลนเงื่อนไขที่จำเป็น ต่อให้เป็นคนเก่งแค่ไหนก็ยากที่จะทำได้สำเร็จ)*อย่าว่าแต่สร้างถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเลย ต่อให้แค่ขึ้นไปสร้างกระท่อมสักหลังบนนั้น เกรงว่าคงมีแต่เฉินผิงอันเท่านั้นที่เต็มใจจะใช้เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญไปอย่างสิ้นเปลือง

แต่กิจการบนภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องทุ่มเทแรงใจอย่างแท้จริง

ความแตกต่างของเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันรู้ดีอยู่แก่ใจ อีกทั้งภูเขาลั่วพั่วยังมีศาลเทพภูเขาช่วยสยบโชคชะตาน้ำและภูเขา เป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีงูดำตัวหนึ่งที่ใกล้จะได้ลงน้ำกลายเป็นเจียวทำหน้าที่เฝ้าบ้าน ตอนนี้ยังมีเด็กน้อยที่เป็นเผ่าพันธ์ของเจียวหลงเพิ่มมาอีกสองคน ดังนั้นเขาถึงได้คิดจะใช้หินดีงูธรรมดาแลกเอาเงินมาจากเด็กชายชุดเขียว อาจไม่ถึงขั้นทำให้ภูเขาลั่วพั่วกลายเป็นอ่างสมบัติ แต่ดีชั่วก็ขอให้มีความหวังว่าอนาคตจะมีรายได้เข้ามาให้ใช้จับจ่ายในครอบครัว

เฉินผิงอันรักเงินก็เพราะรู้มาตั้งแต่เล็กว่าเงินหายาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเฉินผิงอันมีเงินแล้วจะกำถุงเงินเอาไว้แน่น

กระบี่ ต้องฝึก แต่หากยังไม่แน่ใจว่าควรจะฝึกกระบี่อย่างไรนั้น ร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์

ส่วนตำราหมัดเขย่าขุนเขาแน่นอนว่าต้องมุมานะฝึกฝนอย่างยากลำบากต่อไป เพราะอย่างไรซะก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะฝึกได้หนึ่งล้านครั้งอย่างที่เคยพูดไว้

เรื่องเขียนยันต์ เนื่องด้วยเดิมทีก็ถือเป็นวิธีการฝึกวรยุทธ์อีกรูปแบบหนึ่งอยู่แล้ว อย่างแรกเน้นในด้านการฝึกฝนร่างกาย อย่างหลังโน้มเอียงไปทางการชำระล้างช่องโพรงลมปราณในร่าง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ขัดแย้งกัน กลับยังส่งเสริมเกื้อหนุนกันอย่างดี เฉินผิงอันก็แค่ดึงเวลาส่วนหนึ่งจากการฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งมาใช้เขียนยันต์ แต่จะเขียนยันต์จำเป็นต้องใช้กระดาษยันต์ กระดาษยันต์ก็คือเงินทองที่ต้องจ่ายออกไป นี่จึงทำให้เฉินผิงอันกลุ้มใจอย่างอดไม่ได้

สรุปแล้วก็คือยังหาเงินได้น้อยเกินไป

นอกจากเรื่องพวกนี้ สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันเสียดายที่สุดในตอนนี้ก็คือไม่สามารถควบคุมวัตถุฟางชุ่นที่วิญญาณกระบี่มอบให้ได้ แม้จะบอกว่าเอาทรัพย์สินส่วนใหญ่ไปไว้ที่ร้านตีเหล็ก เขาเองก็วางใจ แต่ยังไงก็ไม่สะดวกอยู่ดี วัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่น *(วัตถุขนาดเล็กที่มีพื้นที่เก็บของมาก แต่จื่อชื่อจะมีขนาดบรรจุใหญ่กว่าฟางชุ่น)*ของชุยตงซานกับเด็กชายชุดเขียวทำให้เฉินผิงอันได้เห็นถึงประโยชน์อันล้ำค่าของสมบัติชนิดนี้ มิน่าเล่าเทพเซียนบนภูเขาถึงได้มีกันทุกคน

เฉินผิงอันมองไปทางทิศใต้ ไม่รู้ว่าช่างหร่วนหลอมกระบี่ไปถึงไหนแล้ว

หร่วนฉงเคยรับปากแม่นางหนิงว่าจะสร้างอาวุธเทพชิ้นหนึ่งให้กับนาง

หากวันใดเขาหลอมสำเร็จ นางก็จะมีกระบี่ประจำกายที่เหมาะมือเล่มหนึ่ง ส่วนตัวเขาก็มีกระบี่ไม้ไหวเล่มหนึ่ง

เฉินผิงอันรู้สึกว่าตั้งชื่อให้พวกมันว่า ‘กำจัดปีศาจ’ กับ ‘ปราบมาร’ คงไม่เลวเลยทีเดียว

