ตอนที่ 149 พยายามฆ่าตัวตาย

ชายาเคียงหทัย

“คุณหนูเยี่ย…” ซูจุ้ยเตี๋ยมองเด็กสาวที่ยังคงทำงานของตนไปตามปกติ นางขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “หรือว่าท่านไม่รู้แม้แต่ธรรมเนียมในการต้อนรับแขกอย่างนั้นหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นปรายตามองนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “ในใต้หล้านี้ มีคุณหนูตระกูลเยี่ยอยู่เต็มไปหมด แต่ชายาติ้งอ๋องมีอยู่เพียงผู้เดียว หากไป๋กุ้ยเฟยปฏิบัติตนอย่างแขกที่ดี ข้าย่อมรู้จักธรรมเนียมในการต้อนรับแขก ไป๋กุ้ยเฟย เชิญนั่ง เอาน้ำชาเข้ามาที”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยกัดปากรูปกระจับของตนเบาๆ นึกมั่นใจว่าเยี่ยหลีไม่มีทางเห็นตนอยู่ในสายตา นางส่งเสียงหึเบาๆ แล้วจึงหมุนตัวไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ

 

 

ไม่นานก็มีบ่าวยกน้ำชาเข้ามาวางไว้ให้ซูจุ้ยเตี๋ย ก่อนถอยกลับออกไปเงียบๆ

 

 

เมื่อเยี่ยหลีเขียนตัวอักษรตัวสุดท้ายลงบนฎีกาในมือของตนเสร็จ ถึงได้วางพูดกันลง เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับซูจุ้ยเตี๋ยว่า “ไป๋กุ้ยเฟยมีเรื่องอันใดหรือถึงได้มาหาข้า”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยเหลือบมองจั๋วจิ้งและหลินหานที่นั่งอยู่ เอ่ยว่า “จุ้ยเตี๋ยมีเรื่องอยากคุยกับพระชายาเป็นการส่วนตัว”

 

 

เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรอก พวกเขาทั้งสองมิได้เป็นเพียงผู้ช่วยชั้นดีของข้าเท่านั้น แต่ยังมีความจงรักภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องและตัวท่านติ้งอ๋องด้วย ไม่ว่าไป๋กุ้ยเฟยอยากพูดสิ่งใด ก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาหลบออกไปหรอก”

 

 

ในใจซูจุ้ยเตี๋ยนึกโมโหในความพูดยากของเยี่ยหลี แต่นางก็ไม่สามารถทำอันใดได้ ด้วยเพราะเยี่ยหลีแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจในสิ่งที่ตนจะพูดแม้แต่น้อย ช่วยไม่ได้ ซูจุ้ยเตี๋ยจึงทำได้เพียงถลึงตาจ้องเยี่ยหลี เอ่ยว่า “พระชายาไม่อยากรู้ถึงฐานะของข้าหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วยิ้มน้อยๆ พร้อมหันไปพูดกับหลินหานว่า “หลินหาน เอาฎีกาเมื่อครู่ให้ไป๋กุ้ยเฟยดูที”

 

 

หลินหานรับคำ ลุกขึ้นนำฎีกาส่งให้ซูจุ้ยเตี๋ย ซูจุ้ยเตี๋ยเหลือบมองเยี่ยหลีด้วยความประหลาดใจ ก่อนรับฎีกามาเปิดอ่าน ยิ่งอ่านสีหน้านางยิ่งขาวซีด ในฎีกาฉบับนั้น มีเรื่องราวและข้อมูลของนางในซีหลิงในช่วงหลายปีนี้โดยละเอียด

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยยามอยู่ในซีหลิง ต่อให้เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่และเรื่องของนาง มิได้เป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่ว แต่อย่างไรนางก็เป็นสนมที่ฮ่องเต้แห่งซีหลิงโปรดปรานเป็นที่สุด จะหายไปจากผู้คนและไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนางเลย คงเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่รู้ว่าไป๋หลงคือซูจุ้ยเตี๋ย แล้วคิดอยากสืบเรื่องของนาง ก็เป็นเรื่องง่ายเสียยิ่งกว่าง่ายเสียอีก

