ตอนที่ 245 ตบหนึ่งฉาด

แม่ครัวยอดเซียน

หนานกงเวิ่นเทียนที่ได้รับความสงสารกำลังเข้าฌานอยู่ หลิวหลีจึงกลายเป็นนายหญิงของตำหนักไปโดยปริยาย ทุกคนก็ไม่มีข้อโต้แย้งอะไรเพียงเพราะว่า

“ว้าว นายท่านดูดีเหลือเกิน เมื่อครู่นางพยักหน้าให้ข้าด้วย”

“ทำไมถึงได้มีสตรีใบหน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นชายงามอันดับหนึ่งของวังนภาเพลิง ไม่สิ ตอนนี้นางก็เป็นชายงามอันดับหนึ่งของวังนภาธาราเช่นกัน”

“เจ้าหลงใหลในความงามของเจ้าตำหนักหลิวหลีขนาดนี้เชียวหรือ”

“แล้วเจ้าไม่หลงใหลหรือ แล้วเจ้าจะมาดูกับข้าทำไม”

“นั่นสิ ก็ข้าตกหลุมเสน่ห์นายท่านแล้วล่ะ หากบอกว่าเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนคือบุปผาเหมันต์ที่ไม่อาจเอื้อม เจ้าตำหนักหลิวหลีก็เป็นเหมือนสายลมเบาๆในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น”

ในช่วงเวลาที่เวิ่นเทียนเข้าฌาน หลิวหลีแทบจะไม่เหลือเค้าความอ่อนโยน นางกลายเป็นชายหนุ่มที่สง่าผ่าเผย ได้ใจของหญิงสาวในวังนภาธาราไปครอบครองอย่างง่ายดาย

“ดูท่าแล้ว เสน่ห์ของข้ายังพอใช้ได้ทีเดียว ทีนี้ข้าจะรอดูว่าใครจะกล้ามาปีนเตียงสามีข้าอีก” หลิวหลีรู้สึกว่าวิธีนี้ไม่เลวจริงๆ

หลิวหลีที่ว่างๆตัดสินใจปรุงยา เพื่อเตรียมการในการสนับสนุนการบำเพ็ญฝึกฝนของสามี ถึงแม้นางจะไม่คุ้นเคยกับวังนภาธาราก็ตาม

ถึงสุ่ยหลิงจะได้ยินคำพูดของพี่สาวกับมารดา นางจึงแสร้งยอมแพ้ทั้งที่ในใจไม่พอใจนัก นางสู้ผู้หญิงจากดินแดนป่าเถื่อนคนนั้นไม่ได้ตรงไหน พอได้ยินว่ามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นภายในวังนภาธารา จึงบุกไปจัดการเพียงลำพัง ผลปรากฏว่านางเกือบโดนจับตัว ต่อให้รอดแต่ก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย จักรพรรดินีสัมผัสได้จึงรีบส่งผู้อาวุโสอวี้ไปช่วย ก็พบว่านางหมดสติไปโดยที่ไม่รู้ว่าโดนพิษอะไรเข้า

“ไปตรวจสอบมา คิดไม่ถึงว่าจะกล้ามาทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ในพื้นที่วังนภาธารา” จักรพรรดินีหัวเสียอย่างยิ่ง

“เพคะ” จักรพรรดินีพิโรธ ทุกคนต่างระมัดระวัง กลัวว่าตัวเองจะพลอยซวยไปด้วย

“จักรพรรดินี เซียนนักปรุงยาหลิ่วบอกว่า เขาไม่มีความสามารถที่จะรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าตำหนักสุ่ยหลิงได้” ขุนนางของสุ่ยหลิงรายงาน ทำให้จักรพรรดินีโมโหหนักจนวังแทบจะสะเทือน

“ไร้ความสามารถ วังนภาธาราของข้าไม่มีเซียนนักปรุงยาคนไหนรู้เลยหรือว่าสุ่ยหลิงบาดเจ็บตรงไหน” จักรพรรดินีเกรี้ยวกราด ความรักลูกเป็นเช่นนี้ นางปวดใจอย่างมาก บอกนางว่าไม่มีทางรักษา พวกไร้ความสามารถ

“เซียนนักปรุงยาหลิ่วเป็นเซียนนักปรุงยาที่ดีที่สุดในวังนภาธารา” ขุนนางตอบเสียงสั่น

“แม้แต่บาดเจ็บตรงไหนก็ยังดูไม่ออก ยังกล้าบอกว่าเป็นเซียนนักปรุงยาที่ดีที่สุดอีกหรือ” พระราชวังสั่นสะเทือน ทุกคนไม่มีใครกล้าส่งเสียง กลัวว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย

