ตอนที่ 479 ดันใครขึ้นรับตำแหน่ง? + ตอนที่ 480 สวรรค์อำนวยพร

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 479 ดันใครขึ้นรับตำแหน่ง?

“ตระกูลเฟิ่งเราซื่อสัตย์ภักดีมาหลายต่อหลายรุ่น คอยพิทักษ์แคว้นแสงสุริยันนี้ น่าเสียดายที่ผู้นำโหดร้ายไร้ศีลธรรม สังหารผู้ภักดีตามอำเภอใจ! มู่หรงป๋อ! ในเมื่อตามบีบบังคับทุกฝีก้าว ก็อย่าหาว่าจวนตระกูลเฟิ่งกบฏต่อตระกูลมู่หรง! วันนี้ข้าจะลากตระกูลมู่หรงลงจากตำแหน่งราชวงศ์! หากทหารที่นี่วางอาวุธในมือลงและจำนนต่อตระกูลเฟิ่งตอนนี้ จะไว้ชีวิตให้ทั้งหมด! มิเช่นนั้น พวกเจ้าทหารกล้านับร้อยนับพันได้จบสิ้นที่นี่ทั้งหมดแน่!”

“จำนนต่อตระกูลเฟิ่ง แล้วจะไว้ชีวิต!”

“จำนนต่อตระกูลเฟิ่ง แล้วจะไว้ชีวิต!”

“จำนนต่อตระกูลเฟิ่ง แล้วจะไว้ชีวิต!”

เสียงของเฟิ่งจิ่วเปล่งออกไปอย่างทุ้มต่ำและมีพลัง แต่ละเสียงกำลังก้องกังวาน ดังเข้าในหูทุกคน สั่นสะเทือนหัวใจที่เดิมทีก็ไม่หนักแน่นเท่าใด ด้วยกำลังต่อสู้จวนตระกูลเฟิ่ง อีกทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งพวกนั้นคอยอารักขา แต่เดิมพวกเขาไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสู้ชนะอยู่แล้ว ครั้นได้ยินคำพูดของผู้ครองแคว้น รวมถึงการยอมจำนนที่คุณหนูใหญ่เฟิ่งบอก เวลานี้หลังจากครุ่นคิด แต่ละคนก็ทิ้งอาวุธในมือและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

“พวกข้าขอยอมจำนนต่อตระกูลเฟิ่ง!”

เสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นทหารแถบหนึ่งก็ทิ้งอาวุธลงคุกเข่าอีก “พวกข้าก็ขอยอมจำนนต่อตระกูลเฟิ่ง!”

เมื่อเสียงนั้นดังตามมาเป็นระลอกๆ มู่หรงป๋อบนรราชรถจึงนั่งไม่นิ่งแล้ว เขาแหวกเปิดผ้าม่านลุกขึ้นยืน มองเหล่าทหารรอบๆ ที่คุกเข่ากันหมดอย่างโกรธเคือง เสียงที่แก่ชราและแหบแห้งสั่นเครือ ด่าทอเสียงเกรี้ยวว่า “พวกเจ้า พวกเจ้าบังอาจนัก! ทหาร! ทหาร! ฆ่าพวกมันให้หมด! ฆ่ามันซะ!”

เขาไม่พูดยังดีกว่า พอพูดเช่นนี้ ทหารที่เดิมทียังลังเลอยู่บ้างต่างพากันทิ้งอาวุธลงคุกเข่า หันหน้าไปทางจวนตระกูลเฟิ่ง “พวกข้าก็ขอยอมจำนน สวามิภักดิ์ต่อตระกูลเฟิ่ง!”

“อั่ก!”

ไฟแห่งความกระวนกระวายจู่โจมหัวใจ เขาจึงกระอักเลือดออกมา ร่างกายทรุดนั่งกลับไปด้านในราชรถ หน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง สองดวงตาจ้องเหล่าทหารที่คุกเข่ารอบๆ เขม็ง รวมทั้งร่างสีแดงที่ยืนอยู่เหนือประตูใหญ่จวนด้วย

“เฟิ่ง ชิง เกอ! ฆ่านางซะ! ฆ่านาง! แค่กๆๆ…”

เขาชี้เฟิ่งจิ่วด้วยความโมโห สั่งให้บรรพชนนักรบข้างกายเข้าไปสังหารเฟิ่งชิงเกอ บรรพชนนักรบเหล่านั้นก็จนปัญญา แม้รู้ดีว่าไม่ควรสู้ แต่ยามนี้จะไม่เข้าไปก็ไม่ได้ เพราะพวกเขาล้วนมีพันธสัญญาฟ้าดิน หากหักหลังมู่หรงป๋อ จุดจบของพวกเขามีเพียงความตายเท่านั้น