 

 

นางวางฎีกาในมือลงด้วยใบหน้าถอดสี ซูจุ้ยเตี๋ยเหลือบมองเยี่ยหลีที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย แล้วยิ่งรู้สึกอับอาย “เรื่องพวกนี้…เรื่องพวกนี้ซิวเหยาก็รู้หรือ”

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “กำลังเตรียมจะส่งไปให้ท่านอ๋องอยู่พอดี”

 

 

“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเอาให้เขาดู!” ซูจุ้ยเตี๋ยร้องเสียงแหลม

 

 

จั๋วจิ้งและหลินหานขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย มองสตรีผู้แสนงดงามที่ในที่สุดก็เสียกิริยา ด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยด้วย พระชายาของพวกเขาไม่มีทางทำกิริยาที่เสียมารยาทเช่นนี้เป็นแน่

 

 

เยี่ยหลียกน้ำชาบนโต๊ะขึ้นจิบ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจากรสขมของชาที่ค่อนข้างเย็น ก่อนเหลือบตาขึ้นเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “เหตุใดหรือ”

 

 

“เหตุใด…เหตุใด…เอาเป็นว่าข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเอาให้เขาดู!” ซูจุ้ยเตี๋ยเอ่ยอย่างดื้อรั้น

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไป๋กุ้ยเฟยเข้าใจผิดแล้ว ที่ข้าพูดหมายความว่า เหตุใดไป๋กุ้ยเฟยถึงคิดว่าข้าต้องฟังคำพูดของท่านด้วย?”

 

 

“เจ้า…” ใบหน้าซูจุ้ยเตี๋ยเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ดูเหมือนสงบจิตใจลงได้ นางกลับลงนั่งลงอีกครั้ง และถึงขั้นใช้มือจับชุดสีขาวที่นางสวมใส่อยู่ขึ้นมาด้วยท่วงท่าสง่างามอย่างยิ่ง ระบายยิ้มเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “ข้ารู้ว่าพระชายานึกริษยาข้าใช่หรือไม่ ก็ใช่ เพราะถึงอย่างไรข้าต่างหากที่โตมากับม่อซิวเหยาตั้งแต่เด็ก ต่อให้ก่อนหน้านี้ข้าทิ้งเขาไปด้วยเพราะความไม่รู้เดียงสาของข้า แต่ยามนี้ข้ากลับมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วซิวเหยาจะต้องให้อภัยข้า เจ้านึกกลัวเข้าให้แล้วใช่หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีนั่งมองซูจุ้ยเตี๋ยเงียบๆ ก่อนก้มหน้าลงอ่านฎีกาบนโต๊ะต่อไป

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยปิดปากหัวเราะหึหึ เอ่ยว่า “ข้ากับม่อซิวเหยาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ เขาไม่เคยยอมให้ข้าทำอันใดที่ต้องเหน็ดเหนื่อย เห็นแก่ที่เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ต่อไป เมื่อข้ากับซิวเหยากลับมาคืนดีกันแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้อยู่อย่างสบายก็แล้วกัน”

 

 

เยี่ยหลียกมือนวดขมับ มองหญิงสาวที่พูดเองเออเองอย่างมีความสุขแล้วได้แต่เบ้ปาก “ไปเชิญท่านอ๋องมาที บอกว่าไป๋กุ้ยเฟยเกิดป่วยขึ้นมาเสียแล้ว”

 

 

จั๋วจิ้งหน้าบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ม่อซิวเหยามาถึงในเวลาอันรวดเร็ว ยามที่เขาเข้ามา ซูจุ้ยเตี๋ยกำลังนิ่งอึ้งเบิกตามองเยี่ยหลีอยู่ ยามนี้ซูจุ้ยเตี๋ยเริ่มนึกเชื่อคำพูดของเจิ้นหนานอ๋องเสียแล้ว เยี่ยหลีเป็นสตรีที่รับมือยากที่สุดที่นางเคยพบมาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีความสามารถสูสีกับนางเมื่อสมัยอยู่เมืองหลวงของต้าฉู่ หรือฮองเฮาองค์ก่อนของซีหลิงที่เกือบเอานางถึงชีวิตหรือแม้แต่ฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ล้วนไม่เหมือนกับเยี่ยหลีเลยแม้แต่น้อย

