บทที่ 225-4 การเสียสละของสวี่ชีอัน (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 225-2 การเสียสละของสวี่ชีอัน (2)

ในที่สุดเทพผู้สังหารก็หยุดกวัดแกว่งกระบี่พร้อมพยุงร่างไว้ แต่พวกกบฏไม่คิดโจมตีต่อ พวกเขาถือดาบสงคราม หน้าเคร่งขรึม ระแวดระวังและหวาดกลัว พวกเขาตกใจกลัวว่าตนอาจถูกฆ่า

“ยิงเขาด้วยหน้าไม้” เสียงจากบรรดาฝูงชนตะโกนขึ้นเสียงดัง

‘ผึง…’ สายธนูสั่นไหว ลูกธนูถูกยิงออกไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายอ่อนแรงหรือเพราะความประหม่า ลูกธนูหน้าไม้ที่เดิมทียิงมาหมายปักกลางหว่างคิ้วกลับเบี่ยงเบนเฉียดผ่านหนังศีรษะของสวี่ชีอันไป

แต่พวกกบฏกลับโห่ร้องออกมา

“เขาตายแล้ว เขาตายแล้ว…ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดไอ้สารเลวนั่นก็ตายเสียที”

“สับร่างเขาเสีย แก้แค้นให้พี่น้องของพวกเรา”

ทุกคนพลันพุ่งเข้ามาพร้อมกัน

แต่ในขณะนั้น กระบี่บินเล่มหนึ่งพลันโผล่มาจากกลางอากาศ วาดผ่านไปรอบๆ ฝูงชน ตัดศีรษะทหารที่อยู่ตรงแถวหน้า

หลังจากนั้น ทหารที่เหมือนกับเทพปีศาจได้บุกทะลุกำแพง นำทหารชุดเกราะกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามา

เวลานี้ยังเหลือพวกกบฏอีกกว่าสามร้อยคน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพที่แปลกประหลาดนี้ พวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าต้นกุยช่ายเลย ชีวิตคนถูกเก็บเกี่ยวไปคนแล้วคนเล่า ทหารล้มลงทีละคน ส่งกลิ่นคาวเลือดรุนแรงน่าขยะแขยง

หลังจากนั้นกองทัพนางแอ่นเหินที่จัดการพวกกบฏจนหมดเกลี้ยง ก็ได้พบเห็นภาพฉากที่ยากจะลืมเลือน

ตรงทางเข้าลาน ชายหนุ่มคนหนึ่งยังคงหยัดยืนขึ้นอย่างภาคภูมิ ร่างกายเต็มไปด้วยลูกธนูที่ปักอยู่ ใต้ฝ่าเท้ายังมีศพที่นอนเกลื่อนกลาด เขากำลังยืนอยู่บนภูเขาซากศพโดยใช้กระบี่พยุงร่างตนเองไว้

ไม่มีกลิ่นอายแห่งชีวิตหลงเหลืออยู่

หลี่เมี่ยวเจินที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มยืนอยู่ตรงหน้าเขา นึกไม่ถึงเลยว่าจะรู้สึกเหงาและเศร้าโศกได้ถึงปานนี้

เดิมทีหลี่เมี่ยวเจินที่เต็มไปด้วยความโกรธและขุ่นเคือง จินตนาการว่าหากเจอกันอีกครั้งจะต้องสั่งสอนเขาอย่างหนัก ทว่าตอนนี้กลับเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ตรงลำคอ

หลี่เมี่ยวเจินขอบตาแดงก่ำ “ข้าขอโทษที่มาช้าเกินไป”

“เมี่ยวเจิน…”

ทหารกองร้อยนายหนึ่งเดินเข้ามา สายตากลับจับจ้องอยู่ที่สวี่ชีอัน

‘แกร๊ง แกร๊ง’ เขายืนอยู่ที่เดิม ชุดเกราะกระทบกันเสียงดังขณะหันไปคารวะสวี่ชีอัน

‘แกร๊ง แกร๊ง…’ เสียงชุดเกราะกระทบกันดังสะท้าน ขณะเดียวกันกองทัพนางแอ่นเหินกว่าสี่ร้อยนายก็ก้มลงคารวะอย่างพร้อมเพรียง

พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าลานเป็นใคร ชื่ออะไร แต่พวกเขาก็แสดงความนับถือจากใจจริงออกมา

“เข้าไปดูว่าผู้ตรวจการยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

น้ำเสียงของหลี่เมี่ยวเจินดูว่างเปล่าเล็กน้อย

“ขอรับ!”