ทว่า เมื่อบรรพชนนักรบแปดคนนั้นพุ่งเข้าไปหาเฟิ่งจิ่ว ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังสี่คนพลันลงมือ ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วอึดใจก็บดขยี้สังหารบรรพชนนักรบทั้งแปดลงที่นี่

บนพื้นมีร่างบรรพชนนักรบที่โดนสังหารเพิ่มมา กลิ่นคาวเลือดกระจายออกไปในอากาศ ทำให้ทั่วพื้นที่เงียบเชียบไร้เสียง…

โดยเฉพาะตระกูลและกลุ่มอำนาจเหล่านั้นที่มองอยู่ไม่ไกล แต่ละคนอึ้งตาค้างไปบ้าง แค่คำพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้ทหารพวกนั้นวางอาวุธยอมจำนน นี่ นี่จะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

เดิมทีพวกเขาคิดอยู่ว่าจะอย่างไรก็คงสู้กัน แต่ดูจากผู้แข็งแกร่งพวกนั้นของจวนตระกูลเฟิ่ง จะต่อกรกับคนพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา ไม่นึกว่าพวกเขาไม่ต้องลงมือสักนิด แต่ละคนก็ยอมจำนนต่อตระกูลเฟิ่งแล้ว

“คุณหนูใหญ่เฟิ่งปลดมู่หรงป๋อ แล้วจะดันใครขึ้นรับตำแหน่ง?” ผู้นำตระกูลคนหนึ่งกระซิบ ในใจค่อนข้างสับสน แคว้นไม่อาจขาดผู้ครองแม้หนึ่งวัน หากมู่หรงป๋อถูกปลด ตำแหน่งผู้ครองแคว้นแสงสุริยันยังมีใครอีกที่สามารถนั่งได้อย่างมั่นคง?

เวลานี้ ในใจทุกคนมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา คุณหนูใหญ่เฟิ่งคนนี้คงไม่คิดจะนั่งตำแหน่งผู้ครองแคว้นแสงสุริยันเองกระมัง?

………………………………………………….

ตอนที่ 480 สวรรค์อำนวยพร

ถึงอย่างไรเฟิ่งเซียวก็ยังไม่ฟื้น เหลือแต่นางคนเดียว แน่นอนว่าหากนางไม่นั่งตำแหน่งนั้น อาจจะหาใครสักคนจากเครือญาติตระกูลเฟิ่งมารับตำแหน่ง?

คิดๆ ดูแล้วทุกคนก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เท่าไหร่ เครือญาติตระกูลเฟิ่งไม่มีใครมีความสามารถพอจะนั่งตำแหน่งผู้ครองแคว้นได้อย่างมั่นคง แม้มีตระกูลเฟิ่งคอยหนุนหลัง หากไม่มีความสามารถในทุกๆ ด้าน จะนั่งตำแหน่งผู้ครองแคว้นดีๆ ได้อย่างไร?

ทว่าในเวลานี้เอง กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนพลันมีเมฆฝนผืนใหญ่ลอยมาปกคลุมเหนือจวนตระกูลเฟิ่ง มีสายฟ้าแลบแวบผ่านรางๆ เสียงกระหึ่มดังมาจากชั้นเมฆ ผู้คนด้านล่างตกใจจนเงยหน้าขึ้นทันที

“เกิดอะไรขึ้น? นะ นี่หิมะจะตกหรือฟ้าจะร้องกันแน่?”

มีคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาด บางคนก็จ้องมองชั้นเมฆที่ปกคลุมเพียงท้องฟ้าเหนือจวนตระกูลเฟิ่ง ในดวงตาเผยความตกตะลึง

“ฮ่าๆๆๆ! เฟิ่งชิงเกอ! พวกเจ้าจวนตระกูลเฟิ่งใช้อำนาจข่มเหงนาย แม้แต่สวรรค์ยังทนดูไม่ได้กระมัง! ฮ่าๆๆๆ! ผ่าลงมาเลย! ฟาดพวกมันให้ตาย! ผ่าพวกมันให้ตายไปซะ…”

มู่หรงป๋อหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง แต่เสียงนั้นแก่ชราไร้เรี่ยวแรงเกินไป ฟังแล้วบาดหูเป็นที่สุด

บางคนที่เดิมทีมีสีหน้าประหลาด หลังจากได้ยินคำพูดของมู่หรงป๋อ แววตาก็หยุดบนผืนเมฆเหนือท้องฟ้าจวนตระกูลเฟิ่ง พลางแอบคิดว่าคงไม่เป็นจริงอย่างที่มู่หรงป๋อพูด ว่าจวนตระกูลเฟิ่งทำเรื่องอะไรที่สวรรค์และมนุษย์พิโรธจนเกิดสายฟ้าฟาด?