 

 

ซูจุ้ยเตี้ยคิดว่าในชีวิตนี้ตนเจอคนมาจำนวนไม่น้อยแล้ว แต่ไม่เคยพบสตรีเช่นเยี่ยหลีมาก่อน ไม่ว่าจะยั่วยุให้ขัดแย้งหรือยั่วโมโห ล้วนไม่มีผลอันใดกับนางทั้งสิ้น ประหนึ่งนางจะไม่มีวันโกรธ ไม่มีวันอิจฉากระนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้านาง ซูจุ้ยเตี๋ยรู้สึกเหมือนตนเองเป็นตัวตลกก็ไม่ปาน

 

 

“ซิวเหยา…” เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเดินเข้ามา ซูจุ้ยเตี๋ยก็กะพริบตาก่อนเดินเข้าไปรับ

 

 

ม่อซิวเหยายืนอยู่หน้าประตู กวาดตามองนางด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนเปลี่ยนไปมองเยี่ยหลีที่ยังคงนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสืออย่างรวดเร็ว เอ่ยถามเบาๆ ว่า “อาหลี มีอันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลียื่นคางชี้ไปทางซูจุ้ยเตี๋ยที่ยืนมองม่อซิวเหยาอยู่อย่างน่าสงสาร

 

 

ม่อซิวเหยาเดินไปนั่งลงข้างเยี่ยหลี “อาหลีจัดการตามที่เห็นควรก็แล้วกัน ข้ากำลังหารือธุระอยู่กับพวกแม่ทัพหลี่ว์แหนะ”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วยิ้ม “มิกล้า ไป๋กุ้ยเฟยโตมากับท่านอ๋องตั้งแต่เล็กๆ เชียวนะเพคะ ถึงอย่างไรก็คงมีความผูกพันธ์กันบ้าง”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เมื่อยามข้าเป็นเด็ก มีฐานะเป็นคุณชายรองแห่งตำหนักติ้งอ๋อง จะโตมาด้วยกันกับคุณหนูตระกูลไป๋แห่งซีหลิงได้อย่างไร”

 

 

เยี่ยหลีหรี่ตามองเขา “เช่นนั้นไป๋กุ้ยเฟย…”

 

 

“ไป๋กุ้ยเฟยมิใช่ตัวประกันที่พวกเราจับไว้ได้หรือ จะว่าไป การให้ตัวประกันเดินเล่นอยู่ในจวนเช่นนี้ ถือเป็นความบกพร่องของอาหลีนะ” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะ

 

 

“ซิวเหยา ท่าน…ท่านเห็นข้าเป็นตัวประกันหรือ”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยตัวแข็งไปทันที เอ่ยถามด้วยสีหน้าเศร้าโศก

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้ามีฐานะเป็นกุ้ยเฟยแห่งซีหลิง หากมิใช่ตัวประกัน เช่นนั้นเป็นข้าที่ร่วมมือกลับศัตรูทรยศแว่นแคว้น ลักลอบแอบซ่อนคนในราชวงศ์ของฝ่ายศัตรูอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ท่าน…ท่านใจร้ายนัก…” ซูจุ้ยเตี้ยมาทั้งสองที่นั่งเคียงกันอยู่ด้วยสีหน้าตัดพ้อ น้ำตาหยดลงมาเป็นสาย

 

 

ม่อซิวเหยาหัวเราะอย่างเยาะหยัน “เก็บท่าทางเช่นนั้นของเจ้าไว้เถิด เอามาใช้กับข้าก็เสียแรงเปล่า ข้ายังคิดว่า หานหมิงเย่ว์บอกเจ้าแล้วเสียอีกว่าข้าพูดอันใดกับเขา หรือว่า…เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่น?”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยตัวแข็งไป ถูกต้อง หานหมิงเย่ว์เคยบอกนางแล้ว แต่นางมั่นใจในความงามของตนเองมากเกินไป จึงคิดเอาเองว่านั่นเป็นเพราะม่อซิวเหยาไม่ได้พบหน้านางนานเกินไป หากเพียงม่อซิวเหยาได้เห็นนางตัวเป็นๆ จะต้องยอมให้อภัยนางอย่างแน่นอน