“จักรพรรดินี มีคนผู้หนึ่ง อาจจะสามารถช่วยสุ่ยหลิงได้” อยู่ดีๆสุ่ยโหรวก็โพล่งขึ้น

“ใคร” เซียนนักปรุงยาที่เก่งที่สุดในวังนภาธาราก็รักษาไม่ได้ไม่ใช่หรือ วังนภาธาราของนางยังมีคนที่มีความสามารถอยู่อีกหรือ

“หลิวหลี ฮูหยินของเวิ่นเทียน นางเป็นเซียนนักปรุงยา” สุ่ยโหรวกล่าว

“หลิวหลี” จักรพรรดินีทรงหวนนึกถึงตอนที่นางกับเวิ่นเทียนมาเข้าเฝ้า แล้วเคยบอกไว้ว่าหากต้องการให้นางช่วยปรุงยาก็ให้บอกได้เลย ในเมื่อตอนนี้เหลือแค่ทางเลือกเดียวเท่านั้น

“สุ่ยโหรว ไปเชิญเจ้าตำหนักหลิวหลีมาดูอาการสุ่ยหลิง” จักรพรรดินีสะกดอารมณ์แล้วสั่งข้ารับใช้

“เพคะ”

ขณะนี้หลิวหลีกำลังปรุงยา นางมองดูยาที่ปรุงเสร็จออกมา อืม ใช้ได้ทีเดียว

“ฮูหยิน เจ้าตำหนักสุ่ยโหรวมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เสียงขุนนางอวิ๋นจูลอยเข้ามา

“เชิญ” หลิวหลีเก็บเตาปรุงยากับยาเซียนศักดิ์สิทธิ์เข้าไป

“เจ้าตำหนักหลิวหลี รบกวนแล้ว จะขอรบกวนท่านให้ช่วยสุ่ยหลิงได้หรือไม่ สุ่ยโหรวจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” สุ่ยโหรวพูดเข้าเรื่องทันที เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหลิวหลีในชุดบุรุษจะดูสง่างามเช่นนี้ นางมองแล้วหน้าก็แดงระเรื่อ

“นำทางไป” หลิวหลีพูดสั้นๆ สุ่ยหลิงจินตนาการไปต่างๆนานา แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงรวดเร็วเช่นนี้

ตอนหลิวหลีหันมองสุ่ยหลิง ก็พบกลุ่มคนด้านหลังนาง และขมวดคิ้วมองนางอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ทุกท่านหลีกทางด้วย” หลิวหลีเอ่ยปาก ในทันใดนั้นเอง สรรพเสียงก็เงียบสนิท หลิวหลีมองสุ่ยหลิงที่อยู่บนเตียง ใบหน้าซีดขาวราวกำลังนอนหลับ ก็ขมวดคิ้ว

หลิวหลีจับข้อมือขวาของสุ่ยหลิง อย่างหวาดกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายต้องบอบช้ำ หลิวหลีเปลี่ยนเพลิงเซียนในร่างกายเป็นเพลิงเซียนวิญญาณไม้ โคจรพลังหนึ่งรอบ และวางมือลงบนข้อแขนของสุ่ยหลิง

“นังหนู เจ้าออกไปซนที่ไหนมา ทำไมถึงโดนพิษที่ร้ายกาจเช่นนี้” หลิวหลีกล่าวพลางขมวดคิ้ว

“เจ้าเด็กโง่ เจ้าพูดไร้สาระอะไร” เซียนนักปรุงยาหลิ่วไม่พอใจ

“เจ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ” สุ่ยโหรวไม่ได้ตั้งความหวัง แต่นึกไม่ถึงว่าหลิวหลีจะรู้

“ท่านผู้นี้คือ…” คนผู้นี้คือใครกัน ทำไมทำตัวกร่างเช่นนี้

“เจ้าตำหนักหลิวหลี ท่านผู้นี้คือนักปรุงยาหลิ่ว นักปรุงยาหลิ่ว ท่านผู้นี้คือเจ้าตำหนักหลิวหลีแห่งวังนภาเพลิง” สุ่ยโหรวแนะนำคนทั้งสอง

“เจ้าตำหนักของวังนภาเพลิงมาทำอะไรที่วังนภาธารา” เซียนนักปรุงยาหลิ่วไม่พอใจน้อยๆ อายุน้อยขนาดนี้ริเป็นนักต้มตุ๋น เขายังดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กนี่จะรู้ได้อย่างไร