ขณะกำลังคิด สายฟ้าแลบแวบผ่านกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดผ่าลงในจวนตระกูลเฟิ่งเสียงดังสนั่น แม้แต่แผ่นดินยังสะเทือน

ยามนี้ แม้แต่เหล่าองครักษ์ตระกูลเฟิ่งยังเงยหน้าอย่างตกใจ นึกแปลกใจอยู่บ้าง สายฟ้าฟาดนี้ทำไมถึงผ่าลงมาแค่ในจวนตระกูลเฟิ่งของพวกเขา?

มีเพียงเฟิ่งจิ่วที่เห็นสายฟ้านั้นแล้วดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าเผยความประหลาดใจอย่างรวดเร็ว เธอมองลำแสงจากสายฟ้าครั้งที่สองซึ่งผ่าเสียงดังกระหึ่มลงบางจุดภายในจวน รอยยิ้มตรงริมฝีปากยิ่งค่อยๆ กดลึกขึ้น

เมื่อผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังทั้งสี่เห็นสายฟ้าและกลิ่นอายที่เอ่อล้นกลางเวหาผ่าลงมาในจวน ในดวงตาก็ฉายแววแปลกใจ จากนั้นทำแค่ยิ้ม เร็วกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เสียอีก อีกทั้งดูท่าทางจะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่เสียด้วย

ผู้ฝึกพลังเร้นลับต่างจากผู้ฝึกวิชาเซียน มีเพียงบรรลุระดับบรรพชนนักรบข้ามไประดับจักรพรรดินักรบถึงจะดึงดูดสายฟ้าสวรรค์ได้ หากรับสายฟ้าสามครั้งได้ บรรพชนนักรบก็จะข้ามขั้นกลายเป็นจักรพรรดินักรบสำเร็จ!

และยามนี้ คนในจวนที่กำลังบรรลุขั้นเหมือนจะมีแค่ผู้นำตระกูลเฟิ่งเซียวคนเดียว

“เปรี้ยง!”

เมื่อสายฟ้าครั้งที่สามผ่าเปรี้ยงลงมา เมฆดำผืนนั้นบนท้องฟ้าหายไปทันใด แสงตะวันรอนปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าราตรี แสงนั้นแยกเป็นเจ็ดสีและค่อยๆ แผ่ขยายออกไป แทบจะปกคลุมทั่วเมืองอวิ๋นเยวี่ย ท้องฟ้าที่เดิมทีเข้าสู่ช่วงกลางคืนจึงสว่างไสวเฉกเช่นกลางวันท่ามกลางแสงตะวันรอนเจ็ดสี สีทั้งเจ็ดที่ตัดสะท้อนกันปกคลุมทั้งเมืองอวิ๋นเยวี่ยไว้ ก่อนจะกลายเป็นประกายแสงเล็กๆ โปรยปรายลงมาดั่งเม็ดฝน ทำให้คนทั้งเมืองอวิ๋นเยวี่ยต่างฮือฮา พากันวิ่งออกมาชม

“เฮือก! ภะ ภายในจวนตระกูลเฟิ่งมีคนกำลังบรรลุขั้น! แสงตะวันรอนปกคลุม! สวรรค์อำนวยพร!”

“สวรรค์! ข้าได้เห็นภาพเช่นนี้ด้วย! สวรรค์อำนวยพร ต้องเป็นคนที่ฐานะตำแหน่งสูง ซ้ำยังได้รับความโปรดปรานจากสวรรค์ มีโชคลาภติดกาย ถึงจะเหนี่ยวนำให้สวรรค์อำนวยพรลงมาเมตตาชาวบ้านได้…”

“เหลือเชื่อเกินไปแล้ว… ข้าเองก็เพิ่งเห็นสวรรค์อำนวยพรเป็นครั้งแรก…”

ผู้เฒ่าตระกูลเกิ่งมองประกายแสงเล็กๆ ที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้าอย่างอัศจรรย์ใจ เมื่อแสงพวกนั้นหล่นลงซึมเข้าร่างกาย ความรู้สึกพิเศษที่ไม่อาจอธิบายได้ก็พัดผ่านร่างกาย ช่างสบายยิ่งนัก