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจ้ามาปรากฏตัวเองก็ดี ข้ากำลังปวดหัวไม่รู้จะไปหาตัวหานหมิงเย่ว์ที่ใดพอดี สามสี่วันนี้เจ้าอยู่อย่างสงบในจวนนี้ไปก่อนก็แล้วกัน รอให้หานหมิงเย่ว์มาถึงก่อน ข้าจะได้คิดบัญชีกับพวกเจ้าพร้อมๆ กัน”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยอึ้งไปชั่วขณะ ถึงได้เอ่ยถามว่า “ในสายตาท่าน ข้ายังไม่สำคัญเท่าหานหมิงเย่ว์เลยหรือ ท่านเกลียดข้าถึงเพียงนี้ อย่างไรก็จะไม่อภัยให้ข้าหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “หานหมิงเย่ว์เป็นนายใหญ่แห่งเทียนอี้เก๋อ มีสายลับสืบข่าวไปทั่วใต้หล้า แล้วเจ้าเป็นผู้ใด”

 

 

ครานี้ ซูจุ้ยเตี๋ยนึกเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าม่อซิวเหยาไม่สนใจตนจริงๆ หานหมิงเย่ว์เป็นนายใหญ่แห่งเทียนอี้เก๋อ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ล้วนเป็นคนที่ม่อซิวเหยามิอาจมองข้ามไปได้ แต่นางเป็นผู้ใด หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าหรือ หากม่อซิวเหยาหลงใหลในความงามของนางให้จริงๆ ในยามนั้นนางจะตัดใจจากเขามาได้อย่างไร

 

 

“ข้ารักท่านอย่างไร…” ซูจุ้ยเตี๋ยเอ่ยพึมพำเสียงเบา ไม่ว่านางจะผ่านบุรุษมากี่คน แต่สิ่งหนึ่งที่แม้แต่ตัวนางก็ไม่อาจปฏิเสธได้คือ คนที่สามารถทำให้นางนึกรักใคร่ได้อย่างจริงใจก็คือบุรุษตรงหน้านางผู้นี้

 

 

ม่อซิวเหยาเหลือบมองเยี่ยหลีที่นั่งเท้าคางดูละครอยู่ข้างๆ ด้วยความน้อยใจเล็กน้อย อาหลีไม่คิดบอกรักเขามาก่อนเลย หากเป็นอาหลีที่พูดประโยคนี้…แค่เพียงคิดขึ้นลอยๆ ม่อซิวเหยาก็รู้สึกว่าหัวใจตนเต็มตื้นไปด้วยความปิติยินดีขึ้นมาทันที ความปิติที่เกิดขึ้นในใจประหนึ่งจะทะลักล้นออกมาจากหัวใจเขาได้กระนั้น

 

 

“ซิวเหยา…” เมื่อเห็นม่อซิวเหยาใจลอย ซูจุ้ยเตี๋ยเข้าใจไปว่าเขานึกหวั่นไหว ก้าวเข้าไปนึกอยากจับมือเขาไว้ด้วยความยินดี

 

 

ม่อซิวเหยาหลุบตาลง ดันมือซูจุ้ยเตี๋ยออกโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมอง “ในเมื่ออาหลีบอกว่าเจ้าป่วย ก็ไปหาหมอเสียเถิด จั๋วจิ้ง อีกเดี๋ยวไปเชิญท่านหมอไปที่เรือนไป๋กุ้ยเฟยที”

 

 

จั๋วจิ้งลุกยืนขึ้นรับคำ “ข้าน้อยรับบัญชา ไป๋กุ้ยเฟย เชิญ!”

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยกัดฟันกรอด ยกมือขึ้นปัดมือของจั๋วจิ้งออก หันกลับไปถลึงตาใส่ม่อซิวเหยา เอ่ยตัดพ้อว่า “ข้ารู้แล้ว ท่านไม่มีวันอภัยให้ข้าใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้น สู้ข้าตายเสียเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า!”

