ตอนที่ 46 สวัสดิการใหม่
วันถัดมา วันอาทิตย์
ฟางผิงตื่นขึ้นมาก็ฝึกท่ายืนพักหนึ่ง ก่อนจะไปอาบน้ำ วางแผนจะไปบ้านใหม่
ฟางหยวนยังไม่ตื่นนอน ฟางผิงก็ไม่คิดปลุกเธอ
เรียกเจ้าตัวแสบ เขาจะออกไปข้างนอกไม่สะดวกมากกว่า
ตอนที่กำลังจะออกจากประตู มือถือที่อยู่ในกระเป๋าก็สั่นขึ้นมา
เขาควักออกมาดู ก่อนจะนึกไม่ถึงอยู่บ้าง “พี่หวัง มีธุระอะไรรึเปล่า?”
โดยปกติฟางผิงมักจะเป็นฝ่ายโทรไปสอบถามเรื่องฝึกวิชากับเขา
หวังจินหยางไม่เคยเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาก่อน
“ฝึกวิชาเป็นไงบ้าง?”
“พอใช้ได้ รู้สึกว่าก้าวหน้าไม่น้อย”
ฟางผิงไม่ได้บอกว่าตัวเองทะลวงจวงกงระดับหนึ่งแล้ว เขากลัวว่าหวังจินหยางจะตกใจ
หวังจินหยางก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ ฟังจากน้ำเสียงของฟางผิง คงจะฝึกราบรื่นดี
ในมือของฟางผิงยังมีทรัพยากรอยู่ จะก้าวหน้าไวก็เป็นเรื่องปกติ
“ผู้ว่าจางทะลวงขั้นเจ็ดแล้ว”
“หือ?”
ฟางผิงแปลกใจอยู่บ้าง จู่ๆ หวังจินหยางมาบอกเรื่องนี้กับเขาทำไม
กลับมาเกิดใหม่วันแรก หยางเจี้ยนก็เล่าเรื่องที่ผู้ว่าจางของหนานเจียงกำลังจะทะลวงขั้นเจ็ดแล้ว
แต่เวลานั้นยังเป็นแค่ข่าวซุบซิบ ตอนนี้เป็นจริงซะแล้ว
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกนายว่า ถ้าผู้ว่าจางทะลวงขั้นเจ็ดได้ ก็จะอยู่ในระดับปรมาจารย์ สามารถชิงทรัพยากรให้หนานเจียงได้มากกว่าเดิม!”
“ในอดีตนักเรียนเกาเข่าของหนานเจียงที่มีคะแนนดีมักจะออกไปเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ที่อื่น มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงรวมทั้งมหาวิทยาลัยในพื้นที่หนานเจียงแต่ละแห่ง พูดแล้วอาจไม่น่าฟัง แต่ทุกปีที่เปิดรับนักเรียน ล้วนจะเป็นคนที่ไม่ถูกเลือกจากที่อื่นทั้งสิ้น”
“ปีนี้ผู้ว่าจางทะลวงขั้นเจ็ดได้ จึงหวังจะรั้งตัวผู้มีพรสวรรค์ให้อยู่ในมณฑลมากขึ้น ทรัพยากรที่เมื่อก่อนขาดแคลน ตอนนี้มีเพียบพร้อมหมดแล้ว!”
“เพื่อจะรั้งตัวนักเรียนหัวกะทิพวกนี้ไว้ ทางมณฑลจึงออกสวัสดิการใหม่”
ฟางผิงรีบถาม “สวัสดิการใหม่? สวัสดิการอะไร?”