นายทหารกองร้อยอ้อมผ่านร่างสวี่ชีอันไป และวิ่งเข้าไปในลาน

ด้านหลังฝูงชน สาวงามล่มเมืองซูซูยืนอยู่ในมุมหนึ่งอย่างเงียบเชียบ พลางจับจ้องมองสวี่ชีอันด้วยสายตาเลื่อนลอย

“เจ้าโง่ไปแล้วหรืออย่างไร…”

‘ปัง…’

นายทหารกองร้อยผลักประตูออก เห็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ผู้ตรวจการจางอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ทว่าใบหน้าซีดเซียว

สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

นายทหารกองร้อยตะลึงงัน รีบเอ่ย “ข้าน้อยหลี่หู หัวหน้ากองร้อยจากกองทัพนางแอ่นเหิน พวกท่านรอดชีวิตแล้ว”

กองทัพนางแอ่นเหิน?!

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดกองทัพนางแอ่นเหินถึงมาปรากฏตัวที่นี่ แต่เสียงต่อสู้ด้านนอกได้หยุดลงแล้ว

พวกเขารอดแล้ว

ในสถานการณ์อันตรายถึงเพียงนี้ก็ยังมีทางรอด

“เฮ้อ…” ผู้ตรวจการจางที่ซวนเซไปมา เชือกที่รัดแน่นเป็นปมในใจท้ายที่สุดก็คลายออก เขาใช้แรงพยุงเก้าอี้ไว้ ไม่ยอมปล่อยให้ตนเองล้มลง

“หนิงเยี่ยนเล่า…” ผู้ตรวจการจางเอ่ยถาม “คนที่อยู่ด้านนอก ฆ้องทองแดงท่านนั้นเล่า”

หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่หลีกหนีจากความตายมาได้ต่างก็มองตรงไปที่เขา

ทันใดนั้นหัวหน้ากองร้อยหลบเลี่ยงสายตาเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาพวกเขาโดยตรง เห็นว่ามีความหวังอยู่ในดวงตาของพวกเขา ย่อมปรารถนาจะได้ยินข่าวดีออกจากปากของตนอย่างไม่ต้องสงสัย

“เขา…เสียชีวิตในสนามรบแล้วขอรับ”

ผู้ตรวจการจางรีบกระวีกระวาดพุ่งออกไปจากห้องโถง เดินผ่านลานกว้างมายังเบื้องหน้าร่างของสวี่ชีอัน

แต่สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ ทั่วร่างเต็มไปด้วยลูกธนูและบาดแผลที่ถูกแทง ไม่มีร่องรอยของการมีชีวิตหลงเหลืออยู่เลย

ฉับพลันเพลงสุดท้ายของชายหนุ่มก็ดังก้องอยู่ในหูของเขาอย่างไม่มีเหตุผล

“อัศวินหนุ่ม ร่วมมือกับเหล่าอัศวิน ปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความจริงใจ ครั้นพบเจออยุติธรรมพลันโกรธจนผมตั้งชัน ยืนขึ้นและพูดคุย ร่วมเป็นร่วมตาย สิ่งที่พวกเราชื่นชมคือความกล้าหาญที่โดดเด่น ดุร้ายและหยิ่งผยอง”

สิ่งที่พวกเราชื่นชมคือความกล้าหาญที่โดดเด่น ดุร้ายและหยิ่งผยอง…

ในเวลานี้ ผู้ว่าการล้มลงกับพื้น น้ำตาไหลอาบใบหน้า

ด้านนอกเมือง

ธนูยิงเรียงรายพุ่งเข้ามาเป็นแถว เสียงสายธนูดีดผึงก้องกังวาน ปืนใหญ่เมื่อถูกยิงออกไปแต่ละนัด ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่น