 

 

พูดจบ นางก็หมุนตัวพุ่งเข้าใส่เสาที่อยู่ข้างๆ โดยแรงทันที

 

 

จั๋วจิ้งยืนอยู่ห่างจากนางหนึ่งก้าว เดิมทีเขายกมือขึ้นจะคว้าตัวนางไว้ แต่ไม่รู้ว่าจั๋วจิ้งกำลังคิดสิ่งใดอยู่ มือที่ยกขึ้น ยังไม่ทันสัมผัสกับชุดของซูจุ้ยเตี๋ยก็กลับทิ้งลงดังเดิม ดังนั้น จึงได้ยินเพียงเสียงกระแทกเข้ากับเสาพร้อมทิ้งรอยเลือดเอาไว้ ร่างซูจุ้ยเตี๋ยอ่อนยวบลง ตัวค่อยๆ ทิ้งลงฟุบอยู่กับพื้น มีเลือดสดๆ ไหลตามใบหน้าลงมาจากหน้าผาก

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยเหลือบตาขึ้นมองม่อซิวเหยาที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างเยี่ยหลีไม่ขยับ กัดฟันเอ่ยว่า “ท่าน…ท่านใจร้ายนัก…”

 

 

เมื่อเห็นซูจุ้ยเตี๋ยสลบไป ในใจเยี่ยหลีนึกถอนใจ หากนางมิได้รู้ว่าซูจุ้ยเตี๋ยเป็นคนเช่นไร แล้วมาเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ นางคงอดรู้สึกสงสารนางไม่ได้ ซูจุ้ยเตี๋ยโหดร้ายกับตนเองพอดู แต่ก็โชคร้ายมากเช่นกันที่นางประเมินความใจร้ายของม่อซิวเหยาที่มีต่อนางผิดไป ผู้สืบทอดลำดับที่สองของตำหนักติ้งอ๋อง ติ้งอ๋องคนปัจจุบัน จะเป็นคนที่จิตใจมีเมตตา ใช้คุณธรรมในการตอบโต้ไปได้อย่างไร คนเช่นม่อซิวเหยานี้ เยี่ยหลีมิกล้าบอกว่ารู้จักเขาดี แต่อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่นางเข้าใจเขานั่นคือ ยามรักก็หวังให้มีชีวิตอยู่ไปนานๆ แต่ยามชังก็ต้องตายสถานเดียว หากนางเป็นซูจุ้ยเตี๋ย ชั่วชีวิตนี้นางคงไม่เลือกที่จะปรากฏตัวต่อหน้าม่อซิวเหยาอีกแล้ว

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองใบหน้างามที่มีรอยเลือดอาบอยู่ด้วยความเสียดาย เอ่ยถอนใจเบาๆ ว่า “ไม่รู้จะเสียโฉมหรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองนาง “อาหลีกำลังเป็นห่วงนางหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเบนสายตามองเขา ส่งเสียงหัวเราะอย่างเยาะหยัน “ไม่ ข้ากำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่ต่างหาก”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ยอย่างเข้าใจดีว่า “ข้าเข้าใจ อาหลีหึงเข้าให้เสียแล้ว อาหลีวางใจเถิด ในสายตาของข้า สตรีในโลกนี้นอกจากอาหลีแล้ว ไม่มีผู้ใดเข้าตาข้าอีก”

 

 

เยี่ยหลีส่งเสียงหึเบาๆ ไม่สนใจม่อซิวเหยาอีก แต่จากมุมปากที่ยกขึ้นน้อยๆ ของนาง ก็พอมองออกถึงความรู้สึกยินดีของนาง

 

 

ม่อซิวเหยานึกถอนใจน้อยๆ คิดหาวิธีว่าจะทำเช่นไรถึงจะทำให้เยี่ยหลียอมรับว่ารักตนได้

 

 