“วิชาวัฒนธรรมต้องได้คะแนนดี แต่เรื่องสำคัญยังคงเป็นค่าปราณ”
หวังจินหยางเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อ “ปีนี้ถ้านักเรียนที่มีค่าปราณหนึ่งร้อยยี่สิบห้าขึ้นไป ยินดีสมัครเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ในเจียงหนาน ทางมณฑลจะมีทุนการศึกษาให้ ปราณถึงหนึ่งร้อยยี่สิบห้าแคล ได้ทุนการศึกษาหนึ่งแสน ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาสามเม็ด ปราณถึงหนึ่งร้อยสามสิบแคล ทุนการศึกษาสองแสน ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาสามเม็ด ขั้นหนึ่งอีกหนึ่งเม็ด ปราณถึงหนึ่งร้อยสามสิบห้าแคล เงินสดห้าแสน ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งหนึ่งเม็ด ยาเสริมสร้างกระดูกอีกหนึ่งเม็ด”
ราคาตามท้องตลาด ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งราคาสามแสน ยาเสริมสร้างกระดูกอีกห้าแสน!
“…”
ฟางผิงกำลังรออีกฝ่ายพูดต่อ แต่กลับไม่มีเสียงตอบมา
ฟางผิงรีบเอ่ยว่า “หลังจากนั้นล่ะ?”
“หลังจากนั้นอะไรอีก?”
หวังจินหยางเอ่ยอย่างขำๆ “ปราณเกินหนึ่งร้อยสี่สิบแคล คงจะไปสอบสองมหาวิทยาลัยดังแล้ว คนพวกนี้ไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร ถึงจะมีทุนการศึกษาให้ก็ยากจะรั้งตัวไว้อยู่ดี เป็นแบบนี้แล้ว ยังจะกำหนดสวัสดิการออกมาทำไมอีก? ท้ายที่สุดคนพวกนี้ก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ กลับจะสร้างเรื่องขบขันเท่านั้น สวัสดิการที่ออกมาตอนนี้เลยจำกัดค่าปราณที่หนึ่งร้อยสามสิบห้าแคลเท่านั้น ถ้ามีนักเรียนดีเด่นแบบนั้นอยากจะสมัครที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงจริงๆ ถึงเวลานั้นก็คงมีคนมาสัมภาษณ์นายเอง ยังจะกลัวเรื่องได้ทุนการศึกษาน้อยอีกทำไม?”
“ก็ถูก”
ระหว่างที่ฟางผิงพูด ก็ครุ่นคิดไปพลาง
เขามีค่าปราณหนึ่งร้อยสามสิบแล้ว ยังมีเวลาอีกสิบวัน หนึ่งร้อยสามสิบห้าแคลน่าจะไม่ใช่ปัญหา?
หากทำได้ถึงหนึ่งร้อยสามสิบแคลจริงๆ แค่ทุนการศึกษาก็แลกเปลี่ยนเป็นเงินได้กว่าหนึ่งแสนสามหมื่นแล้ว!
ทุนการศึกษานี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย
เงินมากขนาดนี้ ถึงมหาวิทยาลัยจะไม่ช่วยเรื่องทรัพยากร แต่ก็เพียงพอให้ทะลวงขั้นหนึ่งอยู่ดี
อย่ามองว่าตอนนี้ฟางผิงมียาบำรุงในมือมากมาย ทุนการศึกษาพวกนี้ไม่นับว่ามากสำหรับเขา
อย่าลืมว่าฟางผิงนั้นปล้นมาจากผู้ฝึกยุทธ์ที่ใกล้ทะลวงขั้นสาม นี่ถือเป็นกรณีพิเศษ
นักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ทั่วไป คิดจะรวบรวมเงินล้านโดยไม่พึ่งครอบครัวนั้นไม่มีหรอก
ในใจขบคิดเรื่องนี้ ฟางผิงก็เอ่ยว่า “พี่หวัง งั้นถ้าสมัครสองมหาวิทยาลัยดังด้วยปราณหนึ่งร้อยสามสิบห้า จะได้ทุนการศึกษาหรือเปล่า?”