“นักปรุงยาหลิ่ว สามีของหลิวหลีคือเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนแห่งวังนภาธารา ถือว่าเป็นคนของวังนภาธาราครึ่งหนึ่ง” สุ่ยโหรวอธิบายด้วยความอดทน สวรรค์รู้ว่านางรำคาญนักปรุงยาหลิ่วแค่ไหน นี่เท่ากับว่ากำลังเสียเวลาที่จะช่วยเหลือน้องสาวพวกนางไม่ใช่หรือ

“เป็นนังหนูที่ไม่รู้เรื่องอะไรนี่เอง ต่อให้เป็นเช่นดังเจ้าบอกแล้วอย่างไร ข้ายังมองไม่ออก คิดว่าแค่คำพูดไม่กี่คำของนังหนูตัดสินว่านางมีความสามารถเช่นนั้นหรือ?” เซียนนักปรุงยาหลิ่วรู้สึกสงสัยในตัวของหลิวหลี

“นักปรุงยาหลิ่ว ท่านปรุงยามานมนาน ไม่ได้หมายความว่าท่านจะรู้ทุกอย่าง แล้วข้าอายุน้อยไม่ได้หมายความว่าข้าไม่รู้เรื่องอะไร ตอนนี้ขอเสียมารยาทหน่อยแล้วกัน ท่านน่ารำคาญเกินไป ทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดี” หลิวหลีใช้เพลิงเซียนมัดตัวนักปรุงยาหลิ่วเอาไว้ รวดเร็วตรงไปตรงมาจนทำให้สุ่ยโหรวตะลึง นักปรุงยาหลิ่วผู้เป็นที่นับหน้าถือตามาตลอด กลับตกที่นั่งลำบากเพราะคนผู้นี้ รู้สึกดีจริงๆ

“เจ้าตำหนักสุ่ยโหรว พยุงเจ้าตำหนักสุ่ยหลิงขึ้นมา จำไว้ อย่าให้นางขยับ ข้าจะใช้เพลิงเซียนขจัดสิ่งแปลกปลอมภายในร่างกายของนาง” หลิวหลีกล่าว

“แบบนี้ได้หรือไม่” สุ่ยโหรวพยุงครึ่งตัวบนของสุ่ยหลิงไว้ในอ้อมอก

“ได้”

หลิวหลีวางมือลงบนทรวงอกของสุ่ยหลิง เพลิงเซียนธาตุไม้บริสุทธิ์ไหลเข้าตัวสุ่ยหลิง สิ่งแปลกปลอมภายในร่างกายสุ่ยหลิงขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อยู่ๆเหมือนไปสัมผัสโดนอะไรบางอย่าง ทำให้ต้องถอยตัวไปอย่างรวดเร็ว สุ่ยหลิงดิ้นทุรนทุราย สุ่ยโหรวกอดอีกฝ่ายไว้แน่นตามคำพูดของหลิวหลี ด้วยกลัวว่านางจะขยับแต่ก็เจ็บปวดใจอย่างมาก น้องสาวที่พวกนางทะนุถนอมมาตั้งแต่เล็กจนโต เคยเจอความทรมานแบบนี้เสียที่ไหน

หลิวหลีระมัดระวังอย่างมาก เพราะพลังบำเพ็ญเพียรของนางสูงกว่าสุ่ยหลิงมากถึงได้กล้าทำเช่นนี้ และถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่หลิวหลีก็ถึงกับเหงื่อตกเช่นกัน สุดท้ายสิ่งแปลกปลอมพวกนั้นถูกขับออกทางมือซ้ายของสุ่ยหลิง สุ่ยโหรวมองฝ่ามือที่ดำสนิทไปทั้งมือของสุ่ยหลิงก็รู้สึกตกใจ มีของเช่นนี้ในร่างกายของน้องสาวได้อย่างไร

“เจ้าตำหนักสุ่ยโหรวอย่าเพิ่งเสียสมาธิ เหลือแค่ช่วงสุดท้ายแล้ว” หลิวหลีเรียกสุ่ยโหรวที่อึ้งไป สุ่ยโหรวตั้งสติได้กอดสุ่ยหลิงไว้แน่นคิดไม่ถึงว่านางจะเผลอเรอ

ประสาทรับรู้ของสุ่ยหลิงกลับมา นางค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ก็เห็นชายหนุ่มรูปงามกำลังรักษาอาการให้ตัวเอง นี่มีคนช่วยนางแล้วหรือ

และเมื่อหลิวหลีพบว่าเป็นช่วงสุดท้ายแล้ว และแน่ใจแล้วว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ จึงใช้พลังเซียนกรีดนิ้วของสุ่ยหลิง ของเหลวที่มีกลิ่นเหม็นไหลทะลักออกมาจนกระทั่งเลือดกลายเป็นสีแดง หลิวหลีจึงหยุดและช่วยห้ามเลือดให้สุ่ยหลิง