หลินหานและจั๋วจิ้งถอยออกไปตามหาคนมาพาสตรีผู้แสนงดงามที่นอนสลบอยู่กับพื้นกลับเรือนไปรักษาอย่างรู้งาน พระชายาไม่นึกสนใจนาง ดูแล้วท่านอ๋องก็ไม่มีอารมณ์มาสนใจนางเช่นกัน ถึงแม้บาดแผลบนศีรษะดูแล้วจะมิได้หนักหนาสักเท่าไร แต่หากนางเกิดโชคร้ายเล่า ในโลกนี้คงต้องขาดความงามไปอีกอย่างหนึ่งเสียแล้ว

 

 

เรือนที่ซูจุ้ยเตี๋ยพักอยู่ชั่วคราวนั้น เป็นเรือนหลังเล็กที่อยู่ค่อนข้างไกลในจวนผู้ว่าการ จวนผู้ว่าการ เมื่อเทียบกับตำหนักอ๋องหรือจวนขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงแล้ว ถือว่าไม่ใหญ่นัก เดิมทีที่มีครอบครัวของผู้ว่าการอยู่เพียงครอบครัวเดียว ย่อมดูว่ากว้างขวาง แต่ยามนี้ผู้ว่าการเมืองซิ่นหยางไม่รู้ไปอยู่เสียที่ใด ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่มิได้มีเพียงม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี ยังมีคณะของหนานโหวและผู้บัญชาการทหารระดับสูงส่วนใหญ่ที่ประจำการอยู่ในเมืองซิ่นหยางอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ซูจุ้ยเตี๋ยได้อยู่เรือนเล็กคนเดียวเดี่ยวๆ ก็ถือว่าต้อนรับนางดีมากแล้ว

 

 

เมื่อได้สติขึ้นมา ซูจุ้ยเตี๋ยยกมือขึ้นลูบหน้าผากก่อนเป็นอันดับแรก แผ่นผ้าหนาๆ บนหน้าผากและความเจ็บปวดที่พุ่งเข้าโจมตี ทำให้นางทั้งแค้นทั้งเสียใจ นึกแค้นที่ม่อซิวเหยาช่างไร้เยื่อใย วิทยายุทธของม่อซิวเหยาสูงส่งเพียงใดนางย่อมรู้ดี หากม่อซิวเหยาไม่อยากให้นางตาย นางไม่มีทางพุ่งชนเข้ากับเสานั้นอย่างแน่นอน และที่นางเสียใจก็คือนางใจร้อนเกินไป หากนางทำให้ความงดงามของตนต้องเสียหาย…เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซูจุ้ยเตี๋ยก็รีบลุกจากเตียงไปยังกระจกที่วางอยู่บนโต๊ะทันที

 

 

เรือนหลังเล็กแห่งนี้ บางทีอาจเป็นเรือนของอนุที่ไม่เป็นที่โปรดปรานของจวนผู้ว่าการอาศัยอยู่ ถึงแม้จะไม่ขาดของใช้สตรี แต่กลับไม่เหมือนของที่ซูจุ้ยเตี๋ยใช้อยู่จนเคยชินเลยแม้แต่น้อย ของเหล่านี้ไม่ปราณีตงดงามเอาเสียเลย แม้แต่กระจกก็ยังพร่ามัวมองไม่ชัดเจน

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยมองอยู่เป็นนานก็เห็นเพียงเงาในกระจกที่ดูเลือนลางและเห็นเพียงผ้าสีขาวหนาๆ บนหน้าผากเท่านั้น ด้วยความร้อนใจ ซูจุ้ยเตี๋ยยื่นมือไปหมายจะดึงผ้าบนหน้าผากออก

 

 

“ตายแล้ว…คุณหนูไป๋ แกะออกไม่ได้เจ้าค่ะ!” บ่าวที่คอยรับใช้ซูจุ้ยเตี๋ยเดินเข้ามาจากด้านนอก และเห็นท่าทางของนางเข้าพอดี จึงรีบเข้ามาดึงมือนางไว้

 

 

“บังอาจ!” นางใช้ชีวิตอย่างสตรีชั้นสูงมาหลายปี ผู้ใดเลยกล้าเสียมารยาทกับนางเช่นนี้ ซูจุ้ยเตี๋ยเอ่ยตะโกนเสียงเข้ม สาวใช้ผู้นั้นถึงกับตกใจ รีบเอ่ยว่า “ท่านหมอสั่งไว้ หากแผลยังไม่หาย คุณหนูอย่าได้ไปถูกมันเด็ดขาดเจ้าค่ะ หากเกิดเป็นรอยแผลเป็นเข้าคงจะไม่ดี”