หวังจินหยางหลุดขำ “ไม่ได้อยู่แล้ว! ปีก่อนเกณฑ์รับนักเรียนต่ำสุดของสองมหาวิทยาลัยดังคือหนึ่งร้อยยี่สิบห้าแคล ทั้งยังเป็นพวกที่คะแนนอื่นๆ สูงเกือบหมด นักเรียนโดยทั่วไปต้องมีค่าปราณประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบแปด ถึงจะสามารถเข้าสองมหาวิทยาลัยดังได้ แต่ถ้ามาตรฐานปีนี้ ฉันคาดว่าน่าจะหนึ่งร้อยสามสิบแคลขึ้นไป ในเจียงหนานปราณหนึ่งร้อยสามสิบห้านับว่าเป็นอัจฉริยะ แต่สำหรับสองมหาวิทยาลัยดัง ก็คงเป็นได้แค่พวกปลายแถว ฟางผิง บางครั้งยอมเป็นหัวหมาจะดีกว่าหางราชสีห์!”
หวังจินหยางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา “คนส่วนมากมักคิดว่าเป็นหัวหมานั้นเป็นการหลบหนี! ในความเป็นจริงนั่นเป็นการมองแคบเกินไป! สองมหาวิทยาลัยดังมีนักศึกษากี่คนกัน? นายอยู่ปลายแถว ใครจะสนใจนาย จะแย่งทรัพยากรของมหาวิทยาลัยได้เท่าไหร่ อาจารย์จะยอมสอนนายเพียงลำพังอย่างนั้นเหรอ? มหาวิทยาลัยมีของดี มีภารกิจดีๆ ทุนการศึกษาดีๆ จะยังตกถึงมือนายเหรอ? แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปก็ไม่เหมือนกันแล้ว! ส่วนถ้าจะบอกว่า คนรอบตัวนายอ่อนแอกันหมด เลยทำให้นายอ่อนแอตาม…”
หวังจินหยางพูดกระตุ้นความสนใจ “ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเสมอไป! ถ้านายคิดว่าไม่มีความกดดัน ก็สามารถสร้างขึ้นเองได้ อย่างเช่นไปก่อเรื่องที่สองมหาวิทยาลัยดัง ถูกอัดกลับมาปางตาย นั่นก็ทำให้มีแรงผลักดันแล้ว ถึงเวลานั้น เพื่อรักษาชื่อเสียง มหาวิทยาลัยก็คงไม่เสียดายทรัพยากรให้นายพัฒนาตัวเองหรอก แต่หากนายเป็นนักศึกษาธรรมดาในมหาวิทยาลัยดัง มาหาเรื่องที่มหาวิทยาลัยพวกฉัน ถูกตีปางตายก็คงไม่มีคนสนใจนายหรอก”
ฟางผิงได้ฟังก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เอ่ยว่า “พี่หวัง เรื่องนี้คงไม่ได้สัมผัสประสบการณ์มาด้วยตัวเองหรอกนะ?”
“แค่กๆ!”
หวังจินหยางไอแห้ง แต่นี่กลับถือเป็นคำตอบนัยๆ
เพราะเขาเคยทำเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ!
ตอนที่ทะลวงขั้นหนึ่ง ใช้ทรัพยากรที่มหาวิทยาลัยจัดสรรให้จนหมดแล้ว
เหล่าหวังจึงถือมีดเล่มใหญ่ไปก่อเรื่องที่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ปรากฏว่าถูกคนตีแทบปางตาย
พอกลับมหาวิทยาลัยมา ผู้มีอำนาจก็เลยตัดสินใจ ไม่อยากให้พวกมหาวิทยาลัยดังเห็นเป็นเรื่องตลก!
เหล่าหวังยังอนาคตไกล ไม่ใช่ว่าอีกนิดก็จะทะลวงขั้นสองได้แล้วเหรอ เรื่องนั้นจึงไม่มีปัญหา ทางมหาวิทยาลัยจะจัดการเรื่องทรัพยากรให้นายอย่างเต็มที่!
ทะลวงขั้นสองแล้วก็กลับไปจัดการมัน!