บวกกับตัวอ่อนกระบี่ชิ้นนั้น แม้ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจะบอกว่ามันชื่อ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าหากเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ชูอี’ *(อันดับหนึ่ง/แรกสุด/ วันแรกของทุกเดือน)*หรือ ‘รุ่งเช้า’ จะเหมาะสมยิ่งกว่า เพราะเช้าตรู่ของวันที่หนึ่งเดือนหนึ่งเป็นครั้งแรกที่มันปรากฎตัวบนโลกใบนี้ด้วยลักษณะของกระบี่

ขณะที่ในหัวของเฉินผิงอันมีความนี้ผุดขึ้นมา ตัวอ่อนกระบี่ที่เดิมทีอยู่ในมหาสมุทรลมปราณเงียบๆ มานานก็เริ่มออกฤทธิ์ก่อคลื่นสร้างมรสุมทันที

และเพียงแค่ชั่วพริบตาทั่วหน้าของเฉินผิงอันก็แดงก่ำ เริ่มเผชิญกับเคราะห์กรรมอีกครั้ง

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ทันเดินเข้าไปในห้อง จึงได้แต่ใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูรับมือกับการตอบโต้ที่มาเยือนอย่างฉับพลันของตัวอ่อนกระบี่

เจ็บปวดทรมานจนพูดไม่ออก

……

ทางฝั่งของจุดพักม้าที่อยู่ใกล้กับเมืองเล็กมากที่สุด ช่วงที่ผ่านมานี้ราชครูชุยฉานแห่งราชวงศ์ต้าหลีพักอยู่ที่นี่ตลอดเวลา ทั้งไม่ได้เปิดเผยตัวอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ไม่ได้อำพรางร่องรอยการเดินทาง

วันนี้ราชครูเดินออกจากจุดพักม้า เดินทางไกลไปเพียงลำพัง ไม่ให้มือกระบี่สวี่รั่วติดตาม

ทุกครั้งที่ชุยฉานก้าวออกมาหนึ่งก้าวก็เป็นระยะทางสามสี่ลี้ สุดท้ายเขามายืนอยู่กลางทางที่เล็กเหมือนไส้แกะเส้นหนึ่ง ขวางทางผู้เฒ่าเสื้อผ้ามอซอขาดวิ่นผู้หนึ่งเอาไว้

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าสภาพกระเซอะกระเซิงมองราชครูต้าหลีที่สวมชุดลัทธิขงจื๊ออย่างเหม่อลอย เส้นสายตาขุ่นมัว เขายังคงไม่คืนสติ ได้แต่อาศัยไหวพริบที่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยถามคำถามประหลาดออกมา “ไม่ใช่หลานชายของข้า หลานชายข้าล่ะ?”

สีหน้าชุยฉานซับซ้อน ขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด

ผู้เฒ่าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยเศษหญ้าดินโคลนถามต่อ “หลานชายข้าล่ะ ข้าไม่อยากพบเจ้า ข้าอยากพบหลานชายของข้า”

ชุยฉานยืนสองมือไพล่หลัง สิบนิ้วที่สอดประสานกันสั่นน้อยๆ

ผู้เฒ่าไม่สวมรองเท้า สติไม่สมประดีพลันแผดเสียงอย่างเดือดดาล “หลานชายข้าอยู่ไหน?! เจ้าเอาเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน! รีบคืนฉานเอ๋อร์มาให้ข้า!”

กล่าวมาถึงตรงนี้พลังอำนาจของผู้เฒ่าก็ดิ่งฮวบลงเหว พึมพำเสียงแผ่ว “ข้าจะเปลี่ยนชื่อให้หลานชาย เปลี่ยนเป็นชื่อที่ดียิ่งกว่าเดิม…”

สีหน้าชุยฉานทั้งเศร้าทั้งขมขื่น เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เสมือนอยู่กันคนละโลก ไม่ใช่แค่เสมือน แต่เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นความจริง”

ผู้เฒ่าที่อาภรณ์ขาดรุ่งริงยื่นมือข้างหนึ่งมาผลักไหล่ชุยฉาน ส่วนตัวเองเดินดิ่งไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง “เจ้าถอยไป อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลาตามหาฉานเอ๋อร์ ข้าจะต้องไปหาอาจารย์ของเขา ถามเขาว่าชื่อใหม่ที่ข้าตั้งให้ดีหรือไม่ดี”

ชุยฉานยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ห้ามปราม

เขาทอดสายตามองไปยังทิศไกล มีหลวงจีนวัยกลางคนใบหน้าเด็ดเดี่ยวผู้หนึ่งเดินมาช้าๆ

หลวงจีนบำเพ็ญทุกรกิริยาโดยใช้สองเท้าวัดขนาดฟ้าดินก็เพื่อผู้บำเพ็ญตบะชาวพุทธ

 —–