 

 

เมื่อได้ยินสาวใช้เอ่ยเช่นนี้ ซูจุ้ยเตี๋ยก็เย็นลง ถลึงตาเอ่ยถามนางว่า “เจ้าบอกว่าแผลบนหน้าข้าจะไม่เป็นแผลเป็นอย่างนั้นหรือ”

 

 

สาวใช้ผู้นั้นลังเลเล็กน้อย พยักหน้าเอ่ยว่า “ขอเพียงคุณหนูไป๋ดูแลแผลให้ดี ก็น่าจะ…ไม่เป็นเจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อได้รับคำยืนยันจากสาวใช้ ซูจุ้ยเตี๋ยก็นึกวางใจ นั่งพิจารณาความงามของตนอยู่หน้ากระจกที่พร่ามัว พลางเอ่ยถามว่า “ผู้ใดส่งข้ากลับมา?”

 

 

สาวใช้เอ่ยว่า “ใต้เท้าจั๋วและใต้เท้าหลินให้คนนำตัวคุณหนูกลับมาเจ้าค่ะ”

 

 

มือซูจุ้ยเตี๋ยชะงักไป “ท่านอ๋องมิได้มาดูข้าเลยหรือ”

 

 

สาวใช้มองนางด้วยความประหลาดใจ เอ่ยตอบด้วยท่าทีเคารพเช่นเดิมว่า “เรียนคุณหนู ท่านอ๋องมิได้มาเจ้าค่ะ”

 

 

เกิดเสียงดังกึกกัก ซูจุ้ยเตี๋ยโยนหวีลงบนโต๊ะ สาวใช้ก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าวด้วยความระมัดระวัง เดิมทีนางก็มิใช่สาวใช้ในจวนผู้ว่าการ ถึงแม้จะสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ระหว่างเกิดศึก แต่นางก็ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว โชคดีที่พระชายามีเมตตา รับนางให้อยู่ในจวน เมื่อครั้งนางถูกส่งตัวให้มาคอยรับใช้คุณหนูไป๋ที่สวยสดงดงามผู้นี้ เดิมทีนางยังนึกดีใจ เพราะถึงอย่างไรการได้พบเห็นสาวงามเช่นนี้ก็ถือเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง แต่เมื่อผ่านไปหลายวันเข้า นางก็รู้สึกว่า คุณหนูไป๋ผู้นี้ช่างประหลาดนัก เดิมทีที่ได้ยินพระชายาเรียกคุณหนูไป๋ว่าไป๋กุ้ยเฟย แม้นางจะไม่รู้ว่าเป็นกุ้ยเฟยของแคว้นใดแต่ก็ยังคงเรียกขานด้วยความเคารพ แต่กลับไม่คิดว่าคุณหนูไป๋จะโกรธจัดและบังคับให้เปลี่ยนไปเรียกนางว่าคุณหนูซู แต่ใต้เท้าจั๋วบอกไว้แล้วว่า แขกท่านนี้แซ่ไป๋ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงถอยกลับมาเรียกคุณหนูไป๋ อีกทั้งคุณหนูไป๋มักเอ่ยถึงท่านอ๋องด้วยความสนิทสนมอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้นางจะเป็นเพียงสาวใช้ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว แต่นางดูออกว่า ความเอื้ออารีที่ท่านอ๋องมีต่อนาง ยังไม่เท่าหนึ่งในหมื่นส่วนของที่ท่านอ๋องมีต่อพระชายาเลยด้วยซ้ำ

 

 

“บ้าที่สุด! ข้าไม่เชื่อว่าในใจท่านจะไม่มีข้าอยู่แม้แต่น้อย!” นางจ้องนิ่งไปยังใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกที่พร่ามัว ซูจุ้ยเตี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยด้วยความรังเกียจว่า “ไปเปลี่ยนเอากระจกที่ดีกว่านี้มา!”