ด้วยเหตุนี้เหล่าหวังจึงทะลวงขั้นสองได้อย่างราบรื่น
แน่นอนว่า เรื่องนี้ทำครั้งเดียวยังพอว่า ถ้าทำสองครั้งแล้วยังพ่ายแพ้ ทางมหาวิทยาลัยคงไม่ออกหน้าอะไรอีกแล้ว
ทั้งยังต้องเป็นนักศึกษาดีเด่นเสียก่อน ไม่งั้นมหาวิทยาลัยคงไม่ยอมสิ้นเปลืองทรัพยากรไปกับคนที่ไม่มีอนาคตหรอก
ที่จริงเหล่าหวังเสียดายอยู่บ้าง ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาคงรอใกล้จะทะลวงขั้นสามก่อน ค่อยไปทำเรื่องแบบนี้ พลาดทรัพยากรที่มากกว่านี้ไปซะได้
ดีที่เขาได้พบฟางผิง ท้ายที่สุดจึงทะลวงขั้นสามอย่างราบรื่น
หวังจินหยางเบี่ยงไปประเด็นอื่น ก่อนเอ่ยว่า “วันนี้โทรมาหานายก็ตั้งใจจะพูดเรื่องพวกนี้ และหวังว่านายจะเพิ่มค่าปราณให้แตะหนึ่งร้อยยี่สิบห้าแคลก่อนวันตรวจร่างกายได้…”
“หนึ่งร้อยยี่สิบห้าแคล?”
ฟางผิงมุมปากกระตุก ดูถูกพรสวรรค์กันเกินไปแล้ว
หวังจินหยางเหมือนจะคิดอะไรได้ พูดเสริมว่า “ถ้านายไม่เสียดาย จะใช้ยาบำรุงทั้งหมด ก็อาจมีโอกาสแตะที่หนึ่งร้อยสามสิบ แต่ทำแบบนี้ไม่คุ้มค่ากับทุนการศึกษาที่ได้มาเท่าไหร่”
หากฟางผิงไม่เสียดายยาบำรุงจำนวนมากในมือ กินจนค่าปราณแตะที่หนึ่งร้อยสามสิบก็อาจจะเป็นไปได้
แต่กินยาบำรุงมากมายขนาดนี้ ต้องสิ้นเปลืองเงินเท่าไหร่กัน!
เพื่อแย่งชิงทุนการศึกษา นับว่าไม่คุ้มค่าเท่าไหร่
ค่อยๆ เพิ่มปราณยังจะดีกว่า ยังไงยาบำรุงก็ต้องใช้เวลาในการออกฤทธิ์ ถ้ากินจำนวนมากในเวลาสั้นๆ ก็จะสิ้นเปลืองยาเสียเปล่า
ฟางผิงไม่คิดอธิบายอะไร เอ่ยว่า “พี่หวัง ถ้าปราณผมสูงเกินไป จะดึงดูดความสนใจคนอื่น…”
“นายก็บอกว่าฉันเอายาบำรุงให้นาย พูดไปเถอะ ฉันไม่ว่าอะไร”
หวังจินหยางไม่คิดมาก ตามการคาดการณ์ของเขา แม้ฟางผิงจะใช้ยาบำรุงทั้งหมด ก็เต็มที่ได้แค่หนึ่งร้อยสามสิบแคลเท่านั้น
ตอนนี้ระยะห่างจากการสอบศิลปะการต่อสู้ก็มีไม่มากแล้ว ต่อให้จะซึมซับยาบำรุงได้เท่าไหร่ก็อยู่ในขีดจำกัด
ปราณเท่านี้ถือว่าไม่ต่ำแล้ว
อาจจะสร้างความตกใจเล็กๆ ให้กับเมืองหยางเฉิง
แต่ตอนนี้หวังจินหยางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม เป็นนักศึกษาที่มีพรสวรรค์ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้
จากความสามารถและตำแหน่งของเขา ดูแลรุ่นน้องคนหนึ่งจนมีค่าปราณหนึ่งร้อยสามสิบแคล คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
อันที่จริงตอนนี้ฟางผิงยังฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) และท่าจวงกง ทำให้สิ้นเปลืองค่าปราณมาก
หวังจินหยางคิดว่า ปราณแตะที่หนึ่งร้อยยี่สิบห้าก็ใช้ได้แล้ว
ส่วนจะมีคนคิดว่าเขาดูแลฟางผิงเกินหน้าเกินตาไปหรือไม่ หวังจินหยางกลับไม่สนใจสักนิด ถ้าไม่พอใจก็มาหาหวังจินหยางคนนี้สิ!