ลวดลายใต้ฝ่าเท้าของหยางเชียนฮ่วนส่องสว่าง มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป บางครั้งก็เป็นพายุลูกธนูที่บ้าคลั่ง เพิ่มพลังทะลุทะลวง หรือเปลี่ยนวิถีทางเพื่อไล่ล่าศัตรู

บางครั้งเปลวเพลิงก็ถูกเรียกออกมาเพื่อเพิ่มพลังให้กับการระเบิดของลูกกระสุนปืนใหญ่ บางครั้งก็เรียกกระแสไฟฟ้าออกมาเข่นฆ่าศัตรู

“ข้ามีความชำนาญค่ายกลสามสิบหกแบบ ในจำนวนยี่สิบแบบนั้นคือวิชาโจมตีและสังหาร การฆ่ามดปลวกเช่นเจ้า สามารถทำได้เพียงแค่สัมผัสปลายนิ้ว” หยางเชียนฮ่วนแค่นเสียง ‘หึ’ ในลำคอ

“หากเจ้าถอนคำพูดก่อนหน้านี้เสีย…”

“อะไร?”

พ่อมดแห่งความฝันผู้ซึ่งเรียกวิญญาณแห่งการต่อสู้มาหลายครั้ง ตกอยู่ในสภาพที่อับอาย แม้จะมีพลังต่อสู้อันไร้เทียมทาน กลับไม่มีทางสัมผัสถึงเนื้อตัวของหยางเชียนฮ่วนที่เชี่ยวชาญค่ายกลจากระยะไกลได้

“คำพูดที่ว่า ข้าต้องการช่วยเหลือคนที่อยู่ในกำมือของเจ้า แต่ยังมีคุณสมบัติไม่มากพอ ไอ้หนุ่ม เจ้ากระตุ้นความโกรธของข้าได้สำเร็จ”

“ถอนกลับแล้วจะอย่างไร แล้วหากไม่คิดถอนกลับอีกจะต่างอย่างไร”

“ถอนกลับก็ไปตกอยู่ที่เจ้า หากไม่คิดถอนกลับก็กลายเป็นขี้เถ้า พ่อมดแห่งความฝันเช่นพวกเจ้าไม่เก่งกาจด้านการโจมตีและสังหาร สนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพถึงจะเป็นสนามรบของพ่อมด แต่ที่นี่ข้าเป็นใหญ่”

“หากข้าคิดหนี เจ้าก็หยุดไว้ไม่ได้เช่นกัน”

พ่อมดแห่งความฝันชกไปกลางอากาศ ตบลูกกระสุนปืนใหญ่จนระเบิด เขาถูกแรงที่บ้าคลั่งผลักให้เซถอยหลัง

“ตอนนี้ผู้ตรวจการจางและเจียงลวี่จงตายตกไปแล้ว ตราบใดที่กองทัพซึ่งสั่งสมกำลังพลอยู่บนภูเขามาถึง เจ้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหนีเตลิดกลับไปยังเมืองหลวงเท่านั้น”

เอ่ยถึงจุดนี้ พ่อมดแห่งความฝันรู้สึกใจเสียทันที เขาขมวดคิ้ว ก้าวถอยหลัง พร้อมกับคำนวณที่นิ้วมือไปด้วย

ในฐานะนักพยากรณ์แล้ว อาการใจเสียถือเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง

“เป็นไปได้อย่างไรกัน…” พ่อมดแห่งความฝันอุทานด้วยเสียงขาดหาย

เขาคำนวณได้ถึงภัยอันตราย ที่แท้มาจากเจียงลวี่จงนี่เอง แต่ว่าตอนนี้เขาควรตายไปแล้ว ต้องไม่หลงเหลือพลังชีวิตอยู่ถึงจะถูก

ก่อนลงมือเขาเคยทำนายดวงชะตาแล้ว ปรากฏออกมาว่าวันนี้ทุกอย่างจะราบรื่นเป็นอย่างยิ่ง แต่พอมาถึงวันนี้และคำนวณดูอีกครั้งแล้ว ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปเสียหมด

หากอาการใจเสียปรากฏ ถือเป็นลางร้าย

ใครกันที่เป็นผู้คนปิดกั้นความลับแห่งสวรรค์

‘ตูม ตูม ตูม!…’