หลิวหลียังไม่ทันวางมือก็ถูกสุ่ยหลิงตบเข้าที่หน้าหนึ่งฉาด หลิวหลีงุนงงไป สุ่ยโหรวตกใจยิ่งกว่า น้องสาว เจ้าทำอะไรน่ะ

“อันธพาล” สุ่ยหลิงพบว่าตำแหน่งมือของชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ตรงบริเวณหน้าอกนาง แต่เพราะเสียเลือดมากเกินไป จึงหมดสติไปหลังจากประทับฝ่ามือบนหน้าอีกฝ่าย

หลิวหลีเอามือลูบหน้าตัวเอง ไม่เจ็บ แต่รู้สึกเสียศักดิ์ศรี

“เจ้าตำหนักหลิวหลีนางแค่ยังไม่ได้สติเท่านั้น” สุ่ยโหรวไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไร น้องสาว เจ้าตบผู้มีพระคุณแล้วหมดสติไปเลยได้อย่างไร

“ไม่เป็นไร จริงสิ เจ้าตำหนักสุ่ยโหรว หากต้องการให้นางฟื้นตัวเร็วล่ะก็จำเป็นต้องกินยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ควบคู่ไปด้วย ข้าจะไปปรุงให้เดี๋ยวนี้ จำไว้ว่าต้องให้เจ้าตำหนักสุ่ยหลิงกิน รสชาติจะค่อนข้างพิเศษ ให้เจ้าตำหนักสุ่ยหลิงกินจนรู้สึกว่าหวาน นั่นถึงหมายความว่านางหายดีแล้ว” หลิวหลีไม่ถือสา แต่ที่จริงเป็นเรื่องโกหก นี่เป็นครั้งแรกที่นางโดนคนอื่นตบหน้า ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ไม่เจ็บด้วย แต่นางก็ไม่พอใจ จะให้กินยาขมๆแน่

หลิวหลีกลับไปปรุงยา โดยลืมคลายเพลิงเซียนที่ควบคุมตัวนักปรุงยาหลิ่ว นักปรุงยาหลิ่วมองอย่างเคลิบเคลิ้ม

“เจ้าตำหนักหลิวหลี นักปรุงยาหลิ่ว” สุ่ยหลงมองนักปรุงยาหลิ่วที่ดวงตาเป็นประกาย เอ่อ สงสัยเจ้าตำหนักหลิวหลีคงจะตื่นตระหนกมากเกินไป ก็เลยลืม

หลิวหลีโบกมือหนึ่งครั้ง เพลิงเซียนก็หายไป

เมื่อเพลิงเซียนหายไป นักปรุงยาหลิ่วก็รีบพุ่งเข้ามา ใช้มือตรวจสอบดู ไม่มีแล้วจริงๆ ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่กลับกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่พวกเขาไม่สามารถจัดการได้ออกไปจนหมด เขาตาบอดไปจริงๆ น่าละอายใจนัก

“นักปรุงยาหลิ่ว สุ่ยหลิงเป็นอย่างไรบ้าง” สุ่ยโหรวเห็นนักปรุงยาหลิ่วทำหน้าตกใจ จึงถามขึ้นอย่างสงสัย

“เจ้าตำหนักสุ่ยโหรว เจ้าตำหนักสุ่ยหลิงแค่ร่างกายอ่อนแอเท่านั้น นางไม่เป็นอะไรแล้ว” นักปรุงยาหลิ่วตั้งสติได้ จึงรีบรายงาน วันนี้ได้เจอยอดฝีมือแล้วจริงๆ เหนือคนยังมียอดคน เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าตำหนักหลิวหลีบอกว่าจำเป็นต้องให้สุ่ยหลิงกินยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่นางปรุงขึ้น กินจนได้รสหวานก็แสดงว่าสุ่ยหลิงหายดีเป็นปกติแล้ว” สุ่ยโหรวกล่าว

“อืม สุ่ยหลิงเจ้าต้องบำรุงร่างกายให้ดี” แต่ว่าพิษที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่ได้เท่าไหร่ ยาอะไร ทำไมจะกินถึงต้องรอนานขนาดนั้น รอจนนักปรุงยาหลิ่วเห็นยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่หลิวหลีปรุงขึ้น ก็จะเข้าใจความเก่งกาจของเจ้าตำหนักหลิวหลีท่านนี้ขึ้ในทันที เพียงแต่นี่เป็นเพียงแค่เรื่องที่ผิวเผินเท่านั้น เดี๋ยวถ้าได้เห็นยาอันตรายของนาง นักปรุงยาหลิ่วก็จะรู้สึกนับถือหลิวหลีจากใจจริง

 …………………….