มีเหล่าหวังหนุนหลัง ฟางผิงคิดว่าเขาผ่อนคลายลงไม่น้อย
ในเมื่อเหล่าหวังพูดว่ามีปัญหาให้มาหาเขา งั้นถ้าปราณของฟางผิงแตะที่หนึ่งร้อยสามสิบห้าหรือหนึ่งร้อยสี่สิบ ก็คงไม่ต้องจงใจปิดบังความสามารถแล้ว
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงก็รีบขอบคุณเขา
หวังจินหยางไม่ใส่ใจมาก ท้ายที่สุดยังพูดด้วยความจริงใจ “ฟางผิง ฐานะแบบพวกเรานั้นเดินบนเส้นทางนี้ลำบากกว่าคนอื่น! อยากจะเดินให้ไกล ก็ต้องคว้าโอกาสที่เข้ามาให้หมด! ช่วงนี้พักเรื่องฝึกวิชาได้ก็พักไปก่อน การบีบอัดปราณจะทำให้ปราณลดลง เทียบกับการได้รับ (เคล็ดหลอมกระดูก) ล่วงหน้าแล้ว หยุดฝึกจะได้ประโยชน์เสียกว่า!”
นี่ถือเป็นคำพูดที่มาจากใจ
หวังจินหยางเข้าใจได้ คนที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ล้วนกระหายในวิชา แต่ตอนนี้วันตรวจร่างกายใกล้เข้ามาแล้ว
หากหยุดการฝึกไว้ก่อน ปราณของฟางผิงก็จะเพิ่มได้มากขึ้น
แต่ถ้าฟางผิงแตะถึงขีดกำจัดแล้ว (เคล็ดหลอมกระดูก) และท่าจวงกงก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งแล้ว
ฟางผิงก็ไม่คิดมาก ตอบรับด้วยรอยยิ้ม ขอบคุณเขาไปอีกครั้ง
—
วางสายแล้ว
ฟางผิงก็พึมพำ “คาดไม่ถึงว่าจะมีสวัสดิการให้ด้วย ดูท่าจะต้องเพิ่มปราณให้แตะหนึ่งร้อยสามสิบห้าขึ้นไปแล้ว”
“แต่ว่า…”
ฟางผิงลังเลอยู่บ้าง หากเขาแตะเกณฑ์ของสองมหาวิทยาลัยดังแล้ว เขายังจะสมัครมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เจียงหนานอยู่หรือเปล่า?
หากไม่สมัคร เขาก็คงไม่ได้ทุนการศึกษาพวกนี้
“ช่างเถอะ ไว้สอบเสร็จค่อยว่ากัน”
นอกจากสองมหาวิทยาลัยจะมีเงื่อนไขเรื่องปราณสูง แต่ภาคปฏิบัติ วิชาเฉพาะ วิชาวัฒนธรรมก็ต้องใช้คะแนนสูงทั้งสิ้น
ถึงฟางผิงจะมีค่าปราณถึงมาตรฐาน แต่เขากลับไม่มั่นใจเรื่องอื่น
รอสอบเสร็จแล้ว ถ้าเขาถึงเกณฑ์มาตรฐานของสองมหาวิทยาลัยดังจริงๆ ค่อยตัดสินใจเรื่องน่าปวดหัวนี้ก็ยังไม่สาย
“อีกอย่าง หวังจินหยางยังรู้ข่าววงใน เจ้าหมอนี่คงจะมีเส้นสายไปทั่ว”
ฟางผิงคิดจินตนาการไปเรื่อยเปื่อย หากเขาเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงจริงๆ
ถึงเวลานั้นข้ามหน้าข้ามตาเหล่าหวัง ก็ไม่รู้ว่าหมอนี่จะเสียใจทีหลังหรือไม่ที่ชักชวนเขาไปสมัครมหาวิทยาลัยเดียวกัน
—————–