ณ สุดขอบฟ้า เงาร่างหนึ่งวิ่งตรงมาอย่างบ้าคลั่ง เมื่อครู่เขายังอยู่บนท้องฟ้าอันไกลโพ้น ต่อมาได้โผมาอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

เป็นเจียงลวี่จง ที่มีใบหน้าเคร่งขรึมและดวงตาแดงก่ำ

พลังปราณรุนแรงพลุ่งพล่านขึ้นราวกับคลื่นทะเล บ่งบอกถึงความโกรธแค้นอันไร้ที่สิ้นสุดของเจ้าตัว

จุดพักเปลี่ยนม้า ณ ห้องโถง

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวยืนเฝ้าอยู่ในห้องโถง ชั้นบนเหลือเพียงฆ้องทองแดงที่เฝ้าดูแลนักโทษอยู่เพียงคนเดียว

มีดพกของทั้งสองวางอยู่บนโต๊ะ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา นั่งเงียบๆ อยู่ในบรรยากาศเช่นนี้มาครึ่งชั่วยามแล้ว

ทันใดนั้น หูของทั้งสองขยับถี่ๆ ได้ยินเสียงล้อรถเคลื่อนเข้ามาหยุดอยู่ตรงปากประตูจุดพักเปลี่ยนม้า

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวรีบหยิบมีดพกวิ่งออกไป เห็นผู้ตรวจการจาง ฆ้องทองแดง และหลี่เมี่ยวเจินที่มัดผมหางม้ายืนอยู่ในลาน

ความโศกเศร้าฉายชัดบนใบหน้าของพวกเขา ทั้งหมดอยู่ในความเงียบ

“หนิงเยี่ยนเล่า สวี่หนิงเยี่ยนเล่า” ซ่งถิงเฟิงมองไปรอบๆ ในฝูงชน แต่ไม่เห็นเพื่อนร่วมงานของเขาเลย

“อยู่ด้านนอก” ฆ้องทองแดงท่านหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

เกิดเสียง ‘กึก’ ขึ้นในใจของซ่งถิงเฟิง เขารีบพุ่งตัวออกไปอย่างสุดชีวิต จากนั้นเขาเห็นร่างสวี่ชีอันอยู่ในรถม้าที่จอดอยู่ด้านนอกจุดพักเปลี่ยนม้า

ใบหน้าของเขามีเสื้อคลุมห่มอยู่ ซ่งถิงเฟิงมองออกทันทีว่าเป็นเขา เพราะกระบี่ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ซ่งถิงเฟิงยื่นมือที่สั่นเทา ออกไป ดึงเสื้อคลุมออกเล็กน้อย

ครึ่งชั่วยามก่อน เขายังเป็นสหายที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตอนนี้กลับไร้การตอบสนองใดๆ และคงไม่มีอีกตลอดกาล

ซ่งถิงเฟิงยืนอยู่ตรงนั้น ก้มศีรษะลง น่าจะประมาณห้าถึงหกวินาที หลังจากนั้นพลันเปล่งเสียง “อ๊าก…” ร้องไห้จนแทบขาดใจออกมา

“ขอแสดงความเสียใจด้วย…” ฆ้องทองแดงคนหนึ่งเดินเข้ามาทั้งน้ำตา

“ไสหัวไป!” จูกว่างเสี้ยวเตะเขาออกไป

ซ่งถิงเฟิงยังคงยืนไว้อาลัยอยู่ตรงนั้น “หลุมศพมารดาเจ้าเถอะ สหายพี่น้องของข้าจากไปทั้งคน เจ้ายังจะตอกย้ำให้ข้าเสียใจเพิ่มอีกรึ…พวกเจ้าคืนชีวิตพี่ชายมาให้ข้า คืนพี่ชายของมาเดี๋ยวนี้…ฮือๆๆ…”

ท่ามกลางโลกสีเทา สวี่ชีอันเห็นวัดเล็กๆ แห่งนี้อีกครั้ง ภายในวัดมีพระหนุ่มรูปงามนั่งอยู่

“ไต้ซือ…” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างเศร้าโศก “ดูเหมือนข้าจะตายตกไปแล้ว ข้าขอพูดคุยหารือกับท่าน ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่”

…………